การบุกลงใต้ของจูกัดเหลียง | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ สงครามในยุคสามก๊ก | |||||||
![]() ประจักษทัศน์ไม้ในหอหฺวาซีโหลว นครปั๋วโจฺว มณฑลอานฮุย แสดงภาพเหตุการณ์ที่จูกัดเหลียงทำศึกกับชนเผ่าลำมัน | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
จ๊กก๊ก |
กบฏในจ๊กก๊ก, ลำมัน | ||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
จูกัดเหลียง ม้าตง ลิอิ๋น |
ยงคี † จูโพ โกเตง ![]() เบ้งเฮ็ก ![]() |
การบุกลงใต้ของจูกัดเหลียง | |||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 諸葛亮南征 | ||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
อักษรจีนตัวย่อ | 诸葛亮南征 | ||||||
| |||||||
สงครามสยบหนานจง | |||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 南中平定戰 | ||||||
อักษรจีนตัวย่อ | 南中平定战 | ||||||
|
การบุกลงใต้ของจูกัดเหลียง (จีน: 諸葛亮南征) หรือ สงครามสยบหนานจง (จีน: 南中平定战) เป็นการทัพที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 225 ในช่วงต้นยุคสามก๊ก (ค.ศ. 220-280) ของจีน นำการทัพโดยจูกัดเหลียง อัครมหาเสนาบดีแห่งรัฐจ๊กก๊กรบด้วยกองกำลังที่ต่อต้านจ๊กก๊กในภูมิภาคหนานจง (ครอบคลุมพื้นที่ของมณฑลยูนนาน มณฑลกุ้ยโจว และมณฑลเสฉวนในปัจจุบัน) การทัพมีมูลเหตุมาจากการก่อกบฏของผู้ปกครองท้องถิ่นในภูมิภาคหนานจงและการบุกรุกของชนเผ่าลำมัน (南蠻 หนานหมาน; แปลว่า "อนารยชนแดนใต้")
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 222[1] เล่าปี่จักรพรรดิผู้สถาปนารัฐจ๊กก๊กพ่ายแพ้ในยุทธการที่อิเหลงต่อรัฐง่อก๊กที่เป็นรัฐพันธมิตรที่กลายเป็นรัฐอริ เล่าปี่สวรรคตที่เป๊กเต้เสีย (白帝城 ไป๋ตี้เฉิง; ปัจจุบันคืออำเภอเฟิ่งเจี๋ย นครเฉิงตู) ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 223[2]
ยงคี (雍闓 ยง ข่าย) สืบเชื้อสายจากยง ฉื่อ (雍齒) เป็นผู้นำชนเผ่าในภูมิภาคหนานจง ได้ยินข่าวการสวรรคตของเล่าปี่จึงเริ่มก่อกบฏต่อต้านการปกครองของจ๊กก๊ก ยงคีสังหารเจิ้ง อ๋าง (正昂) เจ้าเมืองเกียมเหลง (建寧郡 เจี้ยนหนิงจฺวิ้น; ปัจจุบันอยู่บริเวณนครฉฺวี่จิ้ง มณฑลยูนนาน) ที่จ๊กก๊กแต่งตั้ง และจับตัวเตียวอี้ (張裔 จาง อี้) เจ้าเมืองเกียมเหลงคนใหม่เป็นตัวประกัน ลิเงียมขุนพลจ๊กก๊กเขียนจดหมายถึงยงคีทั้งหมด 6 ฉบับเพื่อห้ามไม่ให้ยงคีก่อกบฏ แต่ยงคีตอบกลับด้วยความหยิ่งยโสว่า "ข้าได้ยินว่าฟ้าไม่อาจมีตะวันสองดวง ดินไม่อาจมีเจ้าผู้ปกครองสองคน บัดนี้แผ่นดินถูกแบ่งออกเป็นสาม ระบบปฏิทินมีอยู่สามระบบ ผู้อยู่ห่างไกลจึงสับสน ไม่รู้ว่าควรจะภักดีกับใคร"[3]
