![]() ตราสัญลักษณ์ | |
![]() ที่ทำการของกทท. | |
ชื่อท้องถิ่น | Port Authority of Thailand (PAT) |
---|---|
ประเภท | รัฐวิสาหกิจ |
อุตสาหกรรม | การท่าเรือ |
ก่อนหน้า | สำนักงานท่าเรือกรุงเทพ กรมการขนส่ง |
ก่อตั้ง | 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 |
สำนักงานใหญ่ | เลขที่ 444 ถนนท่าเรือ แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110 |
จำนวนที่ตั้ง | ท่าเรือ 5 แห่ง |
พื้นที่ให้บริการ | ประเทศไทย |
บุคลากรหลัก | ชยธรรม์ พรหมศร (ประธานกรรมการ) เกรียงไกร ไชยวงศ์ศิริสุข (ผู้อำนวยการ) |
ผลิตภัณฑ์ | การพัฒนาและขยายท่าเรือ |
บริการ | การจัดการท่าเรือ |
รายได้ | ![]() (พ.ศ. 2566)[1] |
รายได้จากการดำเนินงาน | ![]() (พ.ศ. 2566)[1] |
รายได้สุทธิ | ![]() (พ.ศ. 2566)[1] |
สินทรัพย์ | ![]() (พ.ศ. 2566)[1] |
ส่วนของผู้ถือหุ้น | ![]() (พ.ศ. 2566)[1] |
เจ้าของ | กระทรวงการคลัง (100.00 %) |
พนักงาน | 4,541 คน (พ.ศ. 2566)[1] |
บริษัทแม่ | กระทรวงคมนาคม |
เว็บไซต์ | เว็บไซต์ของการ |
การท่าเรือแห่งประเทศไทย หรือ กทท. (อังกฤษ: Port Authority of Thailand ย่อว่า PAT) เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ในสังกัดกระทรวงคมนาคม จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2494 เพื่อดำเนินการกิจการท่าเรือของประเทศไทย และในสิ้นปี 2565 การท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นรัฐวิสาหกิจที่นำส่งรายได้แผ่นดินสะสมสูงสุด ลำดับที่ 7[2]
เมื่อ พ.ศ. 2478 ได้มีแนวคิดจะก่อสร้างท่าเรือของรัฐบาลขึ้น คือ ท่าเรือกรุงเทพ เขตคลองเตย โดยมีพระบริภัณฑ์ยุทธกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการ เป็นประธานกรรมการดำเนินการขุดลอกสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณตำบลคลองเตย ต่อมาใน พ.ศ. 2481 จึงได้มีการจัดตั้งสำนักงานท่าเรือกรุงเทพ โดยมี หลวงประเสริฐวิถีรัถ เป็นหัวหน้าสำนักงานท่าเรือกรุงเทพ ทำหน้าที่ควบคุมการก่อสร้าง และเริ่มมีการก่อสร้างใน พ.ศ. 2483 และหยุดชะงักไปในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง
ใน พ.ศ. 2490 ได้เปิดดำเนินการกิจการท่าเรือเป็นครั้งแรก และได้มีการพัฒนาการเรื่อยมา จนกระทั่งใน พ.ศ. 2494 จึงได้มีพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494[3] กำหนดให้จัดตั้งการท่าเรือแห่งประเทศไทยขึ้น เป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคม และโอนกิจการท่าเรือกรุงเทพ จากสำนักงานท่าเรือกรุงเทพมาดำเนินการ
หลังจากเปิดดำเนินการท่าเรือกรุงเทพ และได้มีการพัฒนาเรื่อยมา ทำให้ท่าเรือกรุงเทพซึ่งมีข้อจำกัดในการเป็นท่าเรือแม่น้ำ ไม่สามารถรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจได้ จึงได้มีการดำเนินการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบังขึ้น ใน พ.ศ. 2533 และเปิดใช้ในปีต่อมา ท่าเรือที่ใช้ขนส่งสินค้าท่าเรือหลักของประเทศไทย ได้แก่ ท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือกรุงเทพ ท่าเรือมาบตาพุต ท่าเรือเกาะสีชัง ท่าเรือสงขลา และ ท่าเรือปากบารา[4]
คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทยดังนี้[5]โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
ต่อมาในวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2568 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีที่มีภูมิธรรม เวชยชัยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานแทนแพทองธาร ชินวัตรนายกรัฐมนตรีที่ติดภารกิจ ได้เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่..) พ.ศ. .... โดยปรับปรุง พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 ในส่วนของบทบัญญัติที่เกี่ยวกับรัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมาย เพิ่มเติมวัตถุประสงค์และอำนาจการดำเนินกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.)
พร้อมทั้งปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจของคณะกรรมการ กทท. ให้มีความเหมาะสม ปรับปรุงคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของประธานกรรมการ กรรมการ และผู้ว่าการ กทท. ปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับกิจการที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และเปลี่ยนแปลงชื่อตำแหน่งผู้บริหารองค์กรจากผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็น ผู้ว่าการการท่าเรือแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ยังแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยโดยขยายวัตถุประสงค์จากเดิม “ดำเนินกิจการอื่นที่เกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับการประกอบกิจการท่าเรือ” เป็นให้ “ดำเนินกิจการอื่นที่เกี่ยวกับหรือเกี่ยวเนื่องในการประกอบกิจการท่าเรือเพื่อประโยชน์แก่ กทท.”[6]
จากนั้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 2 ครั้งที่ 18 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 2) ที่ประชุมได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... ซึ่งที่ประชุมมีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 364 เสียง ไม่เห็นด้วย ไม่มี งดออกเสียง 1 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 4 เสียง พร้อมกับตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญจำนวน 31 คน และเสนอระยะเวลาแปรญัตติจำนวน 15 วัน
การท่าเรือแห่งประเทศไทย มีท่าเรือในสังกัด จำนวน 5 แห่ง คือ
รัฐบาลได้เห็นชอบให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย เข้ามาบริหารกิจการของท่าเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ ของกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด โดยให้มีผลตั้งแต่ พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป เพื่อรองรับการขนส่งทางน้ำในพื้นที่ชายทะเลของภาคตะวันออก การขนส่งสินค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน และส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดตราดเองและรวมไปถึงจังหวัดที่ใกล้เคียง เป็นต้น[9]