หันค่าย (หาน จี้) | |
---|---|
韓曁 | |
เสนาบดีมหาดไทย (司徒 ซือถู) | |
ดำรงตำแหน่ง 12 กุมภาพันธ์ – 10 เมษายน ค.ศ. 238 | |
กษัตริย์ | โจยอย |
ที่ปรึกษาราชวัง (太中大夫 ไท่จงต้าฟู) | |
ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. 234 – 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 238 | |
กษัตริย์ | โจยอย |
เสนาบดีพิธีการ (太常 ไท่ฉาง) | |
ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. 226 – ค.ศ. 234 | |
กษัตริย์ | โจผี / โจยอย |
นายร้อยโลหะ (司金都尉 ซือจินตูเว่ย์) | |
ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. ? – ค.ศ. 226 | |
กษัตริย์ | พระเจ้าเหี้ยนเต้ (จนถึง ค.ศ. 220) / โจผี (ตั้งแต่ ค.ศ. 220) |
หัวหน้ารัฐบาล | โจโฉ (จนถึง ค.ศ. 220) |
ผู้กำกับดูแลงานหลอมเหล็ก (監冶謁者 เจียนเหย่เย่เจ่อ) | |
ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. ? – ค.ศ. ? | |
กษัตริย์ | พระเจ้าเหี้ยนเต้ |
หัวหน้ารัฐบาล | โจโฉ |
เจ้าเมืองเล่าหลิง (樂陵太守 เล่าหลิงไท่โฉ่ว) | |
ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. ? – ค.ศ. ? | |
กษัตริย์ | พระเจ้าเหี้ยนเต้ |
หัวหน้ารัฐบาล | โจโฉ |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | ไม่ทราบ อำเภอฟางเฉิง มณฑลเหอหนาน |
เสียชีวิต | 10 เมษายน พ.ศ. 238[a] |
บุตร |
|
บุพการี |
|
ความสัมพันธ์ |
|
อาชีพ | ขุนนาง |
ชื่อรอง | กงจื้อ (公至) |
สมัญญานาม | กงโหว (恭侯) |
บรรดาศักดิ์ | หนานเซียงถิงโหว (南鄉亭侯) |
หันค่าย[2] (เสียชีวิต 10 เมษายน ค.ศ. 238)[a] มีชื่อในภาษาจีนกลางว่า หาน จี้ (จีน: 韓曁; พินอิน: Hán Jì) ชื่อรอง กงจื้อ (จีน: 公至; พินอิน: Gōngzhì) เป็นขุนนางชาวจีนผู้รับราชการในรัฐวุยก๊กในยุคสามก๊กของจีน เดิมรับใช้ขุนศึกเล่าเปียวและโจโฉในช่วงปลายยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก[3]
หันค่ายเป็นชาวอำเภอตู่หยาง (堵陽縣 ตู่หยางเซี่ยน) เมืองลำหยง (南陽郡 หนานหยางจฺวิ้น) ซึ่งปัจจุบันคืออำเภอฟางเฉิง มณฑลเหอหนาน[4] บรรพบุรุษของหันค่ายคือหาน ซิ่น (韓信) หรือหานหวางซิ่น (韓王信)[5] เป็นหนึ่งในผู้ปกครองของยุคสิบแปดรัฐในช่วงเปลี่ยนผ่านจากราชวงศ์จิ๋นเป็นราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ปู่ของหันค่ายคือหาน ชู่ (韓術) และบิดาของหันค่ายคือหาน ฉุน (韓純) รับราชการเป็นเจ้าเมือง (太守 ไท่โฉ่ว) ของเมืองฮอตั๋ง (河東郡 เหอตงจฺวิ้น; อยู่บริเวณนครยฺวิ่นเฉิง มณฑลชานซีในปัจจุบัน) และเมืองลำกุ๋น (南郡 หนานจฺวิ้น; อยู่บริเวณนครจิงโจว มณฑลหูเป่ย์ในปัจจุบัน) ตามลำดับในยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก[6]
