ศาลาว่าการกลาโหม | |
---|---|
ข้อมูลทั่วไป | |
สถาปัตยกรรม | นีโอ-พัลลาเดียน |
ที่ตั้ง | เขตพระนคร, กรุงเทพมหานคร |
พิกัด | 13°45′6″N 100°29′40″E / 13.75167°N 100.49444°E |
การออกแบบและการก่อสร้าง | |
สถาปนิก | โยอาคิม กรัสซี |
ศาลาว่าการกลาโหม เป็นอาคารประวัติศาสตร์ใน เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่ตรงข้ามกับพระบรมมหาราชวังบนถนนสนามไชยใจกลางเกาะรัตนโกสินทร์อันเก่าแก่ อาคารหลังนี้เป็นแบบนีโอ-พัลลาเดียนสร้างขึ้นเป็น โรงทหารหน้า ในปี 2425–2427 โดยเป็นการออกแบบโดยโยอาคิม กรัสซีสถาปนิกชาวอิตาลี ทำหน้าที่เป็นสำนักงานของกระทรวงกลาโหมมาตั้งแต่ก่อตั้งกระทรวงในปี 2430
อาคารตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของพระบรมมหาราชวังและทางทิศใต้ของศาลหลักเมืองเคยเป็นที่ตั้งของวังเจ้านายถึง 3 วังที่สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (พ.ศ. 2325–2352) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว วังต่าง ๆ ก็ไม่ได้ใช้เป็นที่ประทับอีกต่อไปและบางส่วนของบริเวณนี้ถูกใช้เป็นยุ้งฉาง คอกม้า และโรงเลี้ยงไหม[1][2]
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงงานอย่างหนักเพื่อปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย รวมไปถึงการแทนที่ระบบแรงงานเกณฑ์ด้วยการใช้กำลังทหารอาชีพ กองทหารที่เรียกว่า "ทหารหน้า" ประกอบด้วยทหารประมาณ 4,400 นาย ได้รับการจัดตั้งขึ้นในช่วงปลายทศวรรษปี 1870 เพื่อทำหน้าที่ปกป้องพระนคร[3] ความจำเป็นในการมีที่ตั้งถาวรสำหรับกองกำลังก็ปรากฏชัดเจนในไม่ช้าหลังจากเกิดการระบาดของอหิวาตกโรคซึ่งทำให้ทหารหลายนายเสียชีวิต ผู้บังคับกองทหาร เจ้าหมื่นไวยวรนาถ (ต่อมาคือจอมพล เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต)) จึงได้ขอให้สร้างค่ายทหารขึ้น และดำเนินการก่อสร้างในบริเวณดังกล่าวระหว่างปี พ.ศ. 2425 ถึง พ.ศ. 2427 อาคารนี้ได้รับการออกแบบโดยโยอาคิม กรัสซี สถาปนิกชาวอิตาลีโดยมีเจ้าหมื่นไวยวรนาถเป็นผู้ดูแลการก่อสร้าง อาคารนี้ได้รับการเปิดอย่างเป็นทางการโดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2427 เมื่อมีการก่อตั้งกระทรวงกลาโหมอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2430 อาคารดังกล่าวจึงกลายมาเป็นที่ทำการของกระทรวง และยังคงมีบทบาทมาจนถึงปัจจุบัน[1]
อาคารนี้ออกแบบในสไตล์นีโอ-ปัลลาเดียนโดยมีผังอาคารเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า 3 ชั้น มีลานกลางอาคารก่อด้วยอิฐ ส่วนหน้าอาคารที่หันไปทางทิศตะวันตกมุ่งสู่พระบรมมหาราชวังมีลักษณะเด่นคือหน้าจั่วตรงกลางที่รองรับด้วยเสาแบบดอริกขนาบข้างด้วยปีกอาคารสองข้างซึ่งมีประตูเปิดออกไปสู่ลานภายใน หน้าต่างเรียงรายทั้งสามชั้นภายนอกอาคารซึ่งตกแต่งด้วยเสาเรียงซ้อนกัน[1]
