เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล | |
---|---|
เกิด | 10 กันยายน พ.ศ. 2539 จังหวัดสมุทรปราการ ประเทศไทย |
ชื่ออื่น | แฟรงก์ |
อาชีพ | นักเขียน, นักประพันธ์, นักเคลื่อนไหวสังคม |
มีชื่อเสียงจาก | นักกิจกรรมเสรีภาพในโรงเรียน มหาวิทยาลัย และการปฏิรูปการศึกษา |
ลายมือชื่อ | |
เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล (เกิด 10 กันยายน พ.ศ. 2539) ชื่อเล่น แฟรงก์ เป็นนักกิจกรรมนักศึกษา ผู้ประพันธ์และผู้คัดค้านโดยอ้างมโนธรรม เขาก่อตั้งสมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทยและกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท[1] ซึ่งทั้งสองกลุ่มมุ่งปฏิรูปการศึกษาไทย การเคลื่อนไหวช่วงแรก ๆ ของเขาเป็นการมุ่งเน้นเรื่องทรงผมนักเรียน ปฏิรูปหลักสูตรการศึกษา รวมถึงวิจารณ์พิธีกรรมหน้าเสาธงในโรงเรียน และการยกเลิกเกณท์ทหาร[2] คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเคยเสนอ "รางวัลสิทธิมนุษยชน" ประเภทเด็กและเยาวชนจากบทบาทการรณรงค์เคลื่อนไหวเรื่องสิทธิมนุษยชนในโรงเรียนให้เขา แต่เขาปฏิเสธ[3][4]
ปี 2561 เนติวิทย์เป็น 1 ใน 50 บุคคลชาวเอเชียที่น่าจับตามองแห่งปี (50 Asians to Watch) สาขาบุคคลสาธารณะผู้เคลื่อนไหวสังคม ประจำปี 2018 โดยสำนักข่าวสเตรทไทม์ส (Straits Times) ของสิงคโปร์[5] และได้รับเชิญให้เป็น 1 ในปาฐกงาน Oslo Freedom Forum ประจำปี 2018 จากมูลนิธิ Human Rights Foundation ซึ่งเป็นเวทีระดับโลกที่พูดถึงประเด็นสิทธิมนุษยชน[6][7] และเป็นส่วนหนึ่งเคลื่อนไหวการประท้วงในประเทศไทย พ.ศ. 2563–2565
ปี 2567 ภายหลังจากสำเร็จการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หมดสิทธิผ่อนผันเกณฑ์ทหาร เมื่อวันที่ 5 เมษายน เนติวิทย์ได้เดินทางไปยังจุดตรวจเลือกทหาร ยืนอ่านประกาศแถลงการณ์อารยะขัดขืน ไม่ขอเข้าเกณฑ์ทหาร และยินดีรับโทษตามกฎหมาย โดยมองว่ากระบวนการเกณฑ์ทหารไม่เกิดความเสมอภาคของพลเมือง ควรมีสิทธิเสรีภาพในการเลือกว่าจะเป็นทหารหรือไม่[8]
เนติวิทย์เกิดเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2539 เขาเป็นบุตรคนสุดท้องของครอบครัวเจ้าของร้านขายของชำ[2] เกิดและเติบโตในจังหวัดสมุทรปราการ ศึกษาจบในระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ เขาเป็นผู้คัดค้านโดยอ้างมโนธรรมตั้งแต่อายุ 18 ปี[9]
เขาได้รับความสนใจระดับชาติในเดือนมกราคม 2556 หลังออกรายการโทรทัศน์ช่วงไพรม์ไทม์ ในด้านการศึกษา เขาเสนอให้ลดชั่วโมงเรียนและการบ้าน และเปลี่ยนหลักสูตรให้เน้นความสำคัญของภาษา คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เขาบอกว่าเขากลับต้องท่องจำความยาวของแม่น้ำในทวีปแอฟริกา เขาไม่อยากให้นักเรียนนักศึกษามีพิมพ์เดียวโดยเฉพาะพิมพ์ที่ทำตามคำสั่ง[10] ในเดือนธันวาคม 2556 เนติวิทย์โพสต์ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวกรณีอั้ม เนโกะพยายามนำธงดำขึ้นบนยอดเสาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก่อนจะทิ้งท้ายว่าร้องเพลงชาติทีไรคลื่นไส้ทุกครั้ง[11]
ต้นปี 2557 เขาเข้าร่วมการประท้วงต่อต้านรัฐประหารและคณะรัฐประหาร ในเดือนพฤษภาคม 2558 เขาถูกควบคุมตัวช่วงสั้น ๆ เมื่อเข้าร่วมการจัดงานไว้อาลัยประชาธิปไตยในกรุงเทพมหานครและจังหวัดขอนแก่น[2]
