พระเจ้ามังระ | |||||
---|---|---|---|---|---|
พระเจ้าช้างเผือก เจ้าฟ้าแห่งมเยดู | |||||
พระมหากษัตริย์พม่า | |||||
ครองราชย์ | 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2306 – 10 มิถุนายน พ.ศ. 2319 (12 ปี 164 วัน) | ||||
ก่อนหน้า | พระเจ้ามังลอก | ||||
ถัดไป | พระเจ้าจิงกูจา | ||||
พระราชสมภพ | 12 กันยายน พ.ศ. 2279 มุกโชโบ | ||||
สวรรคต | 10 มิถุนายน พ.ศ. 2319 (39 พรรษา) อังวะ | ||||
คู่อภิเษก | แมละ พระชายาอีก 19 พระองค์ | ||||
พระราชบุตร | พระราชโอรส 20 พระองค์ พระราชธิดา 20 พระองค์ | ||||
| |||||
ราชวงศ์ | ราชวงศ์อลองพญา | ||||
พระราชบิดา | พระเจ้าอลองพญา | ||||
พระราชมารดา | แมยู่นซาน |
พระเจ้ามังระ (พม่า: ဆင်ဖြူရှင်မင်း ซีน-พยูชีนมี่น) เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 2 ในจำนวน 6 พระองค์ของพระเจ้าอลองพญา ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โก้นบอง ได้ขึ้นเป็นพระเจ้าอังวะพระองค์ที่ 3 ของราชวงศ์ในปี พ.ศ. 2306 พระองค์ได้ตามเสด็จพระเจ้าอลองพญาออกรบตั้งแต่อายุ 15 ปี เมื่ออายุ 17 ปี ก็สามารถเป็นผู้นำทัพเข้ายึดกรุงอังวะจากทหารมอญทั้งที่มีกำลังพลน้อยกว่ามากได้อย่างน่าทึ่ง ครั้นอายุ 20 ปีก็ช่วยพระเจ้าอลองพญารวมแผ่นดินสถาปนาราชวงศ์โก้นบองได้สำเร็จ อีกทั้งยังได้ติดตามพระราชบิดามาทำสงครามกับอยุธยาในการบุกครั้งแรกด้วย โดยในพงศาวดารของฝั่งพม่าได้กล่าวถึงมังระราชบุตรว่า เป็นผู้เตือนพระบิดาคือพระเจ้าอลองพญาว่า การบุกคราวนี้ยังไม่พร้อมพอที่จะเอาชัยชนะต่อกรุงศรีอยุธยาที่มีปราการธรรมชาติระดับนี้ได้ ซึ่งการณ์ก็เป็นไปดังนั้น และพระองค์ยังต้องเสียพระราชบิดาไปในศึกคราวนี้ด้วย
ต่อมาในปี พ.ศ. 2306 หลังจากขึ้นครองราชย์ พระองค์ปรารภในที่ประชุมขุนนางว่า "อยุธยาไม่เคยแพ้อย่างราบคาบมาก่อน" พระองค์สืบทอดเจตนารมณ์ของพระราชบิดาด้วยการส่งเนเมียวสีหบดีเข้ามากวาดต้อนผู้คนและกำลังพลจากหัวเมืองทางเหนือก่อนในปี พ.ศ. 2307 และได้ส่งทัพจากทางใต้คือมังมหานรธาเข้ามาเสริมช่วยอีกทัพหนึ่ง ทั้ง 2 ทัพได้ล้อมกรุงศรีอยุธยานานถึง 1 ปีกับสองเดือน แม้ถึงฤดูน้ำหลากก็ไม่ยกทัพกลับ สามารถเข้าตีพระนครได้เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 ตรงกับวันอังคาร ขึ้นเก้าค่ำ เดือนห้า ปีกุน[1][2]
พระเจ้ามังระมีพระนามที่ปรากฏในพงศาวดารพม่าว่า ซีน-พยูชีน โดยเป็นพระนามที่พระองค์ตั้งเอง อันเป็นพระนามเดียวกับพระเจ้าบุเรงนองซึ่งแปลว่า "พระเจ้าช้างเผือก" ก่อนที่จะยกทัพตีอยุธยา พระเจ้ามังระได้ยกความชอบธรรมเหนือดินแดนอยุธยามาแต่ครั้งพระเจ้าบุเรงนอง
