มาณีกีแบบจีน | |
---|---|
摩尼教 | |
![]() ภาพแขวนรูปพระมณีศิลปะจีนเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 14-15 | |
ภาษา | จีน |
สาขาของ | ศาสนามาณีกี |
แยกออก | พุทธนิกายสุขาวดี, ลัทธิบัวขาว |
ชื่ออื่น | เม้งก่า |
ศาสนามาณีกีแบบจีน (จีน: 摩尼教; พินอิน: Móníjiào; เวด-ไจลส์: Mo2-ni2 Chiao4; แปลตรงตัว: "ศาสนาของหม่อหนี") หรือเป็นที่รู้จักตามสำเนียงแต้จิ๋วว่า เม้งก่า[1][2] สำเนียงฮกเกี้ยนออกเสียงว่า เบ่งก่าว[3] (จีน: 明教; พินอิน: Míngjiào; เวด-ไจลส์: Ming2-Chiao4; แปลตรงตัว: "ศาสนาแห่งแสงสว่าง") ในวรรณกรรมแปลเป็น พรรคจรัส หรือ นิกายเรืองโรจน์ ก็ว่า[4] เป็นศาสนามาณีกีรูปแบบหนึ่งซึ่งตกทอดและได้รับการนับถือจากศาสนิกชนจีนผ่านการค้ากับโลกตะวันตกผ่านการพาณิชยนาวีและผ่านเส้นทางสายไหม พร้อม ๆ กับศาสนาคริสต์นิกายเนสเทอเรีย[5] ซึ่งได้รับมาตั้งแต่ช่วงก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 9 ดังปรากฏหลักฐานเอกสารตุนหวงในถ้ำมั่วเกา[6]
ศาสนามาณีกีแบบจีนเป็นศาสนาที่มีลักษณะแบบเอกเทวนิยม มุ่งมาดปรารถนาให้บูชาพระเจ้าเพียงองค์เดียวเรียกว่า ซ่างตี้ (上帝 "มหาเทพ"), หมิงซุน (明尊 "ผู้สว่างไสว") หรือเจินเฉิน (真神 "ผู้เที่ยงแท้") พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าเป็นพระผู้สร้างสิ่งต่าง ๆ จากจิตวิญญาณที่มีชีวิตของพระองค์เอง ก่อให้เกิดสรรพสิ่งที่มีชีวิตเช่นมนุษย์ ซึ่งรวมไปถึงพระมณี (摩尼) ซึ่งเป็นศาสดา[7] ต่อมาได้มีการรับความเชื่อนอกศาสนาเข้ามาผสานจนมีรูปแบบเป็นของตนเอง[8] รวมทั้งส่งอิทธิพลก่อให้เกิดศาสนาใหม่ขึ้น เช่น ลัทธิเมตไตรยและลัทธิบัวขาว และในขณะเดียวกันศาสนามาณีกีเองกลับกลืนกลายไปกับศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าที่เฟื่องฟูกว่า หลังการปราบปรามศาสนาต่างด้าวเป็นต้นมา ศาสนามาณีกีก็อ่อนอิทธิพลลงและสูญหายไปในคริสต์ศตวรรษที่ 14[9] ปัจจุบันมีศาสนิกชนจำนวนหนึ่งอ้างว่ายังนับถือศาสนามาณีกีหรือเม้งก่าอยู่[10][11]
แม้ศาสนามาณีกีแบบจีนสูญหายไปแล้ว แต่ปัจจุบันยังคงหลงเหลือจารีต ประเพณี และวัตรปฏิบัติของศาสนามาณีกีแบบจีนให้เห็นอยู่ เช่น การสวมชุดขาว หรือแม้แต่การรับประทานอาหารเจของชาวไทยเชื้อสายจีนในประเทศไทย[2][12]