เขากำลังศึกษาในระดับอุดมศึกษาคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยให้เหตุผลว่าเลือกจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่เป็นอนุรักษนิยมมากกว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่เป็นเสรีนิยมว่าตนไม่อยากอยู่ท่ามกลางคนที่คิดแบบเดียวกัน ต่อมาเขาให้สัมภาษณ์ว่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่ได้เป็นอนุรักษนิยมมากอย่างที่เขาว่ากัน[9] เมื่อเดือนมิถุนายน 2559 เมื่อเขาได้รับเข้าศึกษาในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขาถูกอาจารย์คนหนึ่งวิจารณ์หน้าตา และอีกหลายคนกล่าวว่าชีวิตในมหาวิทยาลัยอาจยากลำบาก[2][12]
ในเดือนกรกฎาคม 2559 เนติวิทย์และเพื่อนจำนวน 8 คน ไม่ยอมหมอบกราบต่อหน้าพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยอ้างเหตุผลว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ยกเลิกธรรมเนียมดังกล่าวเอง และเดินออกจากพิธีหลังกล่าวคำปฏิญาณต่อมหาวิทยาลัยและเดินไปโค้งคำนับต่อหน้าพระบรมราชานุสรณ์แทน เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้บางคนกล่าวว่าจะช่วยจุดประกายการอภิปรายเกี่ยวกับพิธีนี้ ส่วนบางคน เช่น หม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล ว่า ต้องการให้ช่วยขจัด "มะเร็ง" ออกจากมหาวิทยาลัย[13]
วันที่ 5 พฤษภาคม 2560 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี กล่าวเกี่ยวกับกรณีที่เนติวิทย์ได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานสภานิสิตจุฬาฯ ว่า "เสียดายและเป็นห่วง เพราะเสียชื่อสถาบัน มหาวิทยาลัยนี้คงไม่มีปัญหาความคิดสุดโต่งใช่หรือไม่ ตนขี้เกียจรบกับเด็ก" [14] เนติวิทย์จึงถามกลับว่า ใครคือความอับอายของชาติ ประยุทธ์ทำให้ชื่อเสียงของประเทศเสื่อมเสียจากรัฐประหารเมื่อปี 2557 ไม่เคารพกติกาของบ้านเมือง ทำรัฐประหาร ยึดอำนาจ และลิดรอนสิทธิมนุษยชนของคนไทยมา 3 ปีแล้ว[15][16]
ในปี 2560 เนติวิทย์และสมาชิกสภานิสิตฯ อีก 7 คนเดินออกจากพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเบื้องหน้าพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวหลังคำนับแล้ว หลังจากนั้นปรากฏภาพอาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยผู้หนึ่งล็อกคอนักศึกษา[17] มหาวิทยาลัยฯ ตั้งคณะกรรมการและเรีรยกตัวนักศึกษามาสัมภาษณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมองว่าการประท้วงดังกล่าวเป็นการเมือง และว่าจัดพื้นที่ต่างหากสำหรับผู้ไม่เห็นด้วยแล้ว และการกระทำของนักศึกษาดังกล่าวไม่เหมาะสม[18] รองอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสั่งตัดคะแนนความประพฤติของนักศึกษา ทำให้เนติวิทย์ขาดโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมหรือลงสมัครในตำแหน่งต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย[19] ทำให้เนติวิทย์พ้นจากตำแหน่งประธานสภานิสิตฯ[20][21] เขาได้รับการสนับสนุนจากนักวิชาการและนักเคลื่อนไหวจากต่างประเทศ ในเดือนมกราคม 2561 ผู้ได้รับรางวัลโนเบลเจ็ดคนร้องทุกข์ต่อจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอุทธรณ์ให้เนติวิทย์และวิจารณ์มหาวิทยาลัย[22]
วันที่ 27 มกราคม 2561 เนติวิทย์เข้าเป็นผู้สังเกตการณ์ในการประท้วงต่อต้าน คสช. ที่จัดโดยกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย วันที่ 29 มกราคม คสช. ฟ้องเขาและนักกิจกรรมอีก 6 คนว่าเป็นผู้นำการประท้วง[23] และกล่าวหาว่าเขาละเมิดพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558[24] ต่อมา ศาลปล่อยตัวเขากับนักเคลื่อนไหวโดยไม่มีเงื่อนไข[25]
