ฉันทลักษณ์ไทย |
---|
กลวิธีประพันธ์ |
กาพย์ เป็นคำประพันธ์ชนิดหนึ่งที่บังคับจำนวนคำและสัมผัส จัดวรรคต่างจากกลอนและไม่บังคับเสียงวรรณยุกต์ท้ายวรรค ไม่มีบังคับเอก-โทเหมือนโคลง และไม่มีบังคับครุและลหุเหมือนฉันท์
กาพย์ มีที่มาไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นคำประพันธ์เดิมของไทย หรือรับมาจากชาติอื่น ตำรากาพย์เก่าแก่ที่มีอยู่ในปัจจุบันคือ กาพย์สารวิลาสินี และ กาพย์คันถะ แต่งเป็นภาษาบาลี ไม่ทราบชื่อผู้แต่ง แต่สันนิษฐานกันว่าแต่งขึ้นในล้านนาสมัยพระเจ้าติโลกราชแห่งล้านนา ซึ่งตรงกับสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา[1] และเปลี่ยนแปลงมาจากกาพย์มคธเป็นกาพย์ไทยโดยบริบูรณ์ประมาณรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งกรุงศรีอยุธยา[2]
ในคัมภีร์กาพย์กำหนดคำประพันธ์ชนิด กาพย์ ไว้ 8 ชนิด คือ กาพย์พรหมคีติ กาพย์มัณฑุกคติ กาพย์ตุรงคธาวี กาพย์มหาตุรงคธาวี กาพย์กากคติ ในคัมภีร์กาพย์สารวิลาสินี และกาพย์ตรังควชิราวดีหรือกาพย์ตรังคนที กาพย์มหาตรังคนที และกาพย์ทัณฑิกา ในคัมภีร์กาพย์คันถะ
นอกจากนี้ใน ประชุมลำนำ ของหลวงธรรมาภิมณฑ์ได้แสดงกาพย์อีกชนิดหนึ่งชื่อ กาพย์ภุชงคลิลา มาจากคัมภีร์กาพย์สารจินดา
หมายความว่า มีการดำเนินคำดังกาที่บินไป กำหนดให้ ๑ บท มี ๔ บาท, บาท ๑ และบาท ๓ มี ๓ วรรค บาท ๒ และ บาท ๔ มี ๔ วรรค วรรคละ ๔ พยางค์
เฉพาะบาทที่ ๑ มีบังคับครุ และลหุ เช่นเดียวกับฉันท์ ดังนี้
ลหุ ครุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ
๏ สภาวะคน | ||
ณ ยามผจญ | กะอันตราย |
เกิดความคับขัน | ผกผันถึงตาย | |
ในจิตวุ่นวาย | เอาตัวรอดพลัน | |
— แดนคนธรรพ์ |
หมายความว่า มีเสียงขับอันไพเราะประเสริฐ ฉันทลักษณ์กำหนดให้ บทละ ๘ วรรค, วรรคหน้า ๕ พยางค์ วรรคหลัง ๖ พยางค์ ส่งสัมผัสบทท้ายวรรค ๘ รับสัมผัสบทท้ายวรรค ๒
๏ เจอคนหลอกลวงคน | เพียงหนึ่งหนจำจนตาย | |
ดินฟ้าจะสลาย | ให้ลืมหลงจงอย่าหวัง |
ซ่อนเจ็บไว้ภายใน | ครั้งต่อไปได้ระวัง | |
อย่าหมายหลอกหลายครั้ง | กับคนที่มีหัวใจ | |
— แดนคนธรรพ์ |
หมายความว่า มีคำดำเนินไปดังกบเต้น วรรคละ ๖ พยางค์ ท้ายวรรค ๓ กับ ๔, ๔ กับ ๖, และ ๗ กับ ๘ ไม่สัมผัสกัน ฉันทลักษณ์กำหนดให้ ๑ บท มี ๔ บาท,บาทละ ๒ วรรค, บาทแรกบังคับครุ ลหุ
ลหุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ ครุ ลหุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ ครุ
๏ คติว่าประสาสัตว์ | ผิจะกัดก็ป้องตน | |
แต่พวกสัตว์กินเลือดคน | สัตว์ด้วยกันนั้นแสนร้าย |