เม้งก่า ในสำเนียงแต้จิ๋ว หรือ หมิงเจี้ยว ในสำเนียงจีนกลาง มาจาก หมิง หรือ เม้ง (明) แปลว่า แสง กับ เจี้ยว หรือ ก่า (教) แปลว่า ศาสนา เมื่อรวมกันจะมีความหมายว่า ศาสนาแห่งแสง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ถาวร สิกขโกศล อธิบายไว้ว่า "...ลัทธิเม้งก้ารับความเชื่อเรื่องเทพแห่งแสงสว่าง (ความดี) และเทพแห่งความมืด (ความชั่ว) ไปเป็นหลักคำสอนพื้นฐาน คำว่า ‘เม้ง’ อันเป็นชื่อลัทธิแปลว่า ‘แสงสว่าง’ เกิดจากอักษร ‘พระอาทิตย์’ (日) กับ ‘พระจันทร์’ (月) ผสมกันเป็น ‘เม้ง’ (明) ลัทธินี้จึงมีพิธีไหว้พระอาทิตย์ไหว้พระจันทร์…"[1]
พจนานุกรมศัพท์ศาสนาของจีน ให้ความหมายไว้สองอย่าง ดังนี้[12]
ในวรรณกรรมจีนที่แปลเป็นภาษาไทย จะเรียกว่า พรรคจรัส หรือ นิกายเรืองโรจน์[4]
ศาสนามาณีกีเผยแผ่สู่ดินแดนจีนในยุคราชวงศ์ถัง[13] ผ่านประชาคมผู้อพยพจากเอเชียกลาง[13] แหล่งข้อมูลบางแห่งระบุว่าศาสนามาณีกีเผยแผ่ครั้งแรกใน ค.ศ. 694 แต่แท้จริงแล้ว มีการเผยแผ่เกิดขึ้นเร็วกว่าที่ระบุไว้มาก[14] เพราะในเอกสารของชาวมาณีกีระบุว่ามีการเผยแผ่ศาสนาครั้งแรกในรัชกาลจักรพรรดิถังเกาจง (ค.ศ. 649–683) ต่อมาคณะศิษย์ของบิชอปโมซักแห่งมีฮร์ออร์แมซด์ (Mihr-Ohrmazd) ได้เดินทางไปยังประเทศจีนและได้เข้าเฝ้าจักรพรรดินีบูเช็กเทียน พวกเขานำหนังสือ ชาฮ์ปูรากัน (เปอร์เซีย: شاپورگان) มาเผยแพร่ และกลายเป็นเอกสารมาณีกีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดฉบับหนึ่ง[15]
ค.ศ. 731 จักรพรรดิถังซวนจงมีพระราชโองการให้ชาวมาณีกีสรุปคำสอนทางศาสนาของตนเอง เพราะเป็นศาสนาต่างด้าว คือเอกสาร สรุปพิธีกรรมและคำสอนของพระมณีพุทโธภาสจากตุนหวง (敦煌本摩尼光佛教法仪略的) ผลปรากฏว่า พระมณีคือผู้ตื่นจากแสงสว่าง จากข้อความนี้บ่งว่าพระมณีคือการกลับชาติมาเกิดของเล่าจื๊อ ศาสดาของลัทธิเต๋า เพราะในขณะนั้นชาวมาณีกีมีปัญหากระทบกระทั่งกับพุทธศาสนิกชนชาวจีน แต่คงสัมพันธภาพอันดีกับลัทธิเต๋าแทน สอดคล้องกับเอกสารลัทธิเต๋าคือ ฮว่าหูจิง (化胡經 "คัมภีร์เปลี่ยนศาสนาของพวกอนารยชน") ที่ระบุว่าเล่าจื๊อกลับชาติมาเกิดเป็นพระมณี เพื่อเผยแผ่ศาสนาแก่ชาวตะวันตก ซึ่งขณะนั้นจีนมองว่าเป็นพวกอนารยชน[16][17]
ขณะที่รัฐข่านอุยกูร์รับศาสนามาณีกีจากชาวซอกเดีย จนกระทั่งเบอกือ คากัน (牟羽可汗; ค.ศ. 759–780) ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองทรงเปลี่ยนไปนับถือศาสนามาณีกีใน ค.