ด้วยการเชิญชวนของชื่อ เซี่ย (士燮) และขุนพลง่อก๊กเปาจิด ยงคีจึงตกลงที่จะภักดีต่อง่อก๊ก แล้วส่งตัวเตียวอี้ไปเป็นเชลยของซุนกวนผู้ปกครอง่อก๊กเพื่อแสดงความจริงใจ ซุนกวนจึงตั้งให้ยงคีเป็นเจ้าเมืองเองเฉียง (永昌郡 หย่งชางจฺวิ้น; ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนทางตะวันตกของมณฑลยูนนานในปัจจุบัน) ซึ่งเวลานั้นรักษาโดยขุนนางของจ๊กก๊กคือลิคี (呂凱 ลฺหลี่ ข่าย) และอ้องค้าง (王伉 หวาง ค่าง) เมื่อยงคีเดินทางเพื่ออ้างสิทธิ์ควบคุมเมืองเองเฉียง ลิคีและอ้องค้างปฏิเสธที่จะยอมรับความชอบธรรมของยงคี ทั้งคู่นำข้าราชการและราษฎรในท้องถิ่นต่อต้านยงคีและป้องกันไม่ให้ยงคีเข้าเมืองเองเฉียง ยงคีจึงเขียนจดหมายเข้าไปในเมืองเองเฉียงหลายครั้ง พยายามโน้มน้าวว่าตนเป็นเจ้าเมืองอย่างถูกต้อง แต่ลิคีหักล้างคำกล่าวอ้างของยงคี และสามารถควบคุมเมืองเองเฉียงได้อย่างมั่นคงเพราะผู้คนในเมืองเองเฉียงต่างยกย่องและไว้ใจลิคีเป็นอย่างสูง[4]
ประมาณปี ค.ศ. 223 ขณะที่จ๊กก๊กยังคงโศกเศร้ากับการสวรรคตของเล่าปี่ จูกัดเหลียงอัครมหาเสนาบดีและผู้สำเร็จราชการแห่งจ๊กก๊กตัดสินใจให้ความสำคัญกับนโยบายภายในรัฐเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและสะสมทรัพยากรก่อนที่จะใช้กำลังทหารเพื่อปราบปรามการจลาจลในภูมิภาคหนานจง ในขณะเดียวกันยังได้ส่งเตงจี๋และตันจิ๋นเป็นทูตเดินทางไปง่อก๊กเข้าพบซุนกวนและเจรจาโน้มน้าวให้สงบศึกกับจ๊กก๊ก และสร้างความเป็นพันธมิตรระหว่างจ๊กก๊กและง่อก๊กขึ้นใหม่เพื่อต้านวุยก๊กอันเป็นรัฐอริร่วม[2]
ขณะนั้น โกเตง (高定 เกา ติ้ง; หรือ 高定元 เกา ติ้งยฺเหวียน) ผู้นำชนเผ่าโสฺ่ว (叟族 โสฺ่วจู๋) ในเมืองอวดจุ้น (越巂郡 เยฺว่ซีจฺวิ้น/เยฺว่สุ่ยจฺวิ้น; อยู่บริเวณนครซีชาง มณฑลเสฉวนในปัจจุบัน) ได้ยินเรื่องการก่อกบฏของยงคีและตัดสินใจเข้าร่วม จึงสังหารเจียว หฺวาง (焦璜) เจ้าเมืองอวดจุ้นที่ราชสำนักจ๊กก๊กแต่งตั้ง ในระหว่างที่จูกัดเหลียงวางแผนสำหรับการทัพปราบกบฏ ก็ได้แต่งตั้งกง ลู่ (龔祿) เป็นเจ้าเมืองอวดจุ้นคนใหม่และส่งกง ลู่ไปเตรียมการล่วงหน้า แต่สุดท้ายกง ลู่ก็ถูกโกเตงสังหาร[2]