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 เนติวิทย์ได้รับจดหมายเชิญจากมูลนิธิฮิวแมน ไรท์ส ฟาวเดชั่น (Human Rights Foundation) ให้เป็นหนึ่งในปาฐก หรือผู้บรรยายในงาน Oslo Freedom Forum ประจำปี 2018 จัดขึ้น ณ เมืองออสโล ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งงานดังกล่าวเป็นเวทีระดับโลกที่พูดถึงประเด็นสิทธิมนุษยชน อีกทั้งยังเป็นเวทีรวมตัวของนักสิทธิมนุษยชนทั่วโลก เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประมุขของรัฐ และอื่น ๆ โดยเนติวิทย์กล่าวว่า การเดินทางไปเป็นหนึ่งในปาฐกครั้งนี้จะได้พบปะกับผู้รักความเป็นธรรมจากทั่วโลก แลกเปลี่ยนประสบการณ์ พูดคุยเรื่องเมืองไทย ยกย่องเพื่อนผู้กล้าหาญ และจะสร้างประโยชน์ให้กับสังคมไทยและโลกให้มากที่สุด[6][7]
ช่วงต้นปี 2563 เนติวิทย์ได้ลงสมัครลงตำแหน่งนายกสโมสรนิสิตรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในนามของพรรคสิงหราษฎร์ (Demosingh Party) และได้รับชัยชนะในการดำรงตำแหน่งนายกสโมสรนิสิตรัฐศาสตร์ ปีการศึกษา 2563[26] ในช่วงปีการศึกษานี้ เป็นช่วงที่ประเทศไทยกำลังเจอกับวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ด้วย ซึ่งเนติวิทย์และเพื่อนนิสิตในพรรคก็ได้จัดกิจกรรมใหม่ๆ และได้ปรับรูปแบบตามสถานการณ์ที่ยังคงความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมืองได้ด้วย เช่น โครงการรำลึก 90 ปี ชาตกาล จิตร ภูมิศักดิ์,[27] โครงการปฏิรูปตึกกิจกรรมนิสิต คณะรัฐศาสตร์, โครงการ 44 ปี 6 ตุลาฯ ซึ่งได้เปิดห้องประชุมใหม่ที่ตึกกิจกรรมนิสิต ชื่อว่าห้อง วิชิตชัย อมรกุล และห้องประชุม ดร. บุญสนอง บุณโยทยาน เพื่อรำลึกวีรชนรุ่นพี่ผู้เสียสละชีวิตช่วงเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ด้วย, โครงการจัดติว GAT-PAT ฟรีให้นักเรียนมัธยมศึกษาทั่วประเทศ เป็นต้น[28][29][30]
ทั้งนี้ ยังมีกิจกรรมหรือแคมเปญอื่นๆ เพิ่มเติมระหว่างปีการศึกษาด้วย เช่น #Saveพี่สมเด็จ จากกรณีที่คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ปลดรูปนาย สมเด็จ วิรุฬหผล วีรชน เหตุการณ์ 14 ตุลาฯ จากห้องสโมสรนิสิตคณะเศรษฐศาสตร์[31] เรียกร้องให้ อบจ. ในขณะนั้นออกแถลงการณ์ขอโทษจิตร ภูมิศักดิ์จากกรณีความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในอดีต,[32] ริเริ่มกิจกรรม #ส่งต่อความอิ่ม ช่วยเหลือชุมชนช่วงวิกฤตโควิด-19,[33] และเรียกร้องการเพิ่มทางเท้าและทางม้าลายทั้งภายในและรอบมหาวิทยาลัยเพื่อความปลอดภัยของนิสิตและประชาชน[34][35]
ตั้งแต่เริ่มวาระดำรงตำแหน่ง เนติวิทย์และเพื่อนนิสิตได้ริเริ่มเรียกร้องให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยุติการรื้อถอนสถานที่สำคัญต่างๆ รอบมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นพื้นที่ดูแลภายใต้สำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เช่น กรณีโรงภาพยนตร์สกาลา ซึ่งภายหลังช่วงปลายปี 2564 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้มอบพื้นที่บริเวณนั้นให้เครือเซ็นทรัลพัฒนาเช่าดูแลต่อและได้ทำลายอาคารลงท่ามกลางเสียงคัดค้านจำนวนมากจากนิสิตและประชาชน,[36] กรณีศาลเจ้าแม่ทับทิมสะพานเหลือง ซึ่งเริ่มเรียกร้องมาตั้งแต่กลางปี 2563 ทำให้อาคารศาลเจ้าและทางครอบครัวผู้ดูแลศาลเจ้าสามารถยื้อเวลาอยู่ต่อได้อีกชั่วระยะหนึ่ง[37] เป็นต้น ทั้งนี้ พื้นที่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ไล่รื้อชุมชนและต้องการรื้อถอนอาคารออกไปนั้น เป็นไปตามแผนการพัฒนาโครงการ Chula Smart City ที่จะนำพื้นที่ให้บริษัททุนใหญ่ต่างๆ เข้ามาเช่าและสร้างเป็นศูนย์การค้า คอนโดมิเนียม ฯลฯ[38]
