สาธารณสุขในประเทศอินเดียและสุขภาพของพลเมืองอินเดียนั้นมีความไม่เท่าเทียมอย่างมากระหว่างแต่ละรัฐของประเทศอินเดีย เช่น อัตราการเสียชีวิตแรกเกิดของทารกในรัฐเกรละ อยู่ที่ 6:1000[1] ในขณะที่ในรัฐอุตตรประเทศสูงถึง 64:1000 รายของทารกที่เสียชีวิตเมื่อแรกคลอด[2] ประชากรอินเดียเมื่อปี 2011 นั้นมีอยู่ราว 1.21 พันล้าน (ชาย 0.62 พันล้านคน และหญิง 0.588 พันล้านคน)[3]
ตัวบ่งชี้สำคัญของสาธารณสุขในอินเดียคือ การคาดหมายคงชีพเมื่อแรกเกิด (life expectancy at birth) ซึ่งพลเมืองของอินเดียนั้นเพิ่มสูงขึ้นจาก 49.7 ปีในช่วง 1970–1975 เป็น 67.9 ปีในช่วง 2010–2014 โดยการคาดหมายคงชีพของผู้หญิงอยู่ที่ 69.6 ปี และของผู้ชายอยู่ที่ 66.4 ปี[3] ในปี 2018 การคาดหมายคงชีพเมื่อแรกเกิดนั้นกล่าวกันว่าอยู่ที่ 69.1 ปี[4] ส่วนอีกตัวบ่งชี้หนึ่งคืออัตราการเสียชีวิตทารกเมื่อแรกเกิด (infant mortality rate) นั้นลดลงจาก 74 รายต่อทารก 1,000 คนในปี 1994 เหลือเพียง 37 รายต่อทารก 1,000 คนในปี 2015 อย่างไรก็ตามมีความแตกต่างมากระหว่างในพื้นที่ชนบท (อยู่ที่ 41:1000) กับเขตเมือง (25:1000)[3]
สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดปีสุขภาวะที่สูญเสียไปจากโรคและการบาดเจ็บของประชากร (Disability-Adjusted Life Years-DALYs) ในชาวอินเดียเมื่อปี 2559 สำหรับทุกเพศทุกวัยคือโรคหัวใจขาดเลือด (คิดเป็น 8.66% ของ DALYs ทั้งหมด), โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (คิดเป็น 4.81% ของ DALYs ทั้งหมด), ท้องร่วง (คิดเป็น 4.64% ของจำนวน DALYs ทั้งหมด) และโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง (คิดเป็น 4.35% ของ DALYs ทั้งหมด)[5]
ตามในรายงานเมื่อปี 2005 ระบุวว่าเด็กอินเดีย 60% ที่อายุต่ำกว่าสามปีขาดสารอาการ ซึ่งสูงกว่าในพื้นที่ sub-Saharan ของแอฟริกา[6] ดัชนีความหิวสากล (Global Hunger Index) ของประเทศอินเดียนั้นอยู่ที่ลำดับ 67 จาก 80 ประเทศ ซึ่งหนักกว่าประเทศอย่างเกาหลีเหนือ หรือซูดาน นอกจากนี้เด็กอายุต่ำกว่าห้าปี 44% มีน้ำหนักน้อยกว่าปกติ (underweight) ในขณะที่ทารกแรกเกิด 72% มีอาการโลหิตจาง[7]
พื้นที่ในอินเดียซึ่งมีการขาดสารอาหารในเด็กอย่างรุนแรง:[7]
อาการ | ความถี่ (%) |
---|---|
น้ำหนักเมื่อแรกเกิดต่ำ | 22 |
Kwashiorkor/Marasmus# | <1 |
Bitot's spots# | 0.8-1.0 |
Iron deficiency anaemia (6–59 เดือน) | 70.0 |
น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ (weight for age)* (<5 ปี)# | 42.6 |
แคระแกร็น (height for age)* (<5 ปี)# | 48.0 |
Wasting (weight for height)*# | 20.0 |
น้ำหนักเกิน/โรคอ้วนในเด็ก | 6-30 |
* : <Median -2SD จากมาตรฐานการเติบโตของเด็กโดย WHO (Child Growth Standards)
# : NNMB Rural Survey - 2005-06
อาการ | หน่วย | ชาย | หญิง | ||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
เขตเมือง | เขตชนบท# | เขตชนเผ่า^ | เขตเมือง | เขตชนบท# | เขตชนเผ่า^ | ||
Chronic energy deficiency (BMI <18.5) | % | 33.2 | 40.0 | 36.0 | 49.0 | ||
โลหิตจางในผู้หญิง (รวมถึงในหญิงตั้งครรภ์) | % | 75 | |||||
โรคขาดไอโอดีน - Goitre | millions | 54 | |||||