ส่วนพระนาม มังระ หรือ มองระ ในพงศาวดารไทย มีที่มาจากพระนามจริงของพระองค์ คือ หม่องรวะ (မောင်ရွ)
พระเจ้ามังระทรงเป็นนักรบและนักการทหารที่เก่งกาจที่สุดพระองค์หนึ่ง โดยจะเห็นได้จากการทำสงครามแต่ละครั้งพระองค์จะทรงเป็นผู้มองภาพรวม วางยุทธศาสตร์ใหญ่ ก่อนจะมอบหมายงานให้แม่ทัพแต่ละคนได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ โดยในยุคของพระองค์มีแม่ทัพที่เก่งกาจอยู่มาก ทั้งอะแซหวุ่นกี้, มังมหานรธา, เนเมียวสีหบดี, เนเมียวสีหตู และบะละมี่นทีน โดยจะมีพระองค์เป็นจอมทัพที่จะคอยกำหนดภาพรวมของสงครามและคอยสนับสนุนแม่ทัพต่าง ๆ เมื่อถึงเวลา
พระองค์ทรงเป็นผู้ที่เคยติดตามพระบิดาคือ พระเจ้าอลองพญา มาทำสงครามกับอาณาจักรอยุธยา โดยพงศาวดารพม่าได้กล่าวถึงพระเจ้ามังระว่าเป็นผู้เตือนพระบิดาถึงความยากลำบากในการเข้าตีกรุงศรีอยุธยาที่มีปราการธรรมชาติยิ่งใหญ่ขนาดนี้ หากจะอาศัยแต่กำลังพลและเสบียงอาหารเท่าที่มีอยู่นั้น เห็นจะไม่สามารถปิดล้อมสายส่งกำลังบำรุงทั้งทางเหนือและใต้ของกรุงศรีอยุธยาได้หมด และหากยุทธปัจจัยของกรุงศรีอยุธยายังบริบูรณ์ พม่าจะไม่มีทางทำอะไรกรุงศรีอยุธยาได้เลย ควรยกทัพกลับไปวางแผนใหม่จะดีกว่า แต่พระเจ้าอลองพญาเชื่อมั่นในความสามารถของพระองค์จึงได้ทำการรบพุ่งต่อ สุดท้ายการณ์ก็เป็นอย่างที่พระเจ้ามังระตรัสไว้ แม้พระเจ้าอลองพญาจะพยายามอย่างมากแต่ก็ไม่สามารถหาทางข้ามแม่น้ำเข้ากรุงศรีอยุธยาได้ ด้วยครั้งนั้นอยุธยายังเพียบพร้อมไปด้วยอาวุธและกำลังพล อีกทั้งสายส่งกำลังบำรุงจากทางเหนือและใต้ก็ยังสามารถส่งอาหารและกระสุนดินดำเข้าสู่พระนครได้อยู่ และครั้งนั้นกรุงศรีอยุธยายังได้สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรออกบัญชาการรบด้วยพระองค์เอง สร้างขวัญกำลังใจให้แก่ทั้งทหารและประชาชนในพระนครเป็นอันมาก จนพระเจ้าอลองพญาต้องมาสวรรคตด้วยกระสุนปืนใหญ่แตกใส่ (ตามพงศาวดารฝ่ายไทย หากอิงตามพงศาวดารพม่าก็จะระบุว่าสวรรคตเพราะประชวร)
อย่างไรก็ตาม การที่พระเจ้ามังระต้องมาเห็นพระบิดาของพระองค์สิ้นไปในศึกครั้งนี้ทำให้พระองค์มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะพิชิตอาณาจักรอยุธยาเพื่อสานต่อปณิธานของบิดา รวมไปถึงการอ้างสิทธิมาแต่ครั้งพระเจ้าบุเรงนองเหนืออาณาจักรอยุธยา อีกทั้งทรงมองออกว่าการที่กบฏต่าง ๆ สามารถฟื้นคืนกลับมาได้ในเวลาอันรวดเร็วนั้น ก็เพราะมีมหาอำนาจอย่างอยุธยาเป็นผู้หนุนหลังอยู่ ทำให้ไม่ว่าจะปราบอย่างไรก็จะไม่มีวันสิ้นสุด