อีกทั้ง เนติวิทย์ได้ริเริ่มวัฒนธรรมการออกแถลงการณ์เพื่อความยุติธรรมทางสังคมและการเมืองผ่านองค์กรนิสิตนักศึกษา เช่น แถลงการณ์กรณีอุ้มหายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์,[39] แถลงการณ์ประณามการคุกคามประชาชนที่ชุมนุมอย่างสันติโดยรัฐผ่านการใช้กฎหมายและความรุนแรง,[40] แถลงการณ์ประณามรัฐบาลกรณีจับกุมผู้ต้องหา 112 อย่างไม่เป็นธรรม,[41] แถลงการณ์เนื่องในโอกาสวันครบรอบ 90 ปีชาตกาล จิตร ภูมิศักดิ์,[42] แถลงการณ์ประณามรัฐประหารเมียนมาเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564,[43] แถลงการณ์เรียกร้องให้มีการยุติการใช้ความรุนแรงต่อประชาชนและเด็กในวิกฤตอิสราเอล-ปาเลสไตน์ เป็นต้น
ก่อนจบวาระในเดือนพฤษภาคม 2564 เนติวิทย์ได้เสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอโทษต่อสังคมกรณีที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเคยสนับสนุน กปปส. ซึ่งเป็นต้นเหตุการรัฐประหาร 2557 อันบ่อนทำลายประชาธิปไตยและอนาคตของประเทศ[44]
เดือนมีนาคม 2564 เนติวิทย์ได้ลงสมัครตำแหน่งนายกสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมกับเพื่อนนิสิตจากหลายคณะในนามพรรคจุฬาของทุกคน (Chula for All Party) และได้รับชัยชนะด้วยคะแนน 10,324 คะแนน จากนิสิตผู้มาใช้สิทธิ 14,691 คะแนน คิดเป็น 70.27% จากจำนวนนิสิตที่มาใช้สิทธิทั้งหมด ทั้งนี้ เพื่อนนิสิตในพรรคจุฬาของทุกคนอีก 9 ตำแหน่งก็ล้วนได้รับเลือกตั้งเข้าดำรงตำแหน่งในองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) ด้วยเช่นกัน [45]
ผลการเลือกตั้งนายกสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีการศึกษา 2564 | |||||
---|---|---|---|---|---|
พรรค | ผู้สมัคร | คะแนนเสียง | % | ± | |
เบอร์ 1: จุฬาของทุกคน | เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล | 10,324 | 70.27 | - | |
เบอร์ 2: ใส่ใจ | กิตตน์อรรจ วัฒนาวีรชัย | 2,030 | 13.82 | - | |
เบอร์ 3: พร้อม | ธนาพัฒน์ มีฉิม | 695 | 4.73 | - | |
ไม่ประสงค์ลงคะแนน | 1,642 | 11.18 | – | ||
ผลรวม | 14,691 | 100.00 | — | ||
ผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง | 14,691 | 56.03 | – | ||
ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง | 26,219 | 100.00 | — |
ระหว่างการดำรงตำแหน่งในองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เนติวิทย์และเพื่อนนิสิตได้ริเริ่มโครงการต่างๆ และแคมเปญอื่นๆ มากมาย เช่น กิจกรรมปฐมนิเทศนิสิตใหม่ พร้อมกับคลิปมอบขวัญกำลังใจจากรุ้ง-ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล, เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์, และรองศาสตราจารย์ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์, แถลงการณ์ยกเลิกผู้อัญเชิญพระเกี้ยวในกิจกรรมฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ–ธรรมศาสตร์, ประกาศให้สหประชาชาติรับรองและสนับสนุนให้วันที่ 6 ตุลาคมของทุกปีเป็นวันปกป้องเสรีภาพนักศึกษา เป็นต้น