โรคขาดไอโอดีน - Cretinism | millions | 2.2 | |||||
โรคขาดไอโอดีน – Still births (includes neo-natal deaths) | 90,000 | ||||||
โรคเรื้อรังที่เกิดจากโรคอ้วน (BMI >25) | % | 36.0 | 7.8 | 2.4 | 40.0 | 10.9 | 3.2 |
ความดันโลหิตสูง | % | 35.0 | 25.0 | 25.0 | 35.0 | 24.0 | 23.0 |
เบาหวาน (ปี 2006) | % | 16.0 | 5.0 | 16 | 5.0 | ||
โรคหลอดเลือดหัวใจ | % | 7–9 | 3–5 | 7–9 | 3–5 | ||
อัตราระบุโรคมะเร็ง | ต่อล้านคน | 113 | 123 |
* : <Median -2SD จาก WHO Child Growth Standards
# : NNMB Rural Survey - 2005-06
^ : NNMB Tribal Survey - 2008-09
โรคติดต่อเช่นโรคเด็งกี, โรคตับอักเสบ, วัณโรค, มาลาเรีย และปอดบวม เป็นโรคที่ยังคงระบาดในประเทศอินเดียเนื่องด้วยความต้านทานต่อยาที่สูงขึ้น (increased resistance to drugs)[10] ในปี 2011 ประเทศอินเดียได้เกิดอาการการดื้อยาทั้งหมด ('totally drug-resistant') ของ วัณโรค[11] ในขณะที่ เอชไอวี/เอดส์ในประเทศอินเดียนั้นสูงเป็นอันดับที่สามในบรรดาประเทศที่มีผู้ป่วยเอชไอวี องค์กรควบคุมมโรคเอดส์แห่งชาติ (National AIDS Control Organisation) ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบต่อการควบคุมและกำจัดภาวะการแพร่ระบาดของโรคนี้ในอินเดีย[12] ส่วนโรคเกี่ยวกับท้องร่วง (Diarrheal diseases) เป็นสาเหตุการเสียชีวิตสำคัญในเด็กวัยแรกเริ่ม[13] โรคต่าง ๆ เหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความสะอาดในอินเดียที่ต่ำ และน้ำดื่มสะอาดปลอดภัยที่มีไม่เพียงพอ[14] ประเทศอินเดียมีผู้ป่วยโรคเรบีสมากที่สุดในโลก ส่วนมาลาเรียยังคงเป็นโรคตามฤดูในอินเดียเป็นเวลายาวนาน เช่นเดียวกับ Kala-azar, เด็งกี และชิคุนกุนยา ซึ่งสองโรคหลังนั้นติดต่อผ่านทางยุง Aedes[3]
ในปี 2012 ประเทศอินเดียได้ประกาศว่าเป็นประเทศปราศจากโรคโปลิโอ (polio-free) เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์[15] ด้วยผลจากการจัดโครงการ Pulse Polio ของรัฐบาลที่เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงปี 1995–96[16]
แม้จะมีการปรับปรุงพัฒนาในด้านสุขภาพในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา แต่หลายชีวิตยังคงสูญหายไปด้วยโรตในวัยแรกเกิด การดูแลทารกแรกเกิดที่ไม่เพียงพอและสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับการคลอดบุตรทำให้มีเด็กมากกว่าสองล้านคนเสียชีวิตทุก ๆ ปีจากการติดเชื้อที่ป้องกันได้[17] ในประเทศอินเดียมีเด็กประมาณ 1.72 ล้านคนเสียชีวิตก่อนอายุครบหนึ่งขวบในทุก ๆ ปี[18] ส่วนอัตราการเสียชีวิตของเด็กอายุต่ำกว่าห้าขวบนั้นได้ลดลงมาเรื่อย ๆ จากอัตราการเสียชีวิต 202 และ 190 รายต่อเด็ก 1000 คนในปี 1970 ถึง 64 ตามลำดับ และเหลือเพียง 50 รายต่อเด็ก 1000 คนในปี 2009 ในปี 2018 จำนวนนี้ลดลงมาที่ 41.1 รายต่อ 1000 คน[18][19][4] However, this decline is slowing. Reduced funding for immunization leaves only 43.5% of the young fully immunized.[20]