โดยในศึกครั้งนี้พระองค์ได้ปรารภในสภาขุนนางว่า "อาณาจักรอยุธยายังไม่เคยถึงกาลต้องพินาศลงอย่างเด็ดขาดมาก่อน หากแต่จะอาศัยกำลังของเนเมียวสีบดีที่ยกไปทางเชียงใหม่แต่เพียงทัพเดียวนั้นย่อมยากที่จะตีอยุธยาให้สำเร็จได้ จำเป็นต้องให้มังมหานรธายกไปช่วยกระทำการอีกด้านหนึ่งการณ์นี้จึงจะสำเร็จ" ทรงกำหนดวิธีการพิชิตอาณาจักรอยุธยาโดยส่งแม่ทัพมังมหานรธา และเนเมียวสีหบดีโดยแบ่งเป็นฝ่ายเหนือ-ใต้ ให้ไล่ยึดหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อโดดเดียวอยุธยา จากนั้นก็ให้รวมไพร่พลระหว่างการเดินทัพ ซึ่งการมาครั้งนี้เป็นการจงใจมาในจังหวะที่อาณาจักรอยุธยาอ่อนแอ เนื่องจากแม่ทัพห่างสงครามมายาวนาน และภายในก็ระส่ำระส่ายจากขุนนางฉ้อฉล
พระองค์ทรงมีบทเรียนมาจากคราวทำศึกกับอาณาจักรอยุธยาครั้งแรก โดยมองออกว่าแม้ตัวเมืองอยุธยานั้นจะบุกได้ยากเนื่องจากมีลักษณะเป็นเกาะ แต่นั้นก็เป็นเหมือนดาบสองคม เพราะหากเกาะที่ขาดกำลังบำรุงแม้จะแข็งแกร่งหรือมีไพร่พลมากซักเพียงใด สุดท้ายอาหารก็ต้องหมด การรักษาภาพรวมเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนผ่านฤดูน้ำหลากไปได้ ภายในเมืองย่อมระส่ำระสาย และการณ์ก็เป็นเช่นนั้น เมื่อกองทัพพม่าสามารถพิชิตกรุงศรีอยุธยาได้ในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 ตรงกับวันอังคาร ขึ้นเก้าค่ำ เดือนห้า ปีกุน และนั้นแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่พระองค์คิดนั้นถูกต้อง กองทัพพม่าสามารถยึดกรุงศรีอยุธยาเอาไว้ได้[3]
สงครามจีน–พม่าเริ่มขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2308 มีเหตุมาจากความขัดแย้งระหว่างพม่ากับจีนในเรื่องหัวเมืองไทใหญ่ ซึ่งกองทัพพม่าได้ยกเข้าดินแดนไทใหญ่และรุกคืบไปเรื่อย ๆ ทำให้พวกเจ้าฟ้าไทใหญ่ได้ไปขอความช่วยเหลือจากจีน แต่จีนก็ยังไม่ส่งกำลังมาช่วยโดยรอเวลาที่เหมาะสมอยู่ และเวลานั้นก็มาถึงเมื่อจีนเห็นพม่ากำลังทำศึกติดพันอยู่กับอยุธยา จึงเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการกำราบพม่าลง แต่การณ์ก็ไม่ได้เป็นไปดังนั้น เมื่อกองทัพของพม่าที่นำโดยอะแซหวุ่นกี้, เนเมียวสีหตู, บะละมี่นทีน และเนเมียวสีหบดีที่กลับมาช่วยในภายหลังนั้นกลับเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะต่อกองทัพต้าชิงอันเกรียงไกร ทำให้แม่ทัพของราชวงศ์ชิงอย่างหลิวเจ้าแม่ทัพกองธงเขียว (บุกครั้งที่ 1) หยางอิงจวี่แห่งกองธงเขียว (บุกครั้งที่ 2) รวมถึงพระนัดดาหมิงรุ่ยแห่งกองธงเหลือง (ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้) ขุนพลเอกแห่งราชวงศ์ชิงผู้พิชิตมองโกลและเติร์ก (บุกครั้งที่ 3) ต้องฆ่าตัวตายหนีความอัปยศ[4][5]