จากการที่เนติวิทย์เชิญนักศึกษานักเคลื่อนไหวทางการเมืองและอาจารย์ผู้ลี้ภัยจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองมากล่าวในกิจกรรมปฐมนิเทศนิสิตใหม่ ประกอบกับแถลงการณ์ยกเลิกผู้อัญเชิญพระเกี้ยว ทำให้ศิษย์เก่าและกลุ่มอนุรักษนิยมเข้ามาคุกคามอย่างหนัก กระนั้นสำนักบริหารกิจการนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยรองอธิการบดีด้านการพัฒนานิสิต ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ชัยพร ภู่ประเสริฐ ได้ตั้งคณะกรรมการวินัยนิสิตเพื่อสอบสวนกรณีข้างต้นว่าผิดระเบียบหรือไม่[46]
หลังจากที่เนติวิทย์ถูกตัดคะแนนด้วยความไม่เป็นธรรมจากสำนักบริหารกิจการนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อครั้นดำรงตำแหน่งประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เนติวิทย์และเพื่อนนักเคลื่อนไหวในมหาวิทยาลัยจึงได้ร่วมกันก่อตั้งสำนักพิมพ์สำนักนิสิตสามย่านขึ้น เพื่อเผยแพร่งานเขียนและงานแปลที่เกี่ยวกับการต่อสู้ในระบบการศึกษา การต่อสู่เพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน รวมถึงประเด็นอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย
บทความนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน มีเนื้อหา รูปแบบ หรือลักษณะการนำเสนอที่ไม่เหมาะสมสำหรับสารานุกรม |
วันที่ 29 มกราคม 2561 เนติวิทย์ถูกตั้ง 3 ข้อกล่าวหา ได้แก่ ขัดคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558, ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ชุมนุมฯ และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 จากกรณีการไปร่วมแสดงจุดยืนและแสดงความคิดเห็นในกิจกรรม "นัดรวมพล ประชาชนอยากเลือกตั้ง แสดงพลังต้านสืบทอดอำนาจ คสช." เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2561 เวลา 17.00 - 19.00 น. ณ สกายวอล์ก ใกล้ศูนย์การค้ามาบุญครอง แยกปทุมวัน[49] โดยในกิจกรรมวันที่ 27 มกราคม เนติวิทย์ไม่ได้ปราศรัย แต่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อถึงเหตุผลที่เขามาร่วมกิจกรรม ซึ่งก็คือ เขาต้องการสื่อสารกับรัฐบาลว่าหมดเวลาแล้วที่จะอยู่ต่อ ให้โอกาสกับลูกหลานบ้าง พร้อมทั้งเรียกร้องให้ประชาชนกล้าที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับรัฐบาลที่เป็นเผด็จการ[50]
เนติวิทย์เป็นหนึ่งใน 39 คนที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาจากการเข้าร่วมชุมนุมที่สกายวอล์กใกล้ศูนย์การค้ามาบุญครอง ซึ่งต่อมาเรียก 39 คนในกรณีนี้ว่า MBK39 ทั้งนี้เนติวิทย์เป็น 1 ใน 9 คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแกนนำ จึงถูกแจ้งข้อกล่าวหายุยงปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ร่วมด้วย โดยเนติวิทย์กล่าวว่าในกิจกรรมดังกล่าวเขาไม่ได้เป็นแกนนำ เขาเป็นเพียงผู้ไปร่วมแสดงจุดยืนและแสดงความคิดเห็นเท่านั้น[49][51]
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 10.00 น. เนติวิทย์และกลุ่ม MBK39 เดินทางมา สน.ปทุมวัน เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา เนติวิทย์กล่าวว่า เขายินดีร่วมชะตากรรมกับทุกคน ถือเป็นเกียรติของคน ๆ หนึ่งที่ได้ยืนยันและปกป้องการใช้สิทธิและเสรีภาพของคนไทย[52][53][51] เขายืนยันว่า สิทธิในการชุมนุม วิพากษ์วิจารณ์ หรือสนับสนุนรัฐบาลเป็นสิทธิที่ประชาชนทุกคนควรมี[51] อนึ่ง ในช่วงเที่ยงของวันดังกล่าว เนติวิทย์และกลุ่ม MBK39 ไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นตำรวจ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุลอ้างว่า สาเหตุที่ชั้นตำรวจตัดสินใจไม่ปล่อยตัวชั่วคราว เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มั่นใจว่าหากปล่อยตัวไปแล้วผู้ต้องหาจะมาตามนัดหรือไม่[51]
