การปะทะที่มัสยิดอัลอักศอ พ.ศ. 2566 | |||
---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ ความขัดแย้งอิสราเอล–ปาเลสไตน์ | |||
เนินพระวิหาร หรือ อัลฮะเราะมุชชะรีฟ สถานที่เกิดการปะทะ | |||
วันที่ | 5 เมษายน พ.ศ. 2566 | (ก่อนรุ่งอรุณ)||
สถานที่ | เนินพระวิหาร/ฮะเราะมุชชะรีฟ เยรูซาเลม | ||
คู่ขัดแย้ง | |||
| |||
ความสูญเสีย | |||
| |||
ชาวปาเลสไตน์ถูกจับกุม 400 คน |
เกิดการประจันหน้าด้วยความรุนแรงหลายครั้งระหว่างชาวปาเลสไตน์และตำรวจอิสราเอลที่บริเวณมัสยิดอัลอักศอในกรุงเยรูซาเลมในเดือนเมษายน พ.ศ. 2566 หลังจากการละหมาดเดือนเราะมะฎอนในช่วงเย็น ชาวปาเลสไตน์ได้กักตัวเองภายในมัสยิด โดยพวกเขาได้รับแจ้งจากรายงานข่าวว่าชาวยิววางแผนที่จะบูชายัญแพะที่บริเวณนั้น (ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามตามกฎหมายอิสราเอล) ต่อมาตำรวจอิสราเอลได้บุกเข้าไปในมัสยิดพร้อมอุปกรณ์ปราบจลาจล ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ 50 ราย[1] และมีผู้ถูกจับกุม 400 คน
หลังจากการปะทะ กลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์[2] ยิงจรวดเข้าใส่อิสราเอลจากฉนวนกาซาและประเทศเลบานอน ซึ่งได้รับการตีความว่าเป็นการตอบโต้ต่อเหตุการณ์ที่อัลอักศอ[3]
การปะทะกันเกิดขึ้นในช่วงที่ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์เพิ่มขึ้น เนื่องจากใน พ.ศ. 2566 เดือนเราะมะฎอนของชาวมุสลิม เทศกาลปัสกาของชาวยิว และสัปดาห์อีสเตอร์ของชาวคริสเตียน เวียนมาถึงในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน[4]
นับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนเราะมะฎอนเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ผู้ละหมาดชาวมุสลิมได้พยายามที่จะสวดมนต์ข้ามคืนในมัสยิดอัลอักศอ ซึ่งปกติแล้วจะอนุญาตให้ทำได้เฉพาะในช่วง 10 วันสุดท้ายของเดือน (ในปี 2566 คือวันที่ 11–21 เมษายน) ตำรวจอิสราเอลได้เข้าไปในมัสยิดเพื่อขับไล่ผู้ละหมาดทุกคืนในช่วงเดือนดังกล่าว[2]
เมื่อวันที่ 3 เมษายน ตำรวจอิสราเอลได้จับกุมนักเคลื่อนไหวชาวยิวคนหนึ่งโดยฝ่ายบริหารของเนินพระวิหารพยายามที่จะสกัดกั้นความต้องการของกลุ่มชาวยิวที่จะฝ่าฝืนคำสั่งห้ามชาวยิวสวดมนต์ในบริเวณมัสยิดอัลอักศอ และประกอบพิธีกรรมบูชายัญในเทศกาลปัสกา ซึ่งจะเริ่มขึ้นในช่วงเย็นวันที่ 4 เมษายน[5] ในวันเดียวกันนั้น อิตามาร์ เบน-กวีร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติอิสราเอล ได้สนับสนุนให้กลุ่มชาวยิวไปที่เนินพระวิหารในช่วงเทศกาลปัสกา แต่งดเว้นพิธีกรรมบูชายัญ[6] ตามสภาพการณ์ปัจจุบันชาวยิวได้รับอนุญาตให้เข้าชมบริเวณเนินพระวิหารแต่ไม่ให้สวดมนต์ที่นั่น[7]
การเผชิญหน้าเริ่มขึ้นในคืนวันที่ 4 เมษายน เมื่อชาวปาเลสไตน์สองสามร้อยคนขังตัวเองอยู่ในมัสยิดอัลอักศอหลังจากการละหมาดในเดือนเราะมะฎอน ท่ามกลางความกังวลว่าชาวยิวอาจมุ่งหน้าไปที่เนินพระวิหาร เพื่อประกอบพิธีกรรมบูชายัญแม้ว่าจะมีข้อห้ามก็ตาม[8] ตำรวจอิสราเอลตอบสนองสถานการณ์โดยบุกเข้าไปในมัสยิดพร้อมอุปกรณ์ปราบจลาจล ชาวปาเลสไตน์ในเหตุการณ์ระบุว่า ตำรวจได้ขว้างระเบิดแสง ยิงกระสุนยาง และทุบตีชาวปาเลสไตน์บนพื้นด้วยกระบอง ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 50 คน และผู้ถูกจับกุม 400 คน ตามการระบุของตำรวจอิสราเอล ชาวปาเลสไตน์ได้ขว้างก้อนหินและจุดพลุดอกไม้ไฟใส่ตำรวจ วีดิทัศน์ที่เผยแพร่โดยตำรวจอิสราเอลแสดงให้เห็นว่ามีการใช้ดอกไม้ไฟภายในมัสยิด และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ[1][8] เหตุการณ์ดังกล่าวเพิ่มความตึงเครียดระหว่างชาวอิสราเอลและชาวปาเลสไตน์ และดึงดูดความสนใจจากนานาชาติต่อความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่ในภูมิภาคนี้[3]
คืนถัดมา ผู้ละหมาดชาวปาเลสไตน์กักกันตัวเองในมัสยิดอีกครั้ง และได้ถูกตำรวจอิสราเอลกวาดต้อนออกไป[2]
หนังสือพิมพ์ เดอะไทมส์ออฟอิสราเอล รายงานการประเมินของเจ้าหน้าที่อาวุโสของอิสราเอลระบุว่า ตำรวจ "ทำเกินกว่าเหตุ" ในการปฏิบัติต่อชาวปาเลสไตน์ จากการให้น้ำหนักว่าอัลอักศอกำลังตกอยู่ในอันตรายจากการเรียกชุมนุม ซึ่งเป็นการสนับสนุนศัตรูของอิสราเอลและทำให้ชื่อเสียงของอิสราเอลเสียหาย ผู้ประเมินเรียกให้ตรวจสอบแนวทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ซึ่งพวกเขาถูกสั่งให้ปฏิบัติด้วยความยับยั้งชั่งใจ อย่างไรก็ตาม เขาระบุว่าตำรวจถูกบังคับให้เข้าไปในมัสยิดหลังจากได้รับข่าวว่าชาวปาเลสไตน์จำนวนมากเก็บอาวุธไว้ที่นั่นโดยมีจุดประสงค์เพื่อโจมตีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและพลเรือนชาวอิสราเอล เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของอิสราเอลอีกคนหนึ่งกล่าวโทษองค์กรเยรูซาเลมวักฟ์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากจอร์แดนในการดูแลมัสยิดอัลอักศอว่าไม่มีมาตรการที่เพียงพอในการจัดการกับผู้ก่อการจลาจลชาวปาเลสไตน์[9] ทางการปาเลสไตน์และฮามาสประณามการกระทำของตำรวจอิสราเอล ซึ่งพวกเขาอธิบายว่าเป็นการก่ออาชญากรรม ทางการอิสราเอลปกป้องการกระทำของตนว่าเป็นการกระทำเท่าที่จำเป็นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของประชาชน[10]
ปีเตอร์ สตาโน โฆษกหัวหน้าฝ่ายกิจการภายนอกของสหภาพยุโรปกล่าวว่า สหภาพยุโรป "กังวลอย่างยิ่ง" ต่อความรุนแรงที่มัสยิดอัลอักซอในกรุงเยรูซาเลม และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายแสดงความยับยั้งชั่งใจในช่วงวันหยุดทางศาสนา[11]
เคมัล คือลึชดาโรลู ผู้นำพรรคฝ่ายค้านของตุรกีประณามการโจมตีดังกล่าว[12]
นาวาฟ อัลอะห์มัด อัลญาบิร อัศเศาะบาห์ เจ้าผู้ครองนครรัฐคูเวต ทรงประณามการรุกรานของอิสราเอลต่อมัสยิดอัลอักศอ
นายกรัฐมนตรีแคนาดา จัสติน ทรูโด แสดงความกังวลและเรียกร้องให้ลดความรุนแรงลง[13]
แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ "ประณามอย่างรุนแรงต่อการบุกโจมตีมัสยิดอัลอักศอโดยตำรวจอิสราเอล ... และย้ำว่าผู้ละหมาดไม่ควรกักกันตัวเองภายในมัสยิดและสถานที่สักการะโดยมีอาวุธและวัตถุระเบิด"[14]
กระทรวงการต่างประเทศโอมานออกแถลงการณ์ประณามและกล่าวโทษการโจมตีมัสยิดอัลอักศอของกองกำลังยึดครองของอิสราเอล[15]
นอกจากนี้ การกระทำของตำรวจอิสราเอลยังถูกประณามในแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศของกาตาร์,[16] ตุรกี,[17] จอร์แดน,[18] ซาอุดิอาระเบีย,[19] บาห์เรน,[20] อิหร่าน,[21] โมร็อกโก,[22] แอลจีเรีย,[23] ปากีสถาน,[24] อัฟกานิสถาน,[25] บังกลาเทศ[26] และมาเลเซีย[27]
หลังเหตุการณ์ดังกล่าว กลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์เตือนถึงการเผชิญหน้ากันที่จะตามมา[2] กองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอล (IDF) กล่าวว่ามีการยิงจรวดเก้าลูกจากฉนวนกาซาสู่อิสราเอล[3]
เมื่อวันที่ 6 เมษายน กองกำลังป้องกันประเทศระบุว่ามีการยิงจรวดบางส่วนจากเลบานอน[28] มีรายงานว่าจรวดดังกล่าวถูกยิงโดยกลุ่มปาเลสไตน์[2][28] ไม่มีความเห็นในทันทีจากกองทัพเลบานอน[28] ในแถลงการณ์ที่เป็นลายลักษณ์อักษร กองกำลังชั่วคราวแห่งสหประชาชาติในเลบานอน (UNIFIL) กล่าวถึงสถานการณ์ดังกล่าวว่า "ร้ายแรงอย่างยิ่ง" และเรียกร้องให้มีความยับยั้งชั่งใจ โดยระบุว่า อารอลโด ลาซาโร (Aroldo Lazaro) ผู้บัญชาการ UNIFIL กำลังติดต่อกับเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย[29]
เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2566 กลุ่มฮามาสได้เปิดฉากการโจมตีครั้งใหญ่ต่ออิสราเอลด้วยการรุกรานและโจมตีด้วยจรวด โมฮัมเมด เดอิฟ ผู้บัญชาการกองพลน้อยอิซซ์ อัดดิน อัลกัสซาม อ้างว่าการโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นเพื่อตอบโต้ต่อ "การดูหมิ่นมัสยิดอัลอักศอ"[30]