หลังทรงทราบข่าวความพ่ายแพ้ของหมิงรุ่ย จักรพรรดิเฉียนหลงทรงตกพระทัยและกริ้วยิ่งนัก จึงทรงมีรับสั่งเรียกตัวองค์มนตรีฟู่เหิงซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของหมิงรุ่ย นักการทหารผู้ยิ่งใหญ่แห่งต้าชิงกลับมารับตำแหน่ง พร้อมด้วยแม่ทัพแมนจูอีกหลายนายเช่น เสนาบดีกรมกลาโหมอากุ้ย, แม่ทัพใหญ่อาหลีกุ่น, รวมทั้งเอ้อหนิงสมุหเทศาภิบาลมณฑลยูนนานและกุ้ยโจว ให้มารวมตัวกันเพื่อเตรียมบุกพม่าเป็นครั้งที่สี่ นับเป็นการรวมตัวกันของเสนาบดีระดับสูงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในยุคของพระองค์ โดยอาศัยกำลังทั้งจากทัพแปดกองธงและกองธงเขียว การสู้รบเป็นไปอย่างดุเดือด โดยฝ่ายจีนพยายามอย่างมากในการเข้ายึดหมู่บ้านก้องโตนอันเป็นจุดยุทธศาสตร์ แต่บะละมี่นทีนก็ยังสามารถต้านเอาไว้ได้อย่างน่าประหลาดใจ ส่วนอีกด้านหนึ่งกองทัพจีนก็รุกคืบได้ช้ามาก เนื่องจากอะแซหวุ่นกี้ได้ส่งเนเมียวสีหตูคอยทำสงครามจรยุทธปั่นป่วนแนวหลังของต้าชิงเอาไว้ ทำให้ต้าชิงต้องพะวงหลังตลอดการศึก ถึงอย่างนั้นอะแซหวุ่นกี้เองก็มีกำลังไม่มากพอที่จะเอาชนะต้าชิงได้ในตอนนี้[6]
แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็มาถึง เมื่อกองทัพของเนเมียวสีหบดีกลับมาถึงหลังจากพิชิตกรุงศรีอยุธยาลงได้แล้ว อะแซหุว่นกี้จึงเปลี่ยนแผนโดยใช้กองทัพเข้าโจมตีจุดสำคัญในเวลาพร้อม ๆ กัน เพื่อบีบให้กองทัพต้าชิงที่กระจายตัวอยู่ถอยกลับมารวมกับกองทัพใหญ่ จากนั้นกองทัพพม่าจึงเข้าตีกระหนาบและล้อมกองทัพต้าชิงไว้ได้ แม้ชัยชนะจะอยู่ต่อหน้าแล้ว แต่อะแซหวุ่นกี้ก็ไม่ได้สั่งให้ทหารพม่าเข้าทำลายกองทัพต้าชิง ทำแต่เพียงล้อมเอาไว้แล้วบีบให้ยอมเจรจา[7] หลังจากการรบยืดเยื้อจนถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2312 พม่าและจีนก็พักรบเนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างเหนื่อยล้าเต็มทน และยิ่งนานไปยิ่งไม่เป็นผลดีต่อทั้งคู่ โดยฝ่ายต้าชิงที่ติดอยู่ในวงล้อมตัดสินใจยอมเจรจากับทางพม่า การสู้รบที่ยาวนานถึง 4 ปีก็จบลงมีการทำสนธิสัญญาก้องโตน เป็นการจบสงครามระหว่างพระเจ้ามังระกับจักรพรรดิเฉียนหลงลงในวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2312
การรบครั้งนี้ทำให้ต้าชิงต้องสูญเสียฟู่เหิงและอาหลีกุ่น แม่ทัพใหญ่และรองแม่ทัพ ด้วยไข้มาลาเรีย หลังจากนั้น 20 ปี เมื่อพระเจ้ามังระสิ้นไปแล้ว ราชวงศ์โก้นบองและจีนก็ได้ฟื้นความสัมพันธ์ขึ้นมาใหม่ในยุคของพระเจ้าปดุงหลังพระองค์ทรงพ่ายแพ้ต่อกรุงรัตนโกสินทร์ถึง 2 ครั้ง โดยพม่ายอมส่งบรรณาการให้แก่อาณาจักรต้าชิง แลกกับการที่จีนยอมรับราชวงศ์โก้นบองของพม่า[8]