เมื่อหันค่ายอายุยังเยาว์ เฉิน เม่า (陳茂) ชายผู้มั่งคั่งและทรงอิทธิพลในอำเภอตู่หยางได้ใส่ร้ายบิดาและพี่ชายของหันค่ายในข้อหาอุกฉกรรจ์ เป็นผลทำให้บิดาและพี่ชายของหันค่ายถูกจับและถูกประหารชีวิต[7] หันค่ายยังคงนิ่งเงียบต่อความอยุติธรรมที่ครอบครัวของตนได้รับ ขณะเดียวกันก็วางแผนอย่างลับ ๆ ที่จะแก้แค้นเฉิน เม่า หันค่ายหางานทำสะสมรายได้ และใช้เงินจ้างมือสังหารเพื่อช่วยในการแก้แค้น พวกเขาสะกดรอยตามเฉิน เม่าและสังหารเสีย ตัดศีรษะเฉิน เม่าไปวางเซ่นหลุมศพของบิดาหันค่าย[8] หันค่ายกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงหลังจากเหตุการณ์นี้[9]
หันค่ายได้รับการเสนอชื่อเป็นเซี่ยวเหลียน (ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับราชการพลเรือน) และได้รับเสนองานในสำนักของเสนาบดีโยธาธิการ (司空 ซือคง) แต่หันค่ายปฏิเสธ เมื่อความวุ่นวายทั่วแผ่นดินจีนในทศวรรษ 180[10] หันค่ายปลอมตัวตนและไปอาศัยอยู่ในชนบทของอำเภอโลเอี๋ยง (魯陽縣 หลู่หยางเซี่ยน; ปัจจุบันคืออำเภอหลู่ชาน มณฑลเหอหนาน)[11] เวลานั้นหันค่ายได้ยินว่าชาวบ้านกำลังวางแผนจะกลายเป็นโจรเพราะชีวิตยากลำบากเกินไป หันค่ายจึงใช้ทรัพย์สินส่วนตัวจัดงานเลี้ยงให้กับเหล่าผู้นำชาวบ้านและโน้มน้าวให้พวกเขายกเลิกแผนที่จะกลายเป็นโจร[12][8]
ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 189 ถึง ค.ศ. 192[13] เมื่อขุนศึกอ้วนสุดครองเมืองลำหยง อ้วนสุดได้ยินชื่อเสียงของหันค่ายจึงเรียกหันค่ายมารับใช้ตน หันค่ายปฏิเสธและไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่เนินเขาใกล้อำเภอชานตู (山都縣 ชานตูเซี่ยน; อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของนครเซียงหยาง มณฑลหูเป่ย์ในปัจจุบัน) เพื่อหลีกเลี่ยงอ้วนสุด[14] เมื่อเล่าเปียวเจ้ามณฑลเกงจิ๋ว (ครอบคลุมพื้นที่ของมณฑลหูเป่ย์และมณฑลหูหนานในปัจจุบัน) พยายามจะเชิญหันค่ายมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา หันค่ายก็หนีลงใต้ไปยังอำเภอช่านหลิง (孱陵縣 ช่านหลังเซี่ยน; ทางตะวันตกของอำเภอกงอาน มณฑลหูเป่ย์ในปัจจุบัน) เพื่อหลบหลีกเล่าเปียว ภายหลังหันค่ายเป็นผู้บุคคลที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นับถือของผู้คนในท้องถิ่น เล่าเปียวรู้สึกไม่พอใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้ หันค่ายกลัวว่าเล่าเปียวจะดำเนินการรุนแรงกับตนจึงตกลงอย่างไม่เต็มใจที่จะรับใช้เล่าเปียว เล่าเปียวตั้งให้หันค่ายเป็นนายอำเภอ (長 จ่าง) ของอำเภอยี่เซง (宜城縣 อี๋เฉิงเซี่ยน; อยู่ในนครเซียงหยาง มณฑลหูเป่ย์ในปัจจุบัน)[15]