ศ. 763 หลังสนทนาธรรมกับนักบวชมาณีกีได้เพียงสามวัน และทรงยกย่องเป็นศาสนาประจำชาติ ทำให้สำนักงานใหญ่ของศาสนามาณีกีในบาบิโลนส่งนักบวชระดับสูงไปประจำที่ดินแดนของชาวอุยกูร์[18][19] แต่ก็ยังเป็นรองศาสนาพุทธที่ทรงอิทธิพลในดินแดนแถบนั้นมาช้านาน[4] ในช่วงเวลาที่ชาวจีนและชาวอุยกูร์ยังปรองดองกันอยู่ ราชวงศ์ถังผ่อนคลายข้อจำกัดบางประการแก่ชาวอุยกูร์ อนุญาตให้ชาวอุยกูร์ก่อสร้างอารามมาณีกีตามหัวเมืองต่าง ๆ ได้แก่ ฉางอาน (长安) ลั่วหยาง (洛阳) เช่าซิง (绍兴) หยางโจว (扬州) หนานจิง (南京) และจิงโจว (荆州) โดยอารามมาณีกีแห่งแรกถูกสร้างใน ค.ศ. 768[20]
แต่ความเจริญรุ่งเรืองของศาสนามาณีกีกลับสะดุดลง เมื่อรัฐข่านอุยกูร์พ่ายสงครามแก่ชาวคีร์กีซใน ค.ศ. 840 ศาสนามาณีกีจึงย้ายศูนย์กลางศาสนาไปที่อื่น และเริ่มเกิดความไม่พอใจคนต่างด้าวที่ไม่ใช่คนจีน ศาสนามาณีกีซึ่งเป็นศาสนาของคนต่างด้าวจึงถูกปราบปรามและถูกห้ามนับถืออย่างเป็นทางการหลังเหตุการณ์การต่อต้านและประหารพุทธศาสนิกชนครั้งใหญ่ในรัชกาลจักรพรรดิถังอู่จงเมื่อ ค.ศ. 847 โดยรัฐบาลจะริบทรัพย์สินทั้งหมดในศาสนสถาน มีการเผาทำลายวัด เผาพระคัมภีร์ สังหารนักบวชและฆราวาส แต่ที่โหดร้ายที่สุดคือกรณีประหารนักพรตหญิงของมาณีกีจำนวน 70 รูปที่ฉางอาน[19] ต่อมารัฐบาลมีคำสั่งให้นักบวชมาณีกีสวมชุดฮั่นฝูตามธรรมเนียมจีน เพราะชุดดั้งเดิมของนักบวชนั้นเป็นชุดคนต่างด้าว และมีอีกกรณีที่รัฐบาลมีคำสั่งให้นักบวชมาณีกีแต่งกายแบบเดียวกับพระสงฆ์ในศาสนาพุทธ นักบวชมาณีกีซึ่งไว้ผมยาวต้องโกนศีรษะทั้งหมด ประมาณการกันว่าชาวมาณีกีมากกว่าครึ่งหนึ่งถูกสังหารจากการกดขี่ศาสนาครั้งใหญ่นี้[21] และสองปีหลังเหตุการณ์ข่มเหงทางศาสนา รัฐบาลประกาศปิดประเทศและต่อต้านชาวต่างชาติ ทำให้ศาสนามาณีกีต้องอยู่อย่างหลบซ่อน ไม่สู้รุ่งเรืองดังเก่าก่อน[22] นักบวชมาณีกีซึ่งเป็นคนต่างด้าวถูกประหาร บ้างก็ลี้ภัยไปถิ่นอื่น[23] หลังจากนั้นได้มีชาวจีนสืบศาสนาเป็นนักบวชแล้วลี้ภัยไปยังมณฑลฝูเจี้ยน เพื่อหลบหนีการข่มเหงจากจีนตอนเหนือ[24] พวกเขาลงหลักปักฐานที่เมืองเฉวียนโจว ทำให้เมืองนั้นกลายเป็นศูนย์กลางของศาสนามาณีกีในจีนช่วงราชวงศ์ซ่ง[25] เมื่อศาสนามาณีกีเสื่อมอิทธิพลลงก็แปรสภาพเป็นลัทธิเม้งก่าที่รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธและเต๋าสูงขึ้น[12]
ชาวมาณีกีก่อการกบฏต่อต้านรัฐบาลราชวงศ์ซ่ง ทำให้ชาวมาณีกีถูกจักรพรรดิทุกรัชกาลพากันข่มเหงคะเนงร้ายอยู่เสมอ ข้าราชการขงจื๊อก็ไม่สนใจชาวมาณีกี และเรียกชาวมาณีกีว่า "พวกมังสวิรัติผู้บูชาปีศาจ" (食菜事魔)[26] เพราะศาสนิกชนมาณีกีล้วนนุ่งขาวห่มขาว กินมังสวิรัติตามศาสดา บูชาพระอาทิตย์และพระจันทร์ เคารพเตียวก๊กและศาสดามณี[27] ลัทธิเม้งก่ามักมีส่วนร่วมในการสนับสนุนกการกบฎต่อต้านรัฐบาลเสมอ[1] ทั้งยังมีการแปลงคำสอนให้ศาสนิกชนต่อต้านอำนาจที่ไม่ชอบธรรม ทำให้เม้งก่าถูกเพ่งเล็งและปราบปรามมาตลอด[2] ด้วยเหตุนี้องค์กรของเม้งก่าจึงดำเนินการอย่างลับ เพราะราชสำนักไม่ชอบพอการดำรงอยู่ของเม้งก่านัก[1]