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ เวลา 14.55 น. เนติวิทย์และผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหายุยงปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 เดินทางไปยังศาลอาญากรุงเทพใต้เนื่องจากเป็นข้อกล่าวหาที่มีโทษสูงกว่า 3 ปี พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขออำนาจศาลฝากขัง 12 วัน คือวันที่ 8 - 19 กุมภาพันธ์ 2561 โดยให้เหตุผลว่า คดีนี้มีโทษจำคุกเกิน 3 ปี มีพยานต้องสอบเพิ่มอีก 5 ปาก และต้องสอบประวัติอาชญากรรม อีกทั้งพนักงานสอบสวนยื่นคำร้องคัดค้านการประกันตัวโดยให้เหตุผลว่า มีนัดหมายชุมนุมครั้งถัดไปในวันที่ 10 กุมภาพันธ์นี้ที่ถนนราชดำเนิน เกรงว่าผู้ต้องหาเหล่านี้จะก่อเหตุอันตราย ส่วนทางเนติวิทย์และผู้ต้องหาคนอื่นได้ยื่นคำร้องคัดค้านการฝากขัง โดยให้เหตุผลว่า พวกเขาเป็นคนธรรมดาไม่มีความสามารถในการเข้าไปยุ่งกับพยานหลักฐาน อีกทั้งพยานหลักฐานเป็นภาพถ่ายหรือวีดิโอซึ่งอยู่ในครอบครองของพนักงานสอบสวนอยู่แล้ว[54]
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ เวลา 19.10 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำสั่งยกคำร้องขอฝากขังของพนักงานสอบสวน โดยให้เหตุผลว่า ผู้ต้องหามีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่มีการหลบหนี เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาด้วยตนเอง ให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวนเป็นอย่างดี ส่วนที่พนักงานสอบสวนอ้างว่าเนติวิทย์และผู้ต้องหาคนอื่นจะไปร่วมชุมนุมในวันที่ 10 กุมภาพันธ์แล้วก่ออันตรายประการอื่นนั้น ศาลเห็นว่าเป็นเพียงการคาดเดาของพนักงานสอบสวน[54]
รวมเหตุการณ์ตลอดทั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 เนติวิทย์และผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหายุยงปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ใช้เวลาในการดำเนินการเรื่องคดีกรณีสกายวอล์กจำนวน 9 ชั่วโมง 10 นาที โดยหลังจากศาลอาญากรุงเทพใต้ยกคำร้อง เนติวิทย์และผู้ต้องหาจึงสามารถเดินทางกลับที่พักของเขาได้[54]
วันที่ 9 มีนาคม 2561 พนักงานสอบสวนส่งตัวเนติวิทย์และผู้ต้องหาให้อัยการศาลแขวงปทุมวัน พนักงานอัยการศาลแขวงปทุมวันมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดี เนื่องจากเห็นว่าการฟ้องจะไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ และพนักงานอัยการแขวงปทุมวันได้ทำความเห็นพร้อมส่งสำนวนไปที่อัยการสูงสุดให้มีความเห็นต่อไป[55]
วันที่ 23 พฤษภาคม 2561 เวลา 10.00 น. เนติวิทย์เดินทางมา สน.ปทุมวัน ตามนัดหมายส่งตัวผู้ต้องหา ทนายฝ่ายผู้ชุมนุมขอเลื่อนนัดการส่งตัวเนื่องจากผู้ต้องหาคนอื่นกำลังถูกคุมขังอยู่ที่ สน.พญาไท และสน.ชนะสงครามจากกิจกรรมการชุมนุมและเดินขบวนหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และหน้าสหประชาชาติในวันที่ 21 - 22 พฤษภาคม[55]
วันที่ 25 พฤษภาคม 2561 เวลา 10.45 น. เนติวิทย์เดินทางมาที่สำนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษอาญากรุงเทพใต้ ตามนัดหมายของพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน เพื่อที่พนักงานสอบสวนจะทำเรื่องส่งตัวและทำสำนวนให้พนักงานอัยการ พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้อง ส่วนพนักงานอัยการเมื่อได้รับสำนวนจะมีความเห็นทางคดีและมีคำสั่งอีกครั้งในวันที่ 28 มิถุนายน 2561 เวลา 10.00 น.[56]