ภายหลังการเสียชีวิตของเล่าเปียวในปี ค.ศ. 208 เล่าจ๋องบุตรชายคนรองและทายาทของเล่าเปียวยอมสวามิภักดิ์และสละตำแหน่งเจ้ามณฑลเกงจิ๋วให้กับขุนศึกโจโฉผู้ควบคุมพระเจ้าเหี้ยนเต้จักรพรรดิหุ่นเชิดและกุมอำนาจราชสำนักราชวงศ์ฮั่น [16] โจโฉรับหันค่ายเข้ารับราชการในสำนักของอัครมหาเสนาบดี (丞相 เฉิงเซี่ยง) ซึ่งเป็นตำแหน่งของโจโฉ ภายหลังได้เลื่อนขั้นให้หันค่ายเป็นเจ้าเมือง (太守 ไท่โฉ่ว) ของเมืองเล่าหลิง (樂陵郡 เล่าหลิงจฺวิ้น; อยู่บริเวณอำเภอหยางซิ่น มณฑลชานตงในปัจจุบัน)[17]
ต่อมาหันค่ายได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้กำกับดูแลงานหลอมเหล็ก (監冶謁者 เจียนเหย่เย่เจ่อ) ทำหน้าที่ดูแลอุตสากรรมการหล่อเหล็ก[18] ในสมัยก่อนลูกสูบของเตาหลอมเหล็กทุกเตาใช้ม้าลาก 100 ตัว ต่อมาอุตสาหกรรมเปลี่ยนไปใช้แรงงานคน เมื่อหันค่ายเข้ามาดูอุตสาหกรรม หันค่ายเห็นว่าการใช้แรงงานคนไร้ประสิทธิภาพเกินไปและต้องใช้กำลังคนมากเกินไป จึงเสนอเสนอให้ใช้พลังน้ำในการควบคุมลูกสูบ ซึ่งเป็นวิธีการที่คิดค้นโดยตู้ ชือเมื่อต้นยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก[3] หลังการเปลี่ยนแปลง ปริมาณเหล็กหล่อที่ผลิตได้ในอุตสาหกรรมจึงเพิ่มขึ้นสามเท่าเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน[19] หันค่ายดูแลอุตสาหกรรมการหล่อเหล็กเป็นเวลา 7 ปี และทำงานได้เป็นอย่างดีโดยระดับการผลิตเหล็กหล่อยังคงสูง จึงมั่นใจได้ว่าทหารโจโฉจะมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีคุณภาพ ราชสำนักของราชวงศ์ฮั่นจึงออกพระราชโองการยกย่องหันค่ายสำหรับความดีความชอบอันยอดเยี่ยม และเลื่อนขั้นให้หันค่ายมีตำแหน่งนายร้อยโลหะ (司金都尉 ซือจินตูเว่ย์) มีฐานะรองลงมาจากเก้าเสนาบดีในลำดับชั้นราชการของราชวงศ์ฮั่น[20][21]
ช่วงปลายปี ค.ศ. 220[22] โจผีบุตรชายและทายาทของโจโฉแย่งชิงบัลลังก์จากพระเจ้าเหี้ยนเต้ โค่นล้มราชวงศ์ฮั่นตะวันออกและก่อตั้งรัฐวุยก๊กโดยตนขึ้นเป็นจักรพรรดิพระองค์ใหม่ หลังขึ้นครองราชย์ โจผีตั้งให้หันค่ายมีบรรดาศักดิ์เป็นอี๋เฉิงถิงโหว (宜城亭侯)[23][21]
ในปี ค.ศ. 226 โจผีเลื่อนตำแหน่งให้หันค่ายเป็นเสนาบดีพิธีการ (太常 ไท่ฉาง) เปลี่ยนบรรดาศักดิ์จาก "อี๋เฉิงถิงโหว" เป็น "หนานเซียงถิงโหว" (南鄉亭侯) และพระราชทานศักดินา 200 ครัวเรือน[24]