แม้ว่าส่วนหน้าของอาคารจะสมมาตรอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ปีกของอาคารกลับเรียวไปทางด้านหลังตามความจำเป็นของรูปทรงของแปลงที่ดิน ซึ่งตัวอาคารครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด ยกเว้นสนามหญ้าด้านหน้า มีถนนล้อมรอบอยู่ทุกด้าน (ทิศตะวันตกคือถนนสนามไชย ทิศเหนือคือถนนหลักเมือง ทิศตะวันออกคือถนนราชินี และทิศใต้คือถนนกัลยาณไมตรี) ตามแผนเดิมโครงสร้างส่วนกลางจะประกอบด้วยคลังอาวุธและพิพิธภัณฑ์การทหารที่ชั้นบน ห้องประชุมอยู่ตรงกลาง และพื้นที่ฝึกฟันดาบด้านล่าง ปีกทั้งสองข้างประกอบด้วยห้องนอนอยู่ชั้นบน ห้องประชุมและฝึกอบรมอยู่ตรงกลาง และพื้นที่เก็บอาวุธและเสบียงอยู่ชั้นล่าง ปีกทางเหนือเป็นที่ตั้งของหน่วยปืนใหญ่ โรงพยาบาลทหาร และคอกม้า ในขณะที่ปีกทางใต้เป็นที่ตั้งของหน่วยทหารราบและหน่วยวิศวกรรม บริเวณด้านหลังของปีกทางใต้มีหอนาฬิกาที่เชื่อมต่อกัน (ซึ่งปัจจุบันได้รื้อถอนไปแล้ว) ซึ่งยังเป็นที่ตั้งของเครื่องสูบน้ำและถังเก็บน้ำอีกด้วย โดยอาคารนี้สร้างขึ้นโดยใช้ท่อประปาที่ทำจากโลหะ ลานตรงกลางใช้เป็นสถานที่ฝึกซ้อมและออกกำลังกาย
ตัวอาคารได้รับการต่อเติมหลายครั้ง รวมทั้งการขยายส่วนหน้าอาคาร[1] ส่วนใหม่ที่ขนานไปกับปีกเดิมทางเหนือ และส่วนต่อขยายที่ด้านหลัง (ด้านตะวันออก) ของอาคาร[4]เคยเป็นที่ตั้งของยุ้งฉาง โรงอาบน้ำ และสระว่ายน้ำ อาคารนี้ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ในปี 2540 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานโดยกรมศิลปากรในปี 2541[1][4]
ที่สนามหญ้าหน้าอาคารเป็นสวนมีปืนใหญ่สัมฤทธิ์จำนวนมาก ส่วนจัดแสดงนี้ริเริ่มโดยพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งอาจทรงได้รับแรงบันดาลพระราชหฤทัยจากประสบการณ์ระหว่างที่ทรงศึกษาที่วิทยาลัยการทหารแซนด์เฮิร์สต์[5] จากการสำรวจในปี พ.ศ. 2464 พบว่าเคยมีการจัดแสดงปืนใหญ่ไว้บนสนามหญ้าถึง 63 กระบอก[6] แต่หลายกระบอกได้ถูกย้ายไปที่อื่นแล้ว และปัจจุบันยังมีปืนอีก 40 กระบอกที่ยังคงเหลืออยู่ ปืนใหญ่เกือบทั้งหมดมีชื่อจารึกไว้ เช่น "ถอน พระสุเมรุ" และ “ลมประไลยกัลป์”[6] ปืนใหญ่ที่ใหญ่และสำคัญที่สุดคือปืนใหญ่พญาตานีซึ่งยึดมาจากเมืองปัตตานี (ขณะนั้นเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรปตานี) เมื่อปี พ.ศ. 2329[5]
มีการปรับเปลี่ยนส่วนจัดแสดงหลายครั้ง ในปี พ.ศ. 2547 ปืนใหญ่หลายกระบอกรวมถึงปืนใหญ่พญาตานีถูกหมุนมาตั้งตรงหน้าอาคาร ทำให้เกิดข่าวลือว่ากระทรวงกำลังพยายามหลีกเลี่ยงโชคร้ายที่เกิดจากปืนที่เล็งไปที่พระบรมมหาราชวังเช่นเดียวกับที่เคยทำมาก่อนหน้านี้[7] พลเอกอู๊ด เบื้องบน ปลัดกระทรวงกลาโหมในขณะนั้นได้ออกมาปฏิเสธโดยกล่าวว่าการกระทำดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการปรับภูมิทัศน์ใหม่ โดยดำเนินการตามคำร้องขอของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและตามคำแนะนำของกรมศิลปากร และเพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 120 ปีของกระทรวงด้วย[7]
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การจัดแสดงก็ได้รับการจัดระเบียบใหม่ โดยตอนนี้ปืนใหญ่ทั้งหมดชี้ไปด้านข้าง ในปี พ.ศ. 2557 กระทรวงได้จัดนิทรรศการดังกล่าวในรูปแบบพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง โดยใช้ชื่อว่า พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ โดยมีป้ายข้อมูลและทัวร์นำชมตามกำหนดการ สวนแห่งนี้ยังมีรูปปั้น คชสิงห์ ขนาดใหญ่ 2 ตัวและน้ำพุดนตรีอีกด้วย[8]