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น จูกัดเหลียงยังส่งขุนนางชื่อฉาง ฝาง (常房; หรืออีกชื่อคือ 常颀 ฉาง ฉี) ขุนนางผู้ช่วยมณฑลเอ๊กจิ๋ว (益州从事 อี้โจฺวฉงชื่อ) ไปตรวจการที่เมืองโคกุ้น (牂柯郡 จางเคอจฺวิ้น; ปัจจุบันอยู่บริเวณนครกุ้ยหยางหรือฝูเฉฺวียน มณฑลกุ้ยโจว) เมื่อฉาง ฝางมาถึงเมืองโคกุ้นได้สั่งให้ควบคุมตัวเจ้าหน้าที่ระดับล่างทั้งหมดเพื่อทำการไต่สวน ฉาง ฝางสงสัยว่าจูโพ (朱褒 จู เปา) เจ้าเมือง (太守 ไท่โฉฺ่ว) ของเมืองโคกุ้นที่ราชสำนักจ๊กก๊กแต่งตั้งคิดร่วมกับกบฏจึงให้ประหารชีวิตเหล่าเสมียนของเมืองโคกุ้น จูโพทราบเรื่องก็โกรธ ประกอบกับได้ยินเรื่องการก่อกบฏในเมืองเกียมเหลงและอวดจุ้นที่อยู่ใกล้เคียงจึงสังหารฉาง ฝางและเข้าร่วมกับกลุ่มกบฏ[2]
หลังจากยงคีล้มเหลวในการยึดเมืองเองเฉียงจากลิคีและอ้องค้าง ยงคีจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากชนเผ่าลำมัน (南蠻 หนานหมาน) แต่ชนเผ่าลำมันไม่เต็มใจที่จะเชื่อฟังยงคี ยงคีจึงขอช่วยเหลือจากเบ้งเฮ็กผู้นำท้องถิ่นที่มีอิทธิพลและมีชื่อเสียงในหมู่ชนเผ่าลำมัน เบ้งเฮ็กจึงอ้างกับชนเผ่าลำมันว่าราชสำนักจ๊กก๊กเรียกเก็บส่วยจากชนเผ่าลำมันอย่างไร้เหตุผล และยุยงให้ชนเผ่าลำมันก่อกบฏต่อต้านการปกครองของจ๊กก๊กได้สำเร็จ[2]
ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 225 หลังจ๊กก๊กฟื้นฟูความเป็นพันธมิตรกับง่อก๊กอีกครั้งเพื่อต้านวุยก๊กรัฐอริร่วม จูกัดเหลียงอัครมหาเสนาบดีแห่งจ๊กก๊กจึงนำทัพหลวงจ๊กก๊กด้วยตนเองในการยกทัพลงใต้เพื่อสยบภูมิภาคหนานจงและปราบกบฏ อองเลี้ยนหัวหน้าเลขานุการของจูกัดเหลียงพยายามทัดทานการเข้าร่วมในการทัพ แต่จูกัดเหลียงยืนกรานจะนำทัพด้วยตนเองเพราะกังวลว่าขุนพลของจ๊กก๊กอาจไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะจัดการกับกบฏได้เอง[5]
ม้าเจ๊กผู้ช่วยคนสนิทของจูกัดเหลียงแนะนำว่าควรให้ความสำคัญกับการสงครามจิตวิทยา (เช่นการเอาชนะใจผู้คนในหนานจง) มากกว่าการสงครามตามขนบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกบฏขึ้นซ้ำอีก จูกัดเหลียงยอมรับคำแนะนำของม้าเจ๊ก[6]