ชีวิตอยู่ด้วยเบียดเบียน | สะอิดสะเอียนพวกเลือดเย็น | |
การดำรงชีพจำเป็น | สืบชีวีด้วยบีฑา | |
— แดนคนธรรพ์ |
หมายความว่า มีระเบียบดังม้าวิ่ง
ฉันทลักษณ์กำหนดให้ ๑ บท มี ๔ บาท,บาท ๑ และ ๓ มี ๓ วรรค วรรคละ ๓,๔,๕ พยางค์
บาท ๒ และ ๔ มี ๔ วรรค วรรคละ ๓,๕,๓,๕ พยางค์
๏ ความสามารถ | ||
ความโง่ฉลาด | ความถนัดของคน |
ต่างกันไป | นิสัยแห่งตัวตน | |
ตามพื้นฐาน | ประสบการณ์ร่ำเรียนมา |
แต่เมื่อไร | ||
รวมเป็นหมู่ใหญ่ | สามัคคีมีค่า |
ร่วมแบ่งปัน | สารพันวิทยา | |
เกิดพลัง | เป็นคลังวิชาการ | |
— แดนคนธรรพ์ |
หมายความว่า มีระเบียบดังม้าวิ่ง
ฉันทลักษณ์กำหนดให้ ๑ บท มี ๔ บาท,บาท ๑ และ ๓ มี ๓ วรรค วรรคละ ๓,๔,๕ พยางค์
บาท ๒ และ ๔ มี ๔ วรรค วรรคละ ๓,๔,๓,๖ พยางค์
๏ ความเชื่อมั่น | ||
มีความสำคัญ | สัมพันธ์ใจและกาย |
ป่วยใจด้วย | เมื่อไม่สบาย | |
หลีกไม่พ้น | ต้องทนทุกข์ทรมา |
ควรรักษา | ||
กายินวิญญาณ์ | มิท้าต่อภัยพาน |
คนต้องทน | ทำใจชื่นบาน | |
มิหวั่นไหว | ต่อไข้โศกโรคเกาะกิน | |
— แดนคนธรรพ์ |
กาพย์ที่กวีนิยมใช้ในวรรณกรรม มี 3 ชนิด คือ กาพย์ยานี กาพย์ฉบัง และ กาพย์สุรางคนางค์ ซึ่งเป็นที่น่าแปลกว่า กาพย์ดังกล่าว ไม่ปรากฏอยู่ในตำรากาพย์เลย นอกจากนี้ กาพย์ทั้ง 9 ชนิดในตำรากาพย์ก็ไม่ปรากฏในวรรณกรรมเช่นกัน[3]
กวีที่ได้รับยกย่องว่าสร้างสรรค์ผลงานด้านกาพย์มากที่สุดคือ เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร หรือ เจ้าฟ้ากุ้ง กรมพระราชวังบวรฯ ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ งานพระราชนิพนธ์มี 8 เรื่อง คือ กาพย์เห่เรือ 4 บท กาพย์เห่เรื่องกากี 3 ตอน กาพย์เห่สังวาสและเห่ครวญ กาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก กาพย์ห่อโคลงนิราศธารทองแดง นันโทปสันทสูตรคำหลวง พระมาลัยคำหลวง และเพลงยาว ในบรรดาพระราชนิพนธ์เหล่านี้ ทรงใช้กาพย์เป็นหลักถึง 5 เรื่อง
กาพย์ที่เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศรทรงใช้มีเพียงชนิดเดียวคือ กาพย์ยานี 11 ซึ่งทรงเลือกใช้คำได้อย่างเด่น ทำให้เกิดความไพเราะ เสนาะหู ชวนฟัง นอกจากนี้ยังทรงเพิ่มสัมผัสสระในคำที่ 2 - 3 ของวรรคแรก และคำที่ 3 - 4 ของวรรคหลังอย่างเป็นระบบทำให้เกิดจังหวะอ่านรับกันและเพิ่มความไพเราะยิ่งขึ้น
ตัวอย่างลีลากาพย์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร
งามทรงวงดั่งวาด | งามมารยาทนาดกรกราย | |
งามพริ้มยิ้มแย้มพราย | งามคำหวานลานใจถวิล |
แต่เช้าเท่าถึงเย็น | กล้ำกลืนเข็ญเป็นอาจิณ | |
ชายใดในแผ่นดิน | ไม่เหมือนพี่ที่ตรอมใจ | |
— กาพย์เห่สังวาส |