ครั้นเข้าสู่ยุคราชวงศ์หยวน ศาสนามาณีกีเฟื่องฟูขึ้น แม้ราชวงศ์หยวนจะยกย่องศาสนาพุทธแบบทิเบตนิกายสักยะขึ้นเป็นศาสนาประจำชาติโดยพฤตินัยก็ตาม[28] ดังปรากฏการรังสรรค์ภาพจักรวาลวิทยาตามความเชื่อของศาสนามาณีกีซึ่งทำจากผ้าไหมแบบแขวนหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ จักรวาลวิทยามาณีกี (摩尼教宇宙圖) และ คำเทศนาและคำสอนเรื่องความรอดของพระมณี (冥王聖幀 "ม้วนคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของยมราช") ปัจจุบันผืนผ้าไหมทั้งสองผืนถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ในประเทศญี่ปุ่น[29] ศาสนามาณีกีหรือเม้งก่ามีส่วนร่วมในการสนับสนุนจู หยวนจาง (朱元璋) เป็นผู้นำการปฏิวัติโค่นล้มราชวงศ์หยวนและก่อตั้งราชวงศ์หมิงได้สำเร็จ[2] ฌัก แฌร์เน (Jacques Gernet) นักจีนวิทยาชาวฝรั่งเศส สันนิษฐานว่าชื่อราชวงศ์หมิงที่แปลว่าแสงสว่างนี้ คงรับอิทธิพลมาจากลัทธิเม้งก่า[1]
ศาสนามาณีกีแบบจีนหรือเม้งก่ายังคงดำรงอยู่ แม้หลงเหลือศาสนิกชนจำนวนไม่มากโดยเฉพาะทางตอนใต้ของประเทศ แต่ศาสนามาณีกีส่งอิทธิพลศาสนาพื้นบ้านจีนก่อให้เกิดเป็นลัทธิใหม่ เช่น ลัทธิเมตไตรย (弥勒教) และลัทธิบัวขาว (白蓮教)[30] ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 เป็นต้นมา ศาสนิกชนมาณีกีแบบจีนเริ่มปฏิบัติศาสนกิจร่วมกับพุทธศาสนิกชนนิกายสุขาวดี ซึ่งเป็นมหายานรูปแบบหนึ่ง จนชาวมาณีกีไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างศาสนาทั้งสองได้[7] ศาสนามาณีกีก็อ่อนอิทธิพลลงและสูญหายไปในคริสต์ศตวรรษที่ 14 นั้นเอง[9]
ปัจจุบันมีการอ้างว่ายังมีศาสนิกชนมาณีกีแบบจีนอาศัยอยู่มณฑลทางใต้ของจีนโดยเฉพาะเมืองเฉวียนโจว[31] แถบวัดเฉ่าอัน (草庵 "สำนักชีมุงจาก") ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาสนสถานของศาสนามาณีกีที่ถูกดัดแปลงเป็นพุทธสถาน[32] ยังหลงเหลือเพียงแห่งเดียวมาจนถึงทุกวันนี้[33]