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 14.00 - 19.35 น. เนติวิทย์เข้าร่วมกิจกรรมชุมนุม "หยุดยื้ออำนาจ หยุดยื้อเลือกตั้ง หมดเวลา คสช. ถึงเวลาประชาธิปไตย" ณ บริเวณทางเท้า หน้าร้านแมคโดนัล สาขาราชดำเนิน ใกล้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย[57]
วันที่ 14 มีนาคม 2561 เวลา 10.00 น. เนติวิทย์เดินทางมา สน.นางเลิ้ง เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาในความผิดฐานชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 เนติวิทย์ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา พนักงานสอบสวนอนุญาตปล่อยตัว พร้อมทั้งนัดส่งตัวให้อัยการศาลแขวงดุสิตในวันที่ 28 มีนาคม 2561[57]
วันที่ 28 มีนาคม 2561 เนติวิทย์เดินทางมาพบอัยการที่ศาลแขวงดุสิต แต่ศาลดุสิตขอเลื่อนการให้ความเห็นสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องเป็นวันที่ 5 เมษายน 2561[58]
วันที่ 5 เมษายน 2561 อัยการศาลแขวงดุสิตมีความเห็นสั่งฟ้องเนติวิทย์และผู้ชุมนุมกรณีดังกล่าว[59][60] ซึ่งเรียกว่ากลุ่ม RDN50 เนติวิทย์ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ศาลจึงปล่อยตัวชั่วคราวและนัดตรวจหลักฐานอีกครั้งในวันที่ 4 มิถุนายน 2561 เวลา 9.00 น.[60]
วันที่ 24 มีนาคม 2561 เวลา 16.00 น. เนติวิทย์เข้าร่วมกิจกรรมชุมนุม ณ สนามฟุตบอล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ต่อมาเมื่อเวลา 17.40 น. เนติวิทย์ร่วมเคลื่อนขบวนเดินเท้าไปยังกองบัญชาการกองทัพบก[61]
วันที่ 17 พฤษภาคม 2561 พนักงานอัยการคดีศาลแขวงดุสิตยื่นฟ้องเนติวิทย์และผู้ชุมนุมในกิจกรรมดังกล่าวรวม 57 คน ซึ่งเรียกว่า ARMY57 ในความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. ที่ 3/2558 และ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 โดยศาลแขวงดุสิตได้ประทับรับฟ้องไว้เป็นคดี เนติวิทย์และผู้ชุมนุมได้รับการปล่อยตัว โดยศาลให้เนติวิทย์และผู้ชุมนุมทุกคนสาบานตน พร้อมทั้งนัดตรวจหลักฐานและสอบคำให้การในวันที่ 12 กรกฎาคม 2561 เวลา 9.00 น.[61]
วันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2566 กองทัพบกฟ้องร้องในข้อหาผิดมาตรา 27 พระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497
เดือนพฤษภาคม 2559 เนติวิทย์ถูกเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจรวม 7 นายตามที่บ้านในจังหวัดสมุทรปราการ และพบกับบิดาเขาซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่าผู้บังคับบัญชาสั่งให้มาตรวจสอบว่าเป็นผู้มีอิทธิพล ก่อนหน้านี้ หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นายมาที่บ้านแล้วครั้งหนึ่ง และช่วงหลังรัฐประหารใหม่ ๆ ครูที่โรงเรียนของเนติวิทย์เคยแจ้งเคยมีเจ้าหน้ามาที่โรงเรียนด้วย[62]
เดือนพฤษภาคม 2560 หลังจากเนติวิทย์ได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานสภานิสิตจุฬาฯ มีวัยรุ่น 2 คนขับจักรยานยนต์ในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บริเวณหน้าอาคารสำราญราษฎร์บริรักษ์มาถามหาเนติวิทย์จากคนในละแวกนั้น และพูดจาข่มขู่ใส่ก่อนขับรถหนีไป[63]
{{cite web}}
: CS1 maint: numeric names: authors list (ลิงก์)