ปฏิบัติการฮาร์ดโนส | |
---|---|
ส่วนหนึ่งของ สงครามกลางเมืองลาวและสงครามเวียดนาม | |
ชนิด | ปฏิบัติการจารกรรม |
ตำแหน่ง | ประเทศลาว |
วางแผนเมื่อ | มกราคม 2506 |
โดย | ไมค์ ดิวเอล |
ผู้บังคับบัญชา | ไมค์ ดิวเอล, จอห์น เอฟ. เคนเนดี, โรเบิร์ต แม็กนามารา, วิลเลียม เวสต์มอร์แลนด์ |
วัตถุประสงค์ | รายงานกิจกรรมบนเส้นทางโฮจิมินห์ |
วันที่ | สิงหาคม 2506—2515 |
ผู้ลงมือ | รัฐบาลสหรัฐ![]() ![]() ![]() แอร์อเมริกา ![]() รัฐบาลไทย ![]() |
ผลลัพธ์ | ประสบความสำเร็จ ถูกแทนที่ด้วยแผนงาน ฮาร์ก-1 |
ปฏิบัติการฮาร์ดโนส (อังกฤษ: Operation Hardnose) เป็นปฏิบัติการจารกรรมที่ดำเนินการโดยสำนักข่าวกรองกลางเพื่อติดตามเส้นทางโฮจิมินห์ ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในช่วงสงครามกลางเมืองลาว ปฏิบัติการนี้เริ่มต้นขึ้นในช่วงฤดูร้อนปี พ.ศ. 2506 และไม่นานก็ได้รับความสนใจจาก โรเบิร์ต แม็กนามารา รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ ในเดือนธันวาคมปี พ.ศ. 2506 เขาเรียกร้องให้ขยายขอบเขตปฏิบัติการ ปฏิบัติการฮาร์ดโนสได้รับการขยายสเกลและรายงานเกี่ยวกับเส้นทางโฮจิมินห์อย่างต่อเนื่อง แม้ว่ากิจกรรมข่าวกรองของกองทัพสหรัฐจะมุ่งเป้าไปที่เส้นทางการส่งเสบียงของคอมมิวนิสต์ก็ตาม ในความพยายามที่จะปรับเทคโนโลยีให้เหมาะกับการใช้งานของลาวเทิงที่ไม่รู้หนังสือ วิทยุยามฉุกเฉินบางเครื่องของกองทัพอากาศสหรัฐได้รับการดัดแปลงโดยซีไอเอเพื่อให้สายลับของพวกเขาใช้งานได้
ในปี พ.ศ. 2511 ปฏิบัติการฮาร์ดโนสถูกลดบทบาทความสำคัญลงเนื่องจากการใช้ระบบข่าวกรองอื่น ๆ เช่น เซ็นเซอร์อิเล็กทรอนิกส์บนอากาศและภาคพื้นดิน นอกจากนี้ ด้วยการถือกำเนิดของ ล็อกฮีด เอซี-130 ซึ่งสามารถค้นหาเป้าหมายด้วยตัวเองและโจมตีเป้าหมายได้ ทำให้การตรวจหายานพาหนะของศัตรูของฮาร์ดโนสแทบจะไม่มีประโยชน์ใด ๆ อีกต่อไป หลังจากนั้น ปฏิบัติการฮาร์ดโนสก็ค่อย ๆ ถูกลดความสำคัญลง
พระราชอาณาจักรลาวได้ก้าวสู่การเป็นเอกราชจากฝรั่งเศสภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นในช่วงที่ฝรั่งเศสเข้ามาล่าอาณานิคมในลาว ฝรั่งเศสจึงทิ้งประเทศนี้ไว้โดยขาดความเชี่ยวชาญและความเป็นผู้นำ นอกจากนี้ ฝรั่งเศสยังไม่สามารถรับมือกับการก่อกบฏของคอมมิวนิสต์ลาวที่ได้รับการสนับสนุนจากคอมมิวนิสต์เวียดนามในช่วงเวลาที่แยกตัวออกจากลาวได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม สหรัฐซึ่งแบกรับภาระในการจัดหาเงินทุนให้กับรัฐบาลพระราชอาณาจักรลาวมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้เข้ามาดำเนินการปราบปรามคอมมิวนิสต์ ส่งผลให้เกิดสงครามกลางเมืองลาวตามมาก่อนจะเกิดสงครามเวียดนาม ซึ่งแตกต่างจากสงครามเวียดนาม สงครามลาวต้องดำเนินไปภายใต้สมมติฐานของความลับเนื่องจากมีสนธิสัญญาระหว่างประเทศ คือ การประชุมเจนีวา (พ.ศ. 2497) ดังนั้น สำนักข่าวกรองกลางจึงเข้ามาสนับสนุนและดำเนินการปราบปรามการก่อกบฏภายในลาว[1]