พระเจ้ามังระทราบว่าขณะนี้ทางอยุธยากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง ราชธานีแห่งใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นนั้นคือกรุงธนบุรี แต่ในช่วงเวลานี้ภัยคุกคามจากต้าชิงสำคัญกว่ามาก เพราะหากพลาดพลั้งนั้นหมายถึงการล่มสลายของอาณาจักรโก้นบองที่พระองค์เพียรสร้างขึ้น ดังเช่นอาณาจักรพุกามที่ถูกกองทัพมองโกลทำลายล้างในอดีต หลังจากจบศึกกับต้าชิง พระองค์ประเมินแล้วว่าอาณาจักรของพระองค์บอบช้ำเกินกว่าจะทำศึกต่อไปได้อีก พระองค์จึงทรงให้ไพร่พลได้พักฟื้นถึง 5 ปี ในระหว่างพักพื้นนั้นก็ได้มีการตระเตรียมเสบียงอาหารเอาไว้ เพื่อใช้สำหรับทำศึกกับอาณาจักรที่เพิ่งก่อตั้งอย่างกรุงธนบุรี หลังเตรียมการเป็นอย่างดีในปี พ.ศ. 2318 พระเจ้ามังระได้ให้อะแซหวุ่นกี้เป็นแม่ทัพใหญ่ลงมาทำศึกด้วยตนเอง อะแซหวุ่นกี้ได้นำทัพ 35,000 นาย พิชิตหัวเมืองต่าง ๆ มาได้ตลอดทางรวมแล้วมีกำลังพลมากกว่า 50,000 นาย จนสามารถตีเมืองพิษณุโลกแตกและเตรียมรวมทัพมุ่งสู่กรุงธนบุรี อีกเส้นพระองค์ได้ให้เนเมียวสีหบดีเป็นแม่ทัพไปปราบปรามหัวเมืองทางเหนือจนสามารถยึดเชียงใหม่ได้ เตรียมนำกองทัพลงไปสมทบกับอะแซหวุ่นกี้ที่เป็นแม่ทัพใหญ่อีกทางหนึ่ง ส่วนทัพทางใต้ก็สามารถตีเมืองกุย เมืองปราณได้สำเร็จพร้อมนำทัพบุกเข้ากรุงธนบุรีอีกทางหนึ่ง แต่แล้วในวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2319 ราชสำนักอังวะได้แจ้งข่าวมาถึงอะแซหวุ่นกี้ว่า พระเจ้ามังระได้เสด็จสวรรคตแล้ว พระเจ้าจิงกูจา กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีบัญชาให้อะแซหวุ่นกี้ยกทัพกลับกรุงอังวะในทันที[9][10]
พระเจ้ามังระสวรรคตอย่างกะทันหันในปี พ.ศ. 2319 ขณะพระชนมายุเพียง 39 พรรษา ทรงครองราชย์ได้ 12 ปี 164 วัน โดยก่อนจะสวรรคตพระองค์ลังเลที่จะมอบราชบัลลังก์ให้แก่พระเจ้าจิงกูจา เนื่องจากทรงเห็นอุปนิสัยตั้งแต่เด็กว่าชอบดื่มสุราและมีอารมณ์ฉุนเฉียวโหดร้าย ครั้นจะยกราชสมบัติให้ราชบุตรองค์รองเจ้าชายแชลงจาซึ่งมีสติปัญญาดีและอ่อนโยนกว่า ก็คิดว่าพระเจ้าจิงกูจาต้องไม่ยอมเป็นแน่ ไม่แคล้วคงเกิดสงครามระหว่างพี่น้องจึงได้ตัดสินพระทัยมอบราชสมบัติแก่พระเจ้าจิงกูจาโดยหวังว่าเมื่อได้สมบัติแล้วคงไม่คิดทำร้ายน้อง แต่ครั้งนี้พระองค์คิดผิด เมื่อพระเจ้าจิงกูจาได้ราชสมบัติแล้วก็สั่งปลดอะแซหวุ่นกี้ แม่ทัพคู่บารมีของพระองค์ ทั้งที่เป็นผู้ส่งต่ออำนาจให้พระเจ้าจิงกูจาอย่างมั่นคง และที่น่าเศร้ากว่านั้นคือพระเจ้าจิงกูจาทรงระแวงพระอนุชาว่าจะคิดแย่งราชสมบัติ จึงสั่งให้นำเจ้าชายแชลงจาไปประหารด้วยเสียอีกคน[11][12]
พงศาวลีของพระเจ้ามังระ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
ก่อนหน้า | พระเจ้ามังระ | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
พระเจ้ามังลอก | พระเจ้าอังวะ (อาณาจักรพม่ายุคที่ 3) (พ.ศ. 2306–2319) |
พระเจ้าจิงกูจา |