คณะตุลาการอาญาสูงสุดอิรัก (Supreme Iraqi Criminal Tribunal) หรือเดิมชื่อ คณะตุลาการพิเศษอิรัก (Iraqi Special Tribunal)[1] เป็นหน่วยงานจัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายแห่งชาติอิรักเพื่อพิจารณาบุคคลหรือพลเมืองสัญชาติอิรักที่ถูกกล่าวหาว่า ก่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ อาชญากรรมสงคราม หรืออาชญากรรมร้ายแรงอื่นระหว่าง ค.ศ. 1968 และ 2003 คณะตุลาการฯ จัดการพิจารณาซัดดัม ฮุสเซนและสมาชิกคนอื่นของรัฐบาลพรรคบาธ
คณะตุลาการฯ เดิมเรียกว่า "ศาล" และจัดตั้งขึ้นตามธรรมนูญเฉพาะที่ออกภายใต้คณะบริหารประเทศชั่วคราว และปัจจุบันได้รับการรับรองตามเขตอำนาจของรัฐบาลชั่วคราวอิรัก ใน ค.ศ. 2005 ศาลได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็นคณะตุลาการ เพราะรัฐธรรมนูญบัญญัติว่า "การจัดตั้งศาลพิเศษหรือวิสามัญนั้นจะกระทำมิได้"[2] กฎหมายปกครองชั่วคราวซึ่งประกาศใช้โดยสภาปกครองอิรักก่อนการฟื้นฟูอธิปไตยได้วางข้อสงวนและรักษาให้ธรรมนูญคณะตุลาการพิเศษอิรักมีผลบังคับต่อไป
คณะตุลาการฯ รับผิดชอบต่อการพิจารณาซัดดัม ฮุสเซน, อาลี ฮัสซัน อัล-มาจิด, อดีตรองประธานาธิบดี ฏอฮา ยาซีน รอมาฎอน, อดีตรองนายกรัฐมนตรี ฏอริก อะสีส และอดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสคนอื่นในรัฐบาลพรรคบาธที่ถูกล้ม
มันเป็นศาลเพียงแห่งเดียวที่ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติในศตวรรษที่ 21 ซึ่งมีการใช้โทษประหารชีวิต
คณะตุลาการฯ มีเขตอำนาจเหนือบุคคลผู้มีสัญชาติหรือผู้อยู่อาศัยในอิรักที่ถูกกล่าวหาด้วยอาชญากรรมดังข้างล่างนี้[3][4]
อาชญากรรมเหล่านี้ต้องกระทำ
สิทธิของผู้ถูกกล่าวหาระบุไว้ในระเบียบของคณะตุลาการและรวมถึงการสันนิษฐานว่าบริสุทธิ์ ความเสมอภาคต่อหน้าคณะตุลาการ การพิจารณาสาธารณะโดยปราศจากความล่าช้าอันไม่สมควร การแต่งตั้งทนายความโดยเลือกเอง การเรียกพยานและสิทธิที่จะไม่ให้การ
คณะตุลาการฯ ต้องกำหนดโทษตามกฎหมายอิรักที่มีอยู่เดิม ซึ่งรวมโทษประหารชีวิตด้วย สำหรับอาชญากรรม เช่น อาชญากรรมต่อมนุษยชาติซึ่งไม่มีบทบัญญัติคล้ายกันในกฎหมายอิรัก ระเบียบว่า แผนกพิจารณาคดีควรรับน้ำหนักของการกระทำผิดและการตัดสินที่ออกโดยคณะตุลาการอาญาระหว่างประเทศไปพิจารณา
ตั้งแต่เดือนตุลาคม ค.ศ. 2005 ถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 2006 คณะตุลาการฯ ได้พิจารณาแปดคนที่ถูกกล่าวหาอาชญากรรมต่อมนุษยชาติในการสังหารหมู่มุสลิมชีอะฮ์ 148 คนในดูเญล จำเลยมี
ในการฟ้องกล่าวหาซัดดัม ฮุสเซนแต่แรก เขายังถูกกล่าวหาว่า
วันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 2006 ซัดดัม ฮุสเซนถูกพบว่ามีความผิดจริงทุกข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่ดูเญล และถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ เขาได้รับสิทธิอุทธรณ์อัตโนมัติ อย่างไรก็ดี การอุทธรณ์นั้นถูกปฏิเสธ และยืนโทษผิดจริงนั้น มีคำสั่งให้ประหารชีวิตเขาภายใน 30 วัน และเขาถูกประหารชีวิตเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 2006
กลุ่มกฎหมายอื่นและสหประชาชาติประท้วงว่า ซัดดัม ฮุสเซนควรถูกนำตัวขึ้นศาลสหประชาชาติ คล้ายกับศาลอาญาระหว่างประเทศสำหรับรวันดาในอารูชา ประเทศแทนซาเนีย หลายคนว่า ซัดดัมควรถูกนำตัวขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศในกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ บางคนวิจารณ์ว่า สหรัฐอเมริกามีบทบาทมากเกินไปในการก่อตั้ง จัดหารเงินทุนและการปฏิบัติการของคณะตุลาการฯ[5]
อย่างไรก็ดี หลักการทั่วไปของกฎหมายระหว่างประเทศ คือ อิงขีดความสามารถศาลระดับชาติภายในประเทศก่อนหันไปจัดตั้งศาลระหว่างประเทศอย่างวิสามัญ ชาวอิรักมองคณะตุลาการฯ ว่าเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีและอธิปไตยมากขึ้นเช่นกัน โดยมีมุมมองว่า พวกเขาสามารถปกครองและตัดสินตัวเองได้ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศเห็นว่า ซัดดัมควรถูกพิจารณานอกประเทศเพราะเป็นที่เชื่อกันว่า เขาจะไม่ได้รับการพิจารณาอย่างยุติธรรมภายใต้ผู้พิพากษาไร้ประสบการณ์ที่เป็นศัตรูอันยาวนานของซัดดัมและรัฐบาลเขา หลังการริเริ่มโทษประหารชีวิตใหม่ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2004 นายกรัฐมนตรีชั่วคราวอิรัก อิยาด อัลลาวี ให้การรับรองว่าเขาจะไม่แทรกแซงการพิจารณาและจะยอมรับคำตัดสินใด ๆ ของคณะตุลาการ แม้บางความเห็นของเขาทำให้ตีความผิด "ในกรณีการประหารชีวิต เป็นเรื่องของคณะตุลาการที่จะตัดสิน ตราบใดที่การตัดสินนั้นบรรลุโดยปราศจากอคติและยุติธรรม"[6]
Article 37, The Statute of the Iraqi Special Tribunal for Crimes Against Humanity, Law No. 1 of 2003, and the Rules of Procedure issued under Article 16 thereof shall be abolished with effect from the date of the coming into force of this Law