ปฏิบัติการฮาร์ดโนสเป็นปฏิบัติการเฝ้าระวังท้องถนนบนเส้นทางโฮจิมินห์ ซึ่งเริ่มขึ้นในช่วงสงครามกลางเมืองลาว แนวคิดดั้งเดิมของปฏิบัติการนี้ถูกนำเสนอต่อประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2506[2] ในช่วงฤดูร้อนปี พ.ศ. 2506 ไมค์ ดิวเอล เจ้าหน้าที่สำนักข่าวกรองกลาง (CIA) ได้ย้ายฐานปฏิบัติการจากจังหวัดนครพนม ประเทศไทย ไปยังปากเซ ประเทศลาว เขาได้รับตัวแทนท้องถิ่นที่มีแววดีจากโครงการปฏิบัติการพินคูชชั่น หลังจากการฝึกขั้นสูงที่จังหวัดพิษณุโลก ประเทศไทย ในฤดูใบไม้ร่วงปี พ.ศ. 2506 เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่เฝ้าระวังท้องถนนบนเส้นทางโฮจิมินห์ที่ผ่านพื้นที่กองทัพแห่งชาติลาวภาค 4 พวกเขาตั้งฐานที่มั่นใกล้กับห้วยทรายบนที่ราบสูงโบลาเวน ด้วยความช่วยเหลือของชุด ที ของตำรวจพลร่มไทย การปฏิบัติงานของสายลับลาวเทิงประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง จนภายในเวลาสองเดือน ความพยายามของพวกเขาก็ได้รับการยกย่องจาก โรเบิร์ต แม็กนามารา รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2506 แมคนามาราได้เรียกร้องให้มีการขยายโครงการปฏิบัติการฮาร์ดโนส[3][4] หลังจากการเยือนเวียดนามแบบเร่งด่วนระยะเวลาสองวัน[5]
ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2507 ปฏิบัติการฮาร์ดโนสมีชุดปฏิบัติการจารกรรม 20 ชุด คอยเฝ้าติดตามถนนและพกพาวิทยุในบริเวณใกล้เคียงเมืองสาละวัน และพื้นที่ทางใต้บริเวณชายแดนกัมพูชา เมื่อครบปีปี มีเสียงเรียกร้องให้ขยายพื้นที่ปฏิบัติการฮาร์ดโนสเพิ่มเติม มีการนำผู้ฝึกสอนตำรวจพลร่มของไทยเข้ามาฝึกสอนเพิ่มเติม[6] ในเดือนกันยายน ผู้เฝ้าระวังถนนในปฏิบัติการฮาร์ดโนสได้รายงานว่ามีทหารกองทัพประชาชนเวียดนาม 5,000 นาย กำลังเคลื่อนตัวไปทางใต้ตามเส้นทางโฮจิมินห์ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าครึ่งหนึ่งจากจำนวนผู้บุกรุกที่รายงานตลอดปี พ.ศ. 2507 เครือข่ายการขนส่งที่เติบโตอย่างรวดเร็วรวมถึงถนนสายใหม่ที่กำลังก่อสร้างอยู่ คือ ทางหลวงหมายเลข 911 จะลดระยะทางระหว่างช่องเขามูเจียและเซโปนลงไปถึงหนึ่งในสาม[7]
ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2507 การประชุมประสานงานเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นการประชุมรายเดือนของเอกอัครราชทูตสหรัฐ เจ้าหน้าที่ซีไอเอ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ได้ตัดสินใจว่ากองบัญชาการความช่วยเหลือทางทหารเวียดนาม (MACV) ควรดำเนินการลาดตระเวนของตนเองในดินแดนของปฏิบัติการฮาร์ดโนส เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 1965 นายพล วิลเลียม เวสต์มอร์แลนด์ ได้มอบหมายให้หน่วย MACV-SOG ดำเนินการข้ามพรมแดนจากเวียดนามใต้เข้าไปในลาว[8] เมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2508 นายวิลเลียม เอช. ซัลลิแวน เอกอัครราชทูตประจำลาว