ในปี 2008 มีครัวเรือนในอินเดียมากกว่า 122 ล้านครัวเรือนที่ไม่มีส้วม และ 33% ไม่สามารถเข้าถึงส้วมได้ นอกจากนี้ประชากรมากกว่า 50% (638 ล้าน) อุจจาระในพื้นที่เปิด (การประมาณการณ์ในปี 2008)[21] ตัวเลขนี้สูงกว่าบังกลาเทศ, บราซิล (7%) และจีน (4%).[21] ประชากรกว่า 211 ล้านคนได้รับการเข้าถึงความสะอาดที่พัฒนาแล้วในระว่างปี 1990–2008[21] อย่างไรก็ตามด้วยความสำเร็จของปฏิบัติการสวัฉภารัต ("Swacch Bharat Mission") ของรัฐบาลอินเดียที่เริ่มต้นในปี 2014 ประเทศอินเดียได้สร้างส้วมเพิ่มจำนวนกว่า 110 ล้านส้วมทั่วประเทศด้วยงบประมาณ 28 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ ข้อมูลในปี 2018 ระบุว่าครัวเรือนอินเดียกว่า 95.76% สามารถเข้าถึงส้วม และในปี 2019 รัฐบาลได้ประกาศให้ประเทศอินเดียเป็นประเทศปราศจากการขับถ่ายในที่เปิดสาธารณะ (Open Defecation Free (ODF))[22]
สำหรับการเข้าถึงน้ำดื่มสะอาดและปลอดภัยในอินเดียนั้น การเข้าถึงแหล่งน้ำดื่มสะอาดในอินเดียได้พัฒนาขึ้นจากประชากร 68% สามารถเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาดได้ในปี 1990 ขึ้นมาเป็น 88% ในปี 2008[21] อย่างไรก็ตาม มีเพียง 26% ของประชากรในสลัมที่สามารถเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาดได้[22] นอกจากนี้ประชากรประมาณ 25% เข้าถึงน้ำสะอาดจากแหล่งน้ำส่วนตัว ปัญหานี้เลวร้ายลงด้วยระดับน้ำบาดาลในอินเดียได้ลดลงจากการสูบน้ำขึ้นมาใช้เพื่อการประปาและเกษตรกรรม[21] นอกจากนี้ยังมีปัญหาแหล่งน้ำปนเปื้อนด้วยขยะหรือสารเคมีที่ถูกทิ้งอย่างไม่เป็นระบบประกอบด้วย[21]
ปัญหาสำคัญของสุขภาพสตรีอินเดียคือการเข้าไม่ถึงการทำคลอดโดยผู้ที่มีทักษะ รวมถึงจำนวนการดูแลทางสูตินรีเวชที่ไม่เพียงพอในประเทศ นอกจากนี้ มีคุณแม่อินเดียเพียง 15 เปอร์เซ็นต์ที่ได้รับ complete antenatal care และเพียง 58 เปอร์เซ็นต์ได้รับยาพวก iron หรือ folate tablets or syrup อย่างครบถ้วน[17]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ประชากรของประเทศอินเดีย 68% อาศัยอยู่ในเขตชนบท[23] ครึ่งหนึ่งของประชากรในชนบทนี้อาศัยอยู่ในความยากจนต่ำกว่าขีดเส้นความยากจน ซึ่งส่งผลให้เป็นเรื่องยากในการเข้าถึงบริการสุขภาพที่เหมาะสม[24] ปัญหาสุขภาพในชนบทนั้นมีหลากหลาย ตั้งแต่มาลาเรียไปจนถึงมะเร็ง[25]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ถึงแม้รัฐบาลอินเดียจะมีความพยายามในการเริ่มโครงการเกี่ยวกับการศึกษาด้านสุขภาพทั้งในชนบท เขตเมือง และสลัม แต่นักวิชาการต่างชาติมีความเห็นว่าโครงการเช่น ปฏิบัติการสุขภาพในชนทบทแห่งชาติ (National Rural Health Mission; NRHM) หรือ ปฏิบัติการสุขภาพในเขตเมืองแห่งชาติ (National Urban Health Mission; NUHM) ล้วนมีผลกระทบเพียงในระยะสั้น[27] ตัวอย่างสำคัญคือโครงการสร้างภูมิคุ้มกันแห่งชาติ (National Immunization Programme) ซึ่งมีเป้าหมายหลักในการฉีดวัคซีนให้กับประชากรในสลัมเพื่อลดการแพร่เช้อโรคติดต่อ ซึ่งงานวิจัยพบว่าโครงการนี้ได้ผลเพียงจำกัด เนื่องด้วยประชากรในสลัมยังขาดความเข้าใจในความจำเป็นต่อการมีภูมิคุ้มกัน[28] สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลอินเดียจะต้องมีความพยายามในการสร้างโ๕รงการที่จะช่วยสร้างการรักษาโรคแบบป้องกันในชุมชนสลัมในระยะยาวให้เกิดขึ้น[29]
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ :6