กรับ

กรับ เป็นเครื่องดนตรีไทยชนิดหนึ่ง ซึ่งกรับนั้นมีอยู่ 3 ชนิดด้วยกัน คือ กรับคู่ กรับพวง และกรับเสภา

ประวัติ

[แก้]

วัฒนธรรมการตีกรับเดิมเป็นวัฒนธรรมของอินเดีย พบการตีกรับคู่ของพราหมณ์สำหรับประโคมเพื่อสักการะเทพเจ้าศาสนาพราหมณ์ฮินดู การละเล่นของอินเดียที่ใช้เครื่องตีกระทบไม้ที่มีชื่อว่า Khartal หรือ Kartal เป็นเครื่องตีกระทบโบราณของอินเดียลักษณะคล้ายกรับคู่พบมากที่รัฐราชสถาน รวมถึงในมหากาพย์เรื่อง มหาภารตะ และรามายณะ กล่าวถึงเครื่องดนตรี Khartal เป็นเครื่องดนตรีประจำกายของฤๅษีนารทมุนี (Narad Muni)[1]

ฤๅษีนารทมุนีถือเครื่องตีกระทบ Khartal ที่พระกรข้างซ้าย

ในดินแดนสุวรรณภูมิปรากฏหลักฐานเก่าแก่ที่สุดที่เกี่ยวข้องกับการตีกรับตั้งแต่สมัยทวารวดี[1] คือ ประติมากรรมปูนปั้นประดับสถาปัตยกรรม ภาพสตรีสูงศักดิ์บรรเลงดนตรี 5 คน[1] พบที่โบราณสถานเมืองคูบัว อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี อายุราวพุทธศตวรรษที่ 13-14[1] ภาพสตรีคนแรก (นับจากซ้ายไปขวา) สันนิษฐานว่าน่าจะตีกรับคู่[1] หลักฐานนี้แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองทางด้านอารยธรรมดนตรีสมัยทวารวดีซึ่งรับขนมธรรมเนียมแบบแผนการดนตรีมาจากอินเดียพร้อมกับศาสนาและการค้า[1] โดยเฉพาะวัฒนธรรมการตีกรับซึ่งกรับคู่เป็นกรับที่แพร่หลายในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย[1]

สมัยเมืองพระนครพบหลักฐานภาพแกะสลักนูนต่ำเกี่ยวกับการตีกรับบนภาพสลักริ้วกระบวนเสด็จพระราชดำเนินทางสถลมารคของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2[1] ที่ผนังระเบียงคดปราสาทนครวัด อายุราวพุทธศตวรรษที่ 17[1] ภาพแกะสลักดังกล่าวแสดงถึงกรับซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องดนตรีสำหรับประโคมเพื่อสักการะเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ฮินดู และการขับไม้ปรากฏบนภาพสลักบนผนังระเบียงคดปราสาทบายนในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7[1] อายุราวพุทธศตวรรษที่ 18

สมัยสุโขทัยพบหลักฐานการตีกรับในจารึกพ่อขุนรามคำแหง หลักที่ 1 ด้านที่ 2[1] เกี่ยวกับวงขับไม้ และไตรภูมิพระร่วง[1] พระราชนิพนธ์ของพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) ซึ่งรับวัฒนธรรมการเล่นกรับขับไม้ที่มีอยู่แต่เดิมในดินแดนแห่งนี้ตั้งแต่สมัยทวารวดี[1] ในไตรภูมิพระร่วงมีการจารข้อความพรรณาเกี่ยวกับการดนตรีไว้เป็นจำนวนมาก ไตรภูมิพระร่วง บทที่ 5 แดนมนุษย์ เรื่อง จักรรัตนะ ความว่า:-

บางคนตีกลอง ตีพาทย์ ตีฆ้อง ตีกรับ บางพวกดีดพิณ สีซอ ตีฉิ่ง จับระบาราเต้น เสียงสรรพดนตรี ดังครื้นเครง กึกก้องดังแผ่นดินจะถล่มทลาย[2]

สมัยอยุธยาพบหลักฐานการตีกรับอย่างชัดเจนทั้งในกฎมนเทียรบาลในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถว่า:- "หกทุ่มเบิกเสภาดนตรี เจ็ดทุ่มเบิกนิยาย"[3] ซึ่งคำว่า เสภา หมายถึง บุคคลที่ขับร้องขับกล่อมเป็นทำนองโดยใช้กรับเป็นเครื่องประกอบจังหวะ[1] รวมทั้งจดหมายเหตุ และวรรณกรรมต่าง ๆ เช่น จดหมายเหตุลาลูแบร์ บันทึกไว้ว่า:-

ดนตรีสยามนั้น บางทีมีเสียงไม้สั้นสองอันขยับเป็นจังหวะ ชาวสยามเรียกว่า "กรับ" เอากรับสองอันเคาะกัน คนที่ร้องกับคนที่ขยับกรับเป็นคนคนเดียวกัน[4]

ในบทละครเรื่อง รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ปรากฏเครื่องดนตรีประเภทกรับในสมุดไทยเล่มที่ 5 ว่า:- "นางฟ้าอุ้มจูงเทวบุตร อุตลุดไปทั้งสรวงสวรรค์ อันฉิ่งกรับทับโทนทั้งนั้น สารพันแตกสิ้นไม่สมประดี ฯ"[5] ในบทละครนอกเรื่อง สังข์ทอง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์บทเสภา เรื่อง เจ้าเงาะขับ ปรากฏความว่า:- "เคยนอนเตียงเสียงประโคมด้วยแตรสังข์ มาตกไร้ได้ฟังแต่เสียงกรับ"[6]