เล่าเสี้ยนจักรพรรดิแห่งจ๊กก๊กมอบขวานพิธีการให้กับจูกัดเหลียงและจัดพิธีอย่างยิ่งใหญ่ในการส่งจูกัดเหลียงออกรบ โดยให้ผู้เข้าพิธีถือร่มที่ทำจากขนนกเดินขนาบหน้าและหลังของจูกัดเหลียง มีคณะทหารราชองครักษ์หน่วยหู่เปิน (虎賁) 60 นายคุ้มกัน และมีการตีกลองเป่าเขาสัตว์[7]
ทัพจ๊กก๊กยกไปตามเส้นทางน้ำจากอำเภออานช่าง (安上縣 อานช่างเซี่ยน; ปัจจุบันคืออำเภอผิงชาน มณฑลเสฉวน) ไปยังเมืองอวดจุ้น และเข้าภูมิภาคหนานจง โกเตงและยงคีตอบโต้ด้วยการสร้างป้อมปราการหลายแห่งในอำเภอเหมาหนิว (旄牛; ปัจจุบันคืออำเภอฮ่านยฺเหวียน มณฑลเสฉวน) ติ้งเจ๋อ (定筰; ปัจจุบันคืออำเภอเหยียนยฺเหวียน มณฑลเสฉวน) และเปย์ฉุ่ย (卑水; ปัจจุบันอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของอำเภอเจาเจฺว๋ มณฑลเสฉวน) จูกัดเหลียงจึงนำทัพจ๊กก๊กไปยังอำเภอเปย์ฉุ่ย จูกัดเหลียงคาดการณ์ว่ากลุ่มกบฏจะมาร่วมตัวกันจึงจะสามารถปราบได้ทั้งหมดในยุทธการครั้งเดียว ในช่วงเวลานั้น ผู้ใต้บังคับบัญชาของโกเตงได้สังหารยงคี[8] จูกัดเหลียงจึงใช้โอกาสนี้โจมตีและเอาชนะโกเตงได้ ต่อมาโกเตงถูกจับตัวได้และถูกประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะตามคำสั่งของจูกัดเหลียง
จากนั้นจูกัดเหลียงจึงสั่งให้ม้าตงนำกองกำลังไปทางตะวันออกเฉียงใต้จากอำเภอปั๋วเต้า (僰道縣 ปั๋วเต้าเซี่ยน; ปัจจุบันคือนครอี๋ปิน มณฑลเสฉวน) เพื่อโจมตีเมืองโคกุ้น และให้ลิอิ๋นนำกองกำลังไปทางตะวันตกเฉียงใต้จากอำเภอผิงอี๋ (平夷縣 ผิงอี๋เซี่ยน; ปัจจุบันอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของนครปี้เจี๋ย มณฑลกุ้ยโจว) เพื่อโจมตีเมืองเกียมเหลง เมื่อลิอิ๋นมาถึงคุนหมิงก็ขาดการติดต่อกับจูกัดเหลียงและถูกกบฏที่มีจำนวนพลมากกว่าสองเท่าล้อมไว้ ลิอิ๋นจึงลวงพวกกบฏว่าตนต้องการเข้าร่วมกับกลุ่มกบฏ กลุ่มกบฏหลงเชื่อจึงลดการป้องกันลง ลิอิ๋นจึงใช้โอกาสนี้โต้กลับและเคลื่อนกำลังลงใต้ไปยังผานเจียง (槃江) สมทบกับม้าตงที่เพิ่งเอาชนะกองกำลังกบฏของจูโพและยึดเมืองโคกุ้นคืนมาได้ กองกำลังของม้าตงและลิอิ๋นกลับไปสมทบกับทัพหลักของจูกัดเหลียง[9] และเตรียมตัวจะโจมตีเบ้งเฮ็กที่รวบรวมกองกำลังกบฏที่เหลือมาอยู่ใต้การบัญชาการของตน[10]