ในช่วงเวลานั้น เนื่องจากโจผีเพิ่มกำหนดให้ลกเอี๋ยงเป็นนครหลวงของวุยก๊ก จึงยังมีราชพิธี ธรรมเนียม พิธีกรรม และเรื่องที่เกี่ยวกับระเบียบวิธีที่ยังไม่เรียบร้อยดี นอกจากนี้ศาลบรรพชนของตระกูลโจยังคงอยู่ที่เงียบกุ๋น (鄴 เย่; อยู่ในนครหานตาน มณฑลเหอเป่ย์ในปัจจุบัน) นครหลวงของราชรัฐเดิมของวุยก๊กในยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก หลังจากหันค่ายเข้ารับตำแหน่งเสนาธิบดีพิธีการแล้ว จึงเขียนฎีกาเสนอให้ราชสำนักสร้างศาลบรรพชนแห่งใหม่ในลกเอี๋ยง และย้ายป้ายวิญญาณบรรพชนจากเงียบกุ๋นมายังลกเอี๋ยง เพื่อให้จักรพรรดิและข้าราชบริหารสามารถทำพิธีเซ่นไหว้บรรพชนได้อย่างเหมาะสม ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่หันค่ายดำรงตำแหน่งเสนาบดีพิธีการ หันค่ายได้คิดค้นรูปแบบราชพิธี ธรรมเนียม พิธีกรรม และระเบียบวิธีีสำหรับรัฐวุยก๊ก และยกเลิกแนวปฏิบัติเก่าจากยุคราชวงศ์ฮั่น หันค่ายลาออกจากตำแหน่งในปี ค.ศ. 234 เนื่องจากปัญหาสุขภาพ[25][21] และได้รับตำแหน่งกิตติมศักดิ์ในฐานะที่ปรึกษาราชวัง (太中大夫 ไท่จงต้าฟู)
ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 238[b] ในรัชสมัยของโจยอยทายาทของโจผี[27] ราชสำนักออกพระราชโองการว่า "ที่ปรึกษาราชวังหันค่ายเปี่ยมด้วยคุณธรรมและประพฤติตนด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แม้ว่าท่านจะอายุเกิน 80 ปีแล้ว ก็ยังคงมุ่งมั่นในการส่งเสริมความชอบธรรมและหลักศีลธรรม นี่คือความหมายของการที่ยิ่งอาวุโสมากขึ้น ยิ่งมีคุณธรรมและยิ่งซื่อสัตย์มากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงขอแต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีมหาดไทย (司徒 ซือถู)"[28][21]
หันค่ายเสียชีวิตในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 238[a] ก่อนที่จะเสียชีวิต หันค่ายบอกว่าตนต้องการให้จัดงานศพอย่างเรียบง่าย ให้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ตนสวมตามปกติขณะมีชีวิต และอยู่ในหลุมศพธรรมดาที่ไม่มีอะไรนอกจากดินที่กลบหน้าโลงศพ ถูกฝังพร้อมด้วยเครื่องใช้ในงานศพที่ทำจากเครื่องดินเผา[29] หันค่ายยังเขียนฎีกาถึงราชสำนักเพื่อสื่อถึงความต้องการตนที่ให้จัดงานศพอย่างเรียบง่าย แม้ว่าตนจะรู้อยู่ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนควรได้รับการจัดงานศพที่ประณีตกว่านี้เพราะมีตำแหน่งระดับเสนาบดี[30] หลังจากโจยอยทรงอ่านฎีกาของหันค่าย จึงทรงชื่นชมในความถ่อมตนของหันค่ายและมีรับสั่งให้หันค่ายได้รับการจัดงานศพอย่างเรียบง่ายตามความปรารถนาสุดท้ายของหันค่าย[31] พระองค์ยังพระราชทานเครื่องใช้ในงานศพ ชุดเสื้อคลุมราชสำนัก และกระบี่พิธีการทำจากหยก[32] นอกจากนี้ยังพระราชทานสมัญญานามว่า "กงโหว" (恭侯)[33]