หนานเฉาเหว่ย | |
---|---|
ต้นหนานเฉาเหว่ย | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
สกุล: | Gymnanthemum |
สปีชีส์: | G. extensum |
ชื่อทวินาม | |
Gymnanthemum extensum | |
ชื่อพ้อง | |
หนานเฉาเหว่ย (ชื่อวิทยาศาสตร์: Gymnanthemum extensum) สมุนไพรที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน มีชื่อสามัญไทยว่า "ป่าช้าเหงา, ป่าช้าหมอง" ชื่ออื่น : หนานเฉาเหว่ย, หนานเฟยเฉา, หนานเฟยซู่, ป่าเฮ่วหมอง, บิสมิลลาฮ์ โดยมีชื่อสามัญคือ "Bitterleaf tree"[2] เป็นพืชในวงศ์ทานตะวัน (Asteraceae)
หนานเฉาเหว่ยเป็นไม้ยืนต้นสูง 6-8 เมตร[4]
ส่วนที่ใช้เป็นยาคือ ใบ ทั้งแบบทานใบสด และนำไปต้มดื่มกับน้ำ มีสรรพคุณ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ลดความดันเลือด[5] มีการนำไปแปรรูปในรูปของชาหนานเฉาเหว่ย
ดีที่สุดคือการปักชำ สามารถขยายพันธุ์ได้ง่ายด้วยการปักชำลงในดินและรดน้ำเช้าเย็น เพียง 7 - 10 วัน ก็จะเห็นยอดอ่อนแทงขึ้นมาจากกิ่งที่ปักชำไว้
เท่าที่ตรวจพบจากข้อมูล มีพันธุ์ใบใหญ่, พันธุ์ใบใหญ่ดอกขาว และพันธุ์ใบเล็ก ในส่วนสรรพคุณทางยาหรือสารที่พบในแต่ละสายพันธุ์ คงต้องมีการวิจัยสารสำคัญที่แน่นอนอีกครั้งในแต่ละสายพันธุ์ต่อไป ส่วนการใช้ในรูปสมุนไพรด้วยการรับประทาน ควรใช้ในปริมาณเล็กน้อยก่อนและหากใช้ในรูปชา จะปลอดภัยกว่า เนื่องจากสารบางชนิดที่มีความเป็นพิษจะสลายเมื่อเจอความร้อน และยังเป็นการฆ่าพยาธิหรือแบคทีเรียที่มาจากปุ๋ยคอกที่ใช้ใส่ในการ เร่งการเจริญได้อีกด้วยควรบริโภคสารอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ และใช้สมุนไพรเป็นทางเลือกในการเสริมสร้างสุขภาพเท่านั้น
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร มหิดล ระบุว่า สารสกัดน้ำของใบหนานเฉาเหว่ย มีฤทธิ์ในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ยับยั้งเซลล์มะเร็ง ลดน้ำตาลในเลือด ยับยั้งเชื้อมาลาเรีย และ ต้านอนุมูลอิสระ หรือ แอนติออกซิแดนท์ได้ แต่งานวิจัยทั้งหมดนี้ยังอยู่ในห้องแล็ปเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการทดสอบในระดับเซลล์และสัตว์ทดลองเท่านั้น สำหรับการศึกษาเรื่องความความเป็นพิษของหนานเฉาเหว่ยในสัตว์ทดลอง พบว่า เมื่อป้อนสารสกัดน้ำ สารสกัดเมทานอล และผงใบหนานเฉาเหว่ย ให้หนูแรท ขนาด 100 - 1,000 มก./วัน เป็นเวลา 28 - 65 วัน ให้แก่สัตว์ทดลอง ไม่พบความผิดปกติของตับและไต และผลต่อค่าชีวเคมีอื่นในเลือด แต่อย่างไรก็ตามยังไม่พบรูปแบบการศึกษาถึงขนาดและรูปแบบที่เหมาะสมในมนุษย์ รวมไปถึงการศึกษาความเป็นพิษหากกินแบบต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน[10] จากประสบการณ์จริงของผู้เขียนบทความ การรับประทานใบอย่างต่อเนื่อง 2 สัปดาห์ ทำให้เกิดอาการเท้าบวม เมื่อหยุดรับประทานเท้ากลับเป็นปรกติอาการบวมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จึงมั่นใจได้ว่ามีผลกระทบต่อไต อย่างแน่นอน ผู้มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับไต จึงควรใช้สมุนไพรชนิดนี้อย่างเหมาะสมภายใต้การดูแลของแพทย์[11][12] หากน้ำตาลในร่างกายต่ำกว่าปกติ อาจเกิดอาการใจสั่น หน้ามืด หรือรุนแรงจนช็อก[13] ผู้ป่วยโรคตับ ที่รับประทานเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยอาการจะเริ่มปรากฏด้วยอาการขาบวม จึงควรงดใช้ทันทีหากปรากฏอาการดังกล่าว[14]