ประท้วงโครงการใหม่นี้โดยระบุว่าเป็นการดำเนินการซ้ำของปฏิบัติการไวท์สตาร์ที่ล้มเหลว การบุกรุกภาคพื้นดินในสงครามลาวไม่ได้เป็นเพียงอิทธิพลเดียวในสงครามเวียดนามที่ส่งผลต่อปฏิบัติการของลาวเท่านั้น พื้นที่ปฏิบัติการทางอากาศของปฏิบัติการสตีลไทเกอร์ และปฏิบัติการไทเกอร์ฮาวด์ ถูกแบ่งออกจากพื้นที่ปฏิบัติการบาเรลโรลล์ในลาว และส่งมอบให้กับกองบัญชาการความช่วยเหลือทางทหารเวียดนาม เพื่อดำเนินการจากเวียดนาม นอกจากนี้ MACV-SOG ยังต้องการสนับสนุนพื้นที่ฐานกองโจรทางตะวันออกของที่ราบสูงโบโลเวนส์ระหว่างพื้นที่นั้นกับชายแดนเวียดนาม[9] ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2508 MACV-SOG ได้เอาชนะความกังวลของซัลลิแวนเกี่ยวกับความเป็นกลางของลาว และได้ส่งหน่วยลาดตระเวนในปฏิบัติการไชนิงบราสเพื่อสืบหาเส้นทางโฮจิมินห์จากทางเวียดนามใต้[10]
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2508 ไมค์ ดิวเอล ปฏิบัติหน้าที่ในลาวเป็นเวลา 3 ปี เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2508 ดิวเอลได้พาผู้ที่มาแทนที่เขาไปทำการบินปฐมนิเทศเพื่อแจกจ่ายเงินเดือนให้กับชุดในสาละวัน หลังจากพวกเขาออกเดินทางจากที่นั่น เครื่องยนต์ซิกอสกี เอช-34 ของแอร์อเมริกาก็หยุดทำงานห่างจากฐานประมาณ 24 กิโลเมตร (15 ไมล์)* ขณะกำลังเดินทาง ร่างของผู้โดยสารเฮลิคอปเตอร์ถูกกู้ขึ้นมาจากอุบัติเหตุโดยกองกำลังอาสาสมัคร Auto Defense Choc เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2508[7]
ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2508 ปฏิบัติการฮาร์ดโนสได้ขยายขอบเขตอีกครั้ง ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ชุดครูฝึกจากหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษของไทย (RTSF) จำนวน 21 นาย ได้เข้าร่วมกับปฏิบัติการฮาร์ดโนสที่ฐานทัพที่เพิ่งเปิดใหม่ซึ่งอยู่ห่างออกไป 27 กิโลเมตร (17 ไมล์)* ทางตะวันออกเฉียงใต้ของห้วยกง ทางเหนือของที่นั่น ค่ายฝึกไซบีเรียได้ก่อตั้งขึ้นที่ห่างออกไป 26 กิโลเมตร (16 ไมล์)* ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสะหวันนะเขต ซึ่งค่ายนี้ก็ได้รับครูฝึกงานหน่วยรบพิเศษไทย (RTSF) เช่นกัน นอกจากนี้ หน่วยรบพิเศษไทยยังได้จำลองแผนงานฮาร์ดโนสด้วยปฏิบัติการสตาร์ซึ่งดำเนินการเองโดยฝ่ายไทย โดยมีชุดเฝ้าติดตามบนท้องถนนจำนวน 4 ชุด ชุดละ 6 นาย ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2509 เฮลิคอปเตอร์ ซีเอช-3ซี ของปฏิบัติการโพนีเอกซ์เพรสที่ไม่ติดเครื่องหมายจำนวน 3 ลำ ได้รับการส่งมอบเพื่อแทนที่เครื่องบินของแอร์อเมริกาในการขนส่งทางอากาศของชุดปฏิบัติการฮาร์ดโนสและสตาร์[11] ในฤดูใบไม้ผลิปีเดียวกันนั้น มีชุดปฏิบัติงานถูกจับกุม 4 ชุดในช่วงเวลาสองสัปดาห์ในขณะที่กองทัพประชาชนเวียดนามเริ่มเพิ่มการเฝ้าระวัง[12]
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2509 เฮลิคอปเตอร์ของปฏิบัติการโพนีเอกซ์เพรสอีก 11 ลำได้รับมอบหมายให้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติภารกิจเฝ้าระวังบนถนนนั้นถูกขัดขวางโดยระดับการศึกษาที่ต่ำของผู้ปฏิบัติงานและอุปสรรคด้านภาษา ในช่วงครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2509 มีชุดปฏิบัติการสตาร์ของไทย 10 ชุดปฏิบัติการ[13] หน่วยทหารไทยที่ได้รับการคัดเลือกเป็นพิเศษจำนวน 50 นาย ถูกขนส่งด้วยเฮลิคอปเตอร์เป็นชุดไปยังเส้นทางโฮจิมินห์ หลังจากล้มเหลวเป็นเวลาสามเดือน ชุดเหล่านี้ก็ถูกยุบลง[11]
ชุดวิจัยได้ทดลองใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อติดตามการจราจรบนเส้นทางโฮจิมินห์ ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2510 ฝ่ายบริการทางเทคนิคของซีไอเอได้ส่งเซ็นเซอร์ตรวจจับการจราจรแบบแม่เหล็กไปติดตั้งบนเส้นทาง แต่อุปกรณ์ไม่สามารถนับได้อย่างแม่นยำหรือไม่ก็หยุดการนับไปเลย ในที่สุด ซีไอเอได้ดัดแปลงวิทยุยามฉุกเฉินของกองทัพอากาศสหรัฐให้เป็นวิทยุ ฮาร์ก-1 ซึ่งมีรูปภาพของทหารและรถบรรทุกของศัตรูอยู่ข้าง ๆ ปุ่มกด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเฝ้าระวังบนท้องถนนซึ่งอ่านหรือเขียนไม่ได้จะกดปุ่มทุกครั้งที่มีการนับทหารหรือรถบรรทุก จากนั้นจึงส่งสัญญาณจากการนับไปยังเครื่องบินที่อยู่เหนือศีรษะด้วยการกดปุ่มอื่น[11]
โดยพื้นฐานแล้ว ฮาร์ค-1 ถูกนำเข้ามาแทนที่ปฏิบัติการฮาร์ดโนส ผู้ฝึกใหม่ของซีไอเอถูกส่งต่อไปยังค่ายสำหรับปฏิบัติการฮาร์ดโนสเดิมในช่วงต้นปี พ.ศ. 2510 ผู้ฝึก ฮาร์ก-1 ที่ปรากฏตัวในเดือนกุมภาพันธ์ต้องพบสถานการณ์หน้างานที่ยุ่งยาก เจ้าหน้าที่ไทยปฏิบัติงานในปฏิบัติการสตาร์ของตนเองอย่างเต็มตัว เนื่องจากการละเลยแผนงานการเฝ้าระวังบนถนนของซีไอเอเดิม ชุดหน่วยรบพิเศษของไทยจึงทุ่มเทให้กับการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานเฝ้าระวังบนท้องถนนโดยเฉพาะ และได้ขยายสถานที่ฝึกอบรมสำหรับพวกเขา หลังจากสูญเสียนักบินของ บริษัท คอนติเนนตัล แอร์ เซอร์วิสเซส จำกัด ในอุบัติเหตุเครื่องบินตกเมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2510 แผนงาน ฮาร์ก-1 ได้ถูกมอบหมายให้แอร์อเมริกาเข้ามารับหน้าที่จัดหาลิงก์วิทยุบนอากาศให้กับฮาร์ก-1[14]
ปัจจุบัน ชุดฮาร์ก-1 ปฏิบัติการในสามพื้นที่ โดยโซนใต้สุดของพื้นที่มีศูนย์กลางอยู่ที่เซโปน แต่ขยายไปทางใต้จนถึงกัมพูชา ส่วนภาคกลางของชุดฮาร์ก-1 กำหนดเป้าหมายที่บริเวณช่องเขามูเจีย ในปี พ.ศ. 2510 มีชุดปฏิบัติการ 15 ชุดที่นั่น โดยมีสถานีหมุนเวียนสองแห่งอยู่ภายในช่องเขานั้นเอง พื้นที่ปฏิบัติการ ฮาร์ก-1 พืนที่ที่สามคือช่องเขาเนป เมื่อเทียบกับชุดลาดตระเวนของสหรัฐ ลาวมักจะเดินทัพเป็นระยะทางไกลอย่างไม่เป็นที่สังเกตเข้าไปในพื้นที่ปฏิบัติการแทนที่จะแทรกซึมด้วยเฮลิคอปเตอร์[12] นอกจากนี้ ลาวไม่ได้จำกัดอยู่แค่การให้บริการเป็นชุดเท่านั้น ในตอนนี้ พวกเขาเริ่มรับช่วงการฝึกเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานใหม่ต่อจากทหารไทย[15]
ชุด ฮาร์ก-1 จะฝังตัวอยู่ที่เดิมตราบเท่าที่พวกเขายังไม่ถูกค้นพบและมีเสบียงอยู่ ชุดปฏิบัติการบางส่วนอยู่ที่สถานีเป็นเวลาหลายเดือน นอกเหนือจากการใช้กล้องเป็นครั้งคราวและการทดลองใช้กล้องมองตอนกลางคืนในช่วงสั้น ๆ แล้ว พวกเขาก็มีอุปกรณ์เพียงน้อยนิดแต่เพียงพอ จำนวนการจราจรในปี พ.ศ. 2510แสดงให้เห็นว่ามีรถบรรทุกเพิ่มขึ้น 165% บนเส้นทางเมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2509 มีรถยนต์ที่มุ่งหน้าไปทางใต้ประมาณ 4,260 คันและมุ่งหน้าไปทางเหนือ 4,200 คัน ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2510 ถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2510 เมื่อกลางปี พ.ศ. 2511 แต่ละพื้นที่ของ ฮาร์ก-1 ทั้งสามพื้นที่มีชุดปฏิบัติการประมาณ 25 ชุดในสนาม[16]
อย่างไรก็ตาม นักบินของสหรัฐอ้างว่ารถบรรทุก 6,600 คันถูกทำลายตามเส้นทางในช่วงเวลาเดียวกัน ความไม่ตรงกันของจำนวนนี้ ร่วมกับโปรแกรมเฝ้าระวังด้วยเซ็นเซอร์ที่เริ่มขึ้นในช่วงปลายปี พ.ศ. 2510 ทำให้เกิดข้อสงสัยในความแม่นยำของชุดเฝ้าระวังบนท้องถนน ที่สำคัญกว่านั้น การถือกำเนิดของเครื่องบินติดปืนกล เอซี-130 สเปกเตอร์ ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2511 พร้อมระบบเฝ้าระวังอิเล็กทรอนิกส์บนเครื่องทั้งหมด ทำให้การสังเกตการณ์ภาคพื้นดินส่วนใหญ่กลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัยศูนย์ประมวลผลข่าวกรองทางทหารแห่งใหม่ที่เรียกว่า กองกำลังเฉพาะกิจร่วมอัลฟ่า (Task Force Alpha) เปิดทำการที่นครพนมเพื่อรวบรวมข้อมูลจากเส้นทางทั้งหมด ภายในฤดูร้อนปี พ.ศ. 2512 ชุดเฝ้าระวังท้องถนนก็เริ่มมีจำนวนลดน้อยลง[17] มาตรการตอบโต้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ของการลาดตระเวนของศัตรูและการใช้สุนัขติดตามต่างก็ส่งผลกระทบเช่นกัน[12] ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความพยายามปฏิบัติการทางอากาศของสหรัฐต่อรถบรรทุกของกองทัพปลดปล่อยประชาชนเวียดนามก็ถึงขีดจำกัด เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าจำนวนรถบรรทุกที่แท้จริงจะเป็นยอดเท่าไร การโจมตีทางอากาศก็ไม่สามารถที่จะหยุดการแทรกซึมผ่านเส้นทางนั้นได้[17]
ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2513 เจ้าหน้าที่ที่เพิ่งมาถึงได้เข้ามาดูแลโครงการเฝ้าระวังทางถนนในพื้นที่กองทัพแห่งชาติลาวภาค 4 ซึ่งไม่เคยหยุดปฏิบัติภารกิจเฝ้าระวังทางถนน จากประสบการณ์ที่สำนักงานใหญ่ของซีไอเอ (รายงานการเฝ้าระวังทางถนนซึ่งหมดประโยชน์แล้วจึงถูกปล่อยปะ) และในช่วงหลายเดือนแรกที่เขาทำงานในประเทศ เขาได้ยุติภารกิจเฝ้าระวังทางถนนลง และใช้ทรัพยากรเฝ้าระวังทางถนนเดิมสำหรับภารกิจรวบรวมข้อมูลข่าวกรองอื่น ๆ ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่เหลือของภารกิจ[18]