ส่วนการตีกรับพวงสันนิษฐานว่าเริ่มเกิดขึ้นสมัยอยุธยาตอนกลางถึงตอนปลาย ปรากฏหลักฐานบนภาพจิตรกรรมฝาผนัง ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พระราชวังบวรสถานมงคล[1] ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นภาพจิตรกรรมสตรีในราชสำนักบรรเลงดนตรี ประกอบด้วย ซอสามสาย พิณ ขลุ่ย กรับ ทับ รำมะนา และฉี่ง ซึ่งเป็นรูปแบบศิลปกรรมสมัยอยุธยาที่ถูกถ่ายทอดมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์[1]

ประเภทของกรับ

[แก้]

กรับคู่

[แก้]
กรับคู่ ทำด้วยไม้ไผ่ซีก 2 อันเหลาให้เรียบและเกลี้ยง หนาตามขนาดของเนื้อไม้ หัวและท้ายกว่าใหญ่ลดหลั่นกันเล็กน้อย ตีด้วยมือทั้งสองข้าง โดยจับข้างละอัน ให้ด้านที่เป็นผิวไม้กระทบกัน ตีลงบริเวณใกล้กับตอนหัว มีเสียงดัง กรับ กรับ โดยมากจะใช้ตีกำกับจังหวะในวง ปี่พาทย์ชาตรี ประกอบการแสดงละครชาตรี โดยเฉพาะในเพลงร่ายต่าง ๆ ในวงกลางยาวก็นิยมใช้กรับคู่ไปตีกำกับจังหวะหนัก ที่เรียกว่ากรับคู่คงเป็นเพราะมีเป็นคู่ 2 อัน บางทีก็เรียกว่า ”กรับไม้“
กรับคู่

กรับพวง

[แก้]
เป็นกรับชนิดหนึ่งตอนกลางทำด้วยไม้บาง ๆ หรือแผ่นทองเหลือง หรืองาหลาย ๆ อันและทำไม้แก่น 2 อันเจาะรูตอนหัวร้อยเชือกประกบไว้ 2 ข้างเหมือนด้ามพัด เวลาตีใช้มือหนึ่งถือตรงหัวทางเชือกร้อย แล้วฟาดลงไปบนอีกฝ่ามือหนึ่ง เกิดเป็นเสียงกรับขึ้นหลายเสียง จึงเรียกว่ากรับพวงใช้เป็นอานัตสัญญาณ เช่น ในการเสด็จออกในพระราชพิธีของพระเจ้าแผ่นดิน เจ้าพนักงานจะ รัวกรับ และใช้กรับพวงตีเป็นจังหวะ ในการขับร้อง เพลงเรือ ดอกสร้อยและใช้บรรเลงขับร้องในการแสดง นาฏกรรมด้วย
กรับพวง
กรับเสภา

กรับเสภา

[แก้]
ทำด้วยไม้แก่น เช่น ไม้ชิงชัน ยาวประมาณ 20 ซม หนาประมาณ 5 ซม เหลาเป็นรูป 4 เหลี่ยมแต่ลบเหลี่ยม ออกเพื่อมิให้บาดมือและให้สามารถกลิ้งตัวของมันเองกลอก กระทบกันได้โดยสะดวก ใช้บรรเลงประกอบในการขับเสภา เวลาบรรเลงผู้ขับเสภาจะใช้กรับเสภา 2 คู่ รวม 4 อัน ถือเรียงกันไว้บนฝ่ามือของตนข้างละคู่ กล่าวขับเสภาไปพลาง มือทั้ง 2 ข้างก็ขยับกรับแต่ละข้างให้กลอกกระทบกันเข้าจังหวะ กับเสียงขับเสภา จึงเรียกกรับชนิดนี้ว่า กรับเสภา

อ้างอิง

[แก้]
เชิงอรรถ
  1. 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 1.11 1.12 1.13 1.14 1.15 นพพล ไชยสน. "กรับในพระราชพิธี," วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ 30(2)(กรกฎาคม-ธันวาคม 2566):336-345. ISSN 2985-0568
  2. กุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ. (2555). ไตรภูมิกถาฉบับถอดความ. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. หน้า 93. ISBN 978-616-2-83016-7
  3. ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. (2468). ตำนานเสภา. พระนคร: โรงพิมพ์ไทย. หน้า 5.
  4. มนตรี ตราโมท. (2527). โสมส่องแสง ชีวิตดนตรีไทยของมนตรี ตราโมท. กรุงเทพฯ: เรือนแก้วการพิมพ์. หน้า 26.
  5. พุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช, พระบาทสมเด็จพระ. (2540). วรรณกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ (หมวดบันเทิงคดี) บทละคร เรื่อง รามเกียรติ์ เล่ม 1. (พิมพ์ครั้งที่ 9). กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. หน้า 76. ISBN 974-255-287-8
  6. จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. (2540). บทละครนอก: สังข์ทอง. กรุงเทพฯ: กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. หน้า 189.
บรรณานุกรม