จูกัดเหลียงรู้ว่าเบ้งเฮ็กเป็นที่นิยมและเคารพในหมู่คนท้องถิ่นในภูมิภาคหนานจง จึงต้องการให้เบ้งเฮ็กยังมีชีวิตอยู่ หลังจากเบ้งเฮ็กถูกจับ จูกัดเหลียงพาเบ้งเฮ็กชมรอบค่ายของจ๊กก๊กและถามเบ้งเฮ็กว่าคิดอย่างไร เบ้งเฮ็กตอบว่า "ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับกองทัพของท่าน จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าพ่ายแพ้ บัดนี้ท่านพาข้าชมรอบค่ายของท่าน ข้าจึงรู้สภาพการณ์ในกองทัพของท่านและจะสามารถเอาชนะท่านได้อย่างง่ายดาย" จูกัดเหลียงหัวเราะและปล่อยตัวเบ้งเฮ็กเพื่อให้เบ้งเฮ็กกลับมาทำศึกกับตนใหม่ เบ้งเฮ็กถูกจับและปล่อยซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งหมด 7 ครั้ง ในการถูกจับครั้งที่ 7 เบ้งเฮ็กยอมจำนนและบอกว่าจูกัดเหลียงว่า "ท่านคือพลานุภาพแห่งฟ้า ชาวใต้จะไม่ก่อกบฏอีกต่อไป" จูกัดเหลียงจึงนำทัพไปทางทะเลสาบเตียนฉืออย่างมีชัย[11][12]
หลังการสยบสี่เมืองอันได้แก่ เกียมเหลง (建寧 เจี้ยนหนิง หรือที่เรียกว่าเอ๊กจิ๋ว 益州 อี้โจฺว) เองเฉียง (永昌 หย่งชาง) โคกุ้น (牂柯 จางเคอ) และอวดจุ้น (越巂 เยฺว่ซี/เยฺว่สุ่ย) จูกัดเหลียงได้ปฏิรูปเขตการปกครองโดยจัดตั้งเมืองอีก 2 เมือง ได้แก่ ยฺหวินหนาน (雲南) และซิงกู่ (興古) เพื่อปรับปรุงคุณภาพของการปกครองส่วนท้องถิ่นในภูมิภาคหนานจง จูกัดเหลียงต้องการให้คนในท้องถิ่นปกครองตนเองแทนการแต่งตั้งคนนอกมาปกครอง จูกัดเหลียงชี้ให้เห็นถึงปัญหาของการให้คนนอกท้องถิ่นรับผิดชอบปกครอง ว่าผู้คนในภูมิภาคหนานจงเพิ่งสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักในการสู้รบและอาจยังเก็บงำความรู้แค้นต่อราชสำนักจ๊กก๊ก หากให้คนนอกท้องถิ่นมาปกครอง อาจทำให้พวกเขารู้สึกขุ่นเคืองมากขึ้นและเลือกที่จะก่อกบฏขึ้นอีกครั้ง หากจะตั้งคนนอกท้องถิ่นมาปกครอง ราชสำนักจ๊กก๊กก็ต้องตั้งกองกำลังประจำการในพื้นที่เพื่อคุ้มครอง[13][14]
ก่อนจะถอนทัพจ๊กก๊กทั้งหมดออกจากภูมิภาคหนานจง จูกัดเหลียงบอกกับเบ้งเฮ็กและผู้นำท้องถิ่นคนอื่น ๆ ว่าเพียงต้องการให้พวกเขาส่งบรรณาการมายังราชสำนักจ๊กก๊กในรูปของทองคำ เงิน วัว ม้าศึก เป็นต้น จูกัดเหลียงแต่งตั้งขุนนางที่มีพื้นเพจากภูมิภาคหนานจงอย่างลิอิ๋น (จากเมืองเกียมเหลง) และลิคี (จากเมืองเองเฉียง) ให้เป็นเจ้าเมือง เจ้าเมืองเหล่านี้แตกต่างจากเจ้าเมืองคนก่อน ๆ ในแง่ที่เดิมทำหน้าที่เพียงเป็นตัวแทนของราชสำนักจ๊กก๊กในภูมิภาคเท่านั้น คนในท้องถิ่นจะถูกปกครองโดยผู้นำท้องถิ่นและหัวหน้าเผ่าตามลำดับขั้น[15]