ลัทธิมาณีกีแบบจีนเป็นศาสนาที่มีลักษณะแบบเอกเทวนิยม มุ่งมาดปรารถนาให้บูชาพระเจ้าเพียงองค์เดียวเรียกว่า ซ่างตี้ (上帝 "มหาเทพ"), หมิงซุน (明尊 "ผู้สว่างไสว") หรือเจินเฉิน (真神 "ผู้เที่ยงแท้") พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าเป็นพระผู้สร้างสิ่งต่าง ๆ จากจิตวิญญาณที่มีชีวิตของพระองค์เอง ก่อให้เกิดสรรพสิ่งที่มีชีวิตเช่นมนุษย์ ซึ่งรวมไปถึงพระมณี (摩尼) หรือเรียกว่า พระมานีพุทธจรัสแสง[3] ซึ่งเป็นศาสดา[7] ผู้ถือว่าตนเองเป็นผู้เผยแพร่พระวจนะคนสุดท้าย ต่อจากอาดัม โซโรอัสเตอร์ พระพุทธเจ้า และพระเยซู ซึ่งพระมณีมองว่าเป็นการเผยแผ่ศาสนาก่อนหน้านี้ เป็นการเผยแผ่แค่จำเพาะกลุ่มชนย่อย ๆ เท่านั้น ไม่สู้แพร่หลายนัก[1]
ศาสนามาณีกีนับถือแสงสว่างเป็นตัวแทนแห่งความดีต่อสู้กับความมืดซึ่งเป็นตัวแทนของความชั่ว จึงบูชาแสงสว่างเช่นเดียวกับศาสนาโซโรอัสเตอร์[4] มีคำสอนที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธอย่างสูงมาตั้งแต่แรกเริ่ม[3][12] ทั้งยังปรับปรุงคติความเชื่อให้เข้ากับบริบททางวัฒนธรรมของจีนจนมีรูปแบบเฉพาะ[8] บรรดาสาวกของศาสนามาณีกีนำคำศัพท์และสัญลักษณ์ในศาสนาพุทธที่ประชาชนคุ้นเคยไปใช้ ดังจะพบว่าภาพเทวดาของมาณีกีมีลักษณะคล้ายพระโพธิสัตว์คือประทับสมาธิบนดอกบัว การสร้างประโยคและวลีของคัมภีร์ทางศาสนามีความใกล้เคียงกับพระสูตรในศาสนาพุทธอย่างยิ่ง และพบจารึกที่ตุนหวงที่ระบุข้อความไว้ว่า พระเยซูก็เป็นพุทธะ พระมณีก็เป็นพุทธะ[34] ในเวลาต่อมาทั้งศาสนาพุทธ ศาสนามาณีกี ลัทธิเต๋า และศาสนาคริสต์นิกายเนสเทอเรีย มีการหยิบยืมคำสอนทางศาสนาของกันและกันไปปรับใช้ จนศาสนามาณีกีในจีนซึ่งได้รับอิทธิพลจากคำสอนในศาสนาพุทธมากอยู่แล้วยิ่งมีความเป็นพุทธมากขึ้น ทำนองเดียวกันกับศาสนามาณีกีในยุโรปที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาคริสต์มากจนถูกกลืนกลายไปเช่นกัน[34]
ศาสนิกชนมาณีกีล้วนนุ่งขาวห่มขาว กินมังสวิรัติตามศาสดา บูชาพระอาทิตย์และพระจันทร์ เคารพเตียวก๊กและศาสดามณี[12] หลังสิ้นยุคราชวงศ์ถัง ศาสนามาณีกียังคงดำรงอยู่และส่งอิทธิพลศาสนาพื้นบ้านจีนก่อให้เกิดเป็นลัทธิใหม่ เช่น ลัทธิเมตไตรย (弥勒教) และลัทธิบัวขาว (白蓮教)[30] แต่ตัวศาสนามาณีกีเองกลับผสานกลมกลืนไปกับศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าไปเสีย[35] ดังพบว่ามีการแปลเอกสารมาณีกีเป็นสำนวนทางพุทธศาสนา[36] ส่วนพระมณีซึ่งเป็นศาสดานั้นถูกชาวจีนเรียกว่า พระพุทโธภาส (光明佛, 光佛 "พระพุทธเจ้าแห่งแสงสว่าง") เพราะมีประวัติใกล้เคียงกับพระโคตมพุทธเจ้า[37] ในเวลาเดียวกัน ลัทธิเต๋าได้ออกคัมภีร์ ฮว่าหูจิง (化胡經 "คัมภีร์เปลี่ยนศาสนาของพวกอนารยชน") ที่ระบุว่าเล่าจื๊อกลับชาติมาเกิดเป็นพระมณี[38] รวมทั้งมีการแปลงคำสอนให้ศาสนิกชนต่อต้านอำนาจที่ไม่ชอบธรรม ทำให้มาณีกีหรือเม้งก่าถูกเพ่งเล็งและปราบปรามมาตลอด[2]
ปัจจุบันชาวบ้านในเมืองเฉวียนกู่ (钱库) มณฑลเจ้อเจียง ยังคงปฏิบัติตนตามประเพณีมาณีกีในวันที่ 1 และ 15 ในช่วงปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติสืบทอดลงมา ทั้งนี้เฉวียนกู่เคยเป็นศูนย์กลางของศาสนามาณีกีในจีน และยังตั้งอยู่ใกล้กับวัดเฉ่าอัน ซึงเป็นวัดมาณีกีแห่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ซึ่งถูกแปรเป็นวัดพุทธไปแล้ว[3] โดยชาวเมืองเฉวียนกู่มีธรรมเนียมปฏิบัติที่สำคัญ ดังนี้[39]
นอกจากวันสำคัญดังกล่าวแล้ว ชาวประมงในท้องถิ่นยังมีประเพณี กินข้าวขาววันละสามคำ ซึ่งมีความหมายว่า รับประทานอาหารมังสวิรัติสามมื้อต่อวัน ซึ่งคล้ายกับกิจกรรมต้อนรับของชาวมาณีกีในอำเภอเซี่ยผู่ (霞浦) มณฑลฝูเจี้ยน ที่บูชาหลิน เผิง โดยเกษตรกรชาวเซี่ยผู่จะนำข้าวขาวสามถ้วยขนาดน้อยมาบูชาเทพยดา[39] และมีธรรมเนียมการสวมเครื่องแต่งกายสีขาวล้วนสำหรับไว้ทุกข์แก่ผู้ล่วงลับ ซึ่งตกทอดมาจากการแต่งกายของผู้ที่นับถือศาสนามาณีกีในอดีตที่จะสวมชุดและมงกุฎสีขาวล้วน[39] พวกเขายังคงนับถือดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อย่างเหนียวแน่น แต่ชาวบ้านจะเรียกว่า พระพุทธสุริโยภาส (Sunlight Buddha) และ พระพุทธจันทโรภาส (Moonlight Buddha)[39]
ในประเทศไทย ชาวไทยเชื้อสายจีนยังสวมชุดขาว และรับประทานอาหารเจ อันเป็นธรรมเนียมที่ตกทอดมาจากลัทธิเม้งก่า[2][3][12] ที่โรงเจเปาเก็งเต๊ง ตำบลงิ้วราย อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม มีเทวรูปและรูปวาดของกวงเทียงฮุกโจ้ว (หรือ กองเทียนฮุด ในสำเนียงฮกเกี้ยน) ชื่อมีความหมายว่า "พระพุทธสว่างฟ้า" หรือ "พระพุทธจรัสนภา" ซึ่งคมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง แสดงความเห็นว่าอาจเป็นรูปเคารพของพระมณี ศาสดาของศาสนามาณีกีมากกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าในคติมหายาน[3]
เอกสารทางศาสนามาณีกีที่บ่งถึงหลักคำสอนและพิธีกรรมเป็นสิ่งที่หายากมาก องค์ความรู้ทางศาสนามาณีกีในจีนยุคปัจจุบันศึกษาและอ้างอิงจากเอกสารเก่าก่อนสิ้นคริสต์ศตวรรษที่ 9 จำนวนสามเล่ม ได้แก่ พระคัมภีร์มาณีกีที่ขาดหาย เพลงสวดมาณีกีท่อนล่าง (摩尼教下部讚) และ สรุปพิธีกรรมของพระมณีพุทโธภาสจากตุนหวง (敦煌本摩尼光佛教法仪略的)[40]