ชนเผ่าเกี๋ยง (羌 เชียง) มากกว่าหมื่นครอบครัวพร้อมด้วยชนเผ่าที่แข็งแกร่งจากภูมิภาคหนานจงย้ายถิ่นฐานลึกเข้าไปในภูมิภาคจ๊กและจัดระเบียบใหม่เป็น 5 กลุ่ม เนื่องจากไม่มีศัตรูใด ๆ ที่ต่อต้านกลุ่มชนเผ่าเหล่านี้ได้จึงถูกขนานนามว่าเป็น "กองทัพบิน" (飛軍 เฟย์จฺวิน) ชนเผ่าที่เหลือถูกแบ่งตามตระกูลใหญ่ในภูมิภาคหนานจง ได้แก่ตระกูลเจียง (焦) ยง (雍) โหลว (婁) ชฺว่าน (爨) เมิ่ง (孟) เลี่ยง (量) เหมา (毛) และหลี่ (李) นอกจากนี้ชนเผ่าเหล่านี้ยังอยู่ใต้การบัญชาการของ "ห้าแม่ทัพ" (五部 อู่ปู้) หรือเรียกอีกอย่างว่า "ห้าจื่อ" (五子 อู๋จื่อ) ผู้คนในภูมิภาคหนานจงเรียกพวกเขาเหล่านี้ว่า "สี่ตระกูลห้าจื่อ" (四姓五子 ซื่อซิ่งอู๋จื่อ)[16]
เนื่องจากชนเผ่าจำนวนมากไม่ต้องการรับใช้ตระกูลใหญ่เหล่านี้ นายอำเภอท้องถิ่นจึงผลักดันนโยบายการค้ากับชนเผ่าเหล่านี้้ด้วยทองคำและผ้าไหม และยังส่งเสริมการค้ากระตุ้นให้ชนเผ่าเหล่านี้พัฒนาตนเองในฐานะกลุ่มตระกูลโดยมีหลายคนที่มีตำแหน่งสำคัญของตระกูล นโยบายนี้กระตุ้นให้ชนเผ่ารวบรวมทรัพยากรที่หายากและนำมาอยู่ภายใต้การควบคุมของราชสำนักฮั่นกระทั่งกลายเป็นทรัพย์สินของชาวฮั่นในที่สุด [17]
หลังการทัพ จูกัดเหลียงคัดเลือกบุคคลที่มีความสามารถหลายคนในหมู่ผู้นำชนเผ่ามารับราชการ เช่น เหียบสิบ (爨習 ชฺว่าน สี) แห่งเมืองเกียมเหลง, เมิ่ง เหยี่ยน (孟琰) แห่งเมืองจูถี (朱提) และเบ้งเฮ็กผู้กลายมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเมิ่ง เหยียน ตำแหน่งสูงสุดของเหียนสิบคือขุนพลบัญชาทัพ (領軍將軍 หลิ่งจฺวินเจียงจฺวิน) ตำแหน่งสูงสุดของเมิ่ง เหยี่ยนคือขุนพลสนับสนุนราชวงศ์ฮั่น (輔漢將軍 ฝู่ฮั่นเจียงจฺวิน) ส่วนเบ้งเฮ็กมีตำแหน่งสูงสุดเป็นผู้ช่วยขุนนางตรวจสอบ (御史中丞 ยฺหวี่ฉื่อจงเฉิง)[18]
ทรัพยากรจำนวนมากถูกนำไปจากหนานจงเช่นทองคำ เงิน ชาด และเครื่องเคลือบ ในขณะที่วัวสำหรับไถนาและม้าศึกถูกนำมาใช้เพื่อสนับสนุนกองทัพและรัฐ นอกจากนี้ผู้บังคับกองทหารมักคัดเลือกทหารใหม่จากหมู่ของคนในท้องถิ่น[19]
ผู้คนในภูมิภาคหนานจงไม่กบฏต่อต้านการปกครองของจ๊กก๊กอีกตลอดช่วงเวลาที่จูกัดเหลียงยังมีชีวิตอยู่[20] หนังสือประวัติศาสตร์ระบุว่ายังคงมีการก่อกบฏอยู่บ้างเป็นครั้งคราวในภูมิภาคนี้ แต่กบฏก็ถูกปราบลงโดยระดับของผู้ปกครองส่วนท้องถิ่นที่แต่งตั้งโดยจูกัดเหลียงต่างจากก่อนหน้านี้[21] นอกจากนี้การบุกลงใต้ของจูกัดเหลียงก็ถือว่าให้ผลสำเร็จโดยส่วนมาก เนื่องจากมีบันทึกว่าผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นให้ความร่วมมือกับจ๊กก๊กในการควบคุมพื้นที่ให้มีเสถียรภาพและช่วยจัดหาเสบียงและกำลังคนจำนวนมากให้กับจ๊กก๊ก[22]
แม้ว่าบันทึกประวัติศาสตร์ระบุว่าจูกัดเหลียงจับและปล่อยเบ้งเฮ็กทั้งหมด 7 ครั้งตลอดการทัพ แต่ไม่มีรายละเอียดใด ๆ ของการจับและปล่อยแต่ละครั้ง ในนวนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊กในศตวรรษที่ 14 ซึ่งเล่าเรีื่องเหตุการณ์ก่อนและระหว่างยุคสามก๊ก ได้ใช้เนื้อเรื่องยาวถึงประมาณ 4 ตอนครึ่ง (ตอนที่ 87 ถึงตอนที่ 91[a]) ในการเพิ่มเติ่มรายละเอียดในแต่ละยุทธการของการจับและปล่อยเบ้งเฮ็ก 7 ครั้ง และยังเพิ่มเติมตัวละครสมมติจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับเบ้งเฮ็ก เช่น จกหยง (ภรรยาของเบ้งเฮ็ก) เบ้งฮิว (น้องชายของเบ้งเฮ็ก) และหัวหน้าเผ่าลำมันคนอื่น ๆ เช่น บกลกไต้อ๋อง และโต้สู้ไต้อ๋อง นอกจากนี้ในนวนิยาย ขุนพลจ๊กก๊กอันได้แก่ เตียวจูล่ง อุยเอี๋ยน และม้าต้ายก็มีส่วนร่วมในการทัพอย่างมาก แม้ว่าตามประวัติศาสตร์จริงแล้วไม่มีการระบุถึงการมีส่วนร่วมของขุนพลเหล่านี้
ตำนานที่โด่งดังเล่าเรื่องที่จูกัดเหลียงคิดค้นหมั่นโถวซึ่งเป็นขนมแป้งนึ่งชนิดหนึ่งในระหว่างการทัพนี้ อาจเป็นเพราะชื่อหมั่นโถวหรือหมานโถว (馒头; 饅頭; mántóu) พ้องเสียงกับคำว่า หมานโถว (蛮头; 蠻頭; mántóu) ที่มีความหมายว่า "ศีรษะอนารยชน" เรื่องราวเล่าว่าระหว่างยกทัพกลับหลังการทัพ จูกัดเหลียงและทัพจ๊กก๊กมาถึงแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกรากข้ามได้ยาก คนท้องถิ่นแจ้งว่าจะต้องสังเวยชาย 49 คนและโยนศีรษะลงในแม่น้ำเพื่อทำให้วิญญาณในแม่น้ำสงบลงและยอมให้ข้ามแม่น้ำได้ แต่จูกัดเหลียงไม่ต้องการให้เกิดการนองเลือดอีก จึงสั่งให้ทำขนมแป้งนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายศีรษะมนุษย์ มีรูปร่างกลมและฐานแบน แล้วโยนลงไปในแม่น้ำ หลังจากข้ามแม่น้ำได้สำเร็จ จูกัดเหลียงตั้งชื่อขนมแป้งนึ่งนี้ว่าว่าหมานโถว (蠻頭) ที่แปลว่า "ศีรษะอนารยชน" ซึ่งพัฒนามาเป็นหมั่นโถว (饅頭 หมานโถว) ในปัจจุบัน