เอกสารชิ้นแรก พระคัมภีร์มาณีกีที่ขาดหาย เป็นเอกสารทางศาสนาที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แต่เนื้อหาในช่วงแรกขาดหายไปสองสามบรรทัด เนื้อหาภายในเอกสารสอดคล้องกับเอกสารมาณีกีที่พบในประเทศอื่น ๆ ซึ่งกล่าวถึงพระมณีพุทโธภาสตอบคำถามกับศิษย์ชื่อ อาโถ (ตรงกับชื่อ Addā) เกี่ยวกับจักรวาลวิทยาตามความเชื่อมาณีกีและหลักศีลธรรมจรรยา โดยอธิบายถึงการสร้างจักรวาลและมนุษย์ด้วยอำนาจแห่งแสง และต่อสู้กับเจ้าแห่งความมืด จนในที่สุดแสงสว่างก็มีชัยชนะเหนือความมืดทั้งปวง มีการใช้ภาพสัญลักษณ์ต้นไม้ และการจาระไนการนับกลางวันกลางคืนแบบเดียวกับเอกสารมาณีกีฉบับคอปติก และภาพวาดมีลักษณะใกล้เคียงกับเอกสารมาณีกีฉบับตุรกีมากที่สุด เมื่อ ค.ศ. 1983 แวร์แนร์ ซุนแดร์มันน์ (Werner Sundermann) ระบุว่า เอกสารมาณีกีฉบับจีน แปลมาจากฉบับตุรกีและซ็อกเดียที่เอเชียกลาง ซึ่งคัดลอกมาจากฉบับพาร์เทียซึ่งเป็นต้นฉบับ[41]
เอกสารชิ้นที่สอง เพลงสวดมาณีกีท่อนล่าง (摩尼教下部讚) ประกอบด้วยเนื้อเพลงสวดจำนวน 30 เพลง เข้าใจว่าเป็นการแปลมาจากภาษาพาร์เทียเป็นภาษาจีนโดยตรง เพราะบางบทเป็นภาษาพาร์เทียตามต้นฉบับ ซึ่งชาวจีนฮั่นไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาได้ ท้ายหนังสือจบด้วยการขอพรจากพระเป็นเจ้า ทั้งนี้เอกสารนี้ถูกแปลและเรียบเรียงในเมืองตูร์ปัน ปัจจุบันอยู่ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์
และเอกสารชิ้นที่สาม สรุปพิธีกรรมและคำสอนของพระมณีพุทโธภาสจากตุนหวง (敦煌本摩尼光佛教法仪略的) อธิบายถึงเรื่องราวเบื้องประสูติของพระมณีพุทโธภาสที่อิงมาจากพุทธประวัติมาโดยตรง หลังจากนั้นมีการสรุปคำสอนมาณีกี ในย่อหน้าแรกระบุว่าเริ่มเขียนเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 731 ตรงกับยุคราชวงศ์ถัง และในตอนถัดมามีการระบุว่าเล่าจื๊อ ศาสดาของลัทธิเต๋า กลับชาติมาเกิดเป็นพระมณี [42]
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate=
(help)
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate=
(help)
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate=
(help)
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate=
(help)
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate=
(help)
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate=
(help)
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate=
(help)