ความบาดหมางระหว่างเพอร์ซีย์และเนวิลล์ (อังกฤษ: Percy-Neville feud) เป็นการปะทะกันอย่างประปรายระหว่างตระกูลสำคัญสองตระกูลทางตอนเหนือของอังกฤษและผู้ติดตามที่มีส่วนที่ทำให้เกิดสงครามดอกกุหลาบ[1]
การปะทะกันครั้งแรกเกิดขึ้นราวคริสต์ทศวรรษ 1450 ก่อนที่สงครามดอกกุหลาบจะเกิดขึ้น ความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันระหว่างสองตระกูลนี้นำไปสู่สงครามที่เกิดขึ้นหลายครั้งต่อมา
สาเหตุของความบาดหมางกันนั้นไม่เป็นที่ทราบ ทั้งตระกูลเพอร์ซีย์และเนวิลล์ต่างก็เป็นตระกูลผู้มีอิทธิพลทางตอนเหนือของอังกฤษ เมื่อต้นคริสต์ทศวรรษ 1450 ทั้งสองตระกูลก็มีประมุขที่มีอายุอยู่ในวัยห้าสิบกว่าๆ ที่ต่างก็มีลูกที่มีหัวรุนแรงและอารมณ์ร้อน ริชาร์ด เนวิลล์ เอิร์ลแห่งซอลสบรีที่ 5 เป็นพี่เขยของเฮนรี เพอร์ซีย์ เอิร์ลแห่งนอร์ทธัมเบอร์แลนด์ที่ 2 ลูกของเฮนรี “ฮอทเสปอร์” เพอร์ซีย์
ในปี ค.ศ. 1452 วิลเลียม เพอร์ซีย์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นสังฆราชแห่งคาร์ไลล์ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตระกูลเนวิลล์ดำรงมานานก่อนหน้านั้น ซึ่งเป็นการสร้างความไม่พอใจให้แก่ฝ่ายเนวิลล์ และผู้ที่ต่อต้านเนวิลล์ก็หันไปหาผู้นำของตระกูลเพอร์ซีย์โดยเฉพาะจากทอมัส เพอร์ซีย์ บารอนเอเกรอมอนท์ที่ 1 (Thomas Percy, 1st Baron Egremont)
เมื่อเอเกรอมอนท์เริ่มมอบธงประจำตระกูลแดงดำให้แก่ผู้สนับสนุนมากขึ้น เอิร์ลแห่งซอลสบรีก็หันไปกราบทูลฟ้องสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 6 ว่าอาจจะเป็นสัญญาณของปัญหาที่จะเกิดขึ้น พระเจ้าเฮนรีจึงทรงเรียกตัวเอเกรอมอนท์มาเฝ้าในกรุงลอนดอนสามครั้งแต่เอเกรอมอนท์ก็ไม่ยอมลงมา สาเหตุก็อาจจะเป็นเพราะความกลัวที่ว่าถ้าออกจากที่ซ่อนแล้วจะถูกทำร้ายเพราะจอห์น เนวิลล์ลูกชายคนที่สามของเอิร์ลแห่งซอลสบรีผู้เป็นทหารผู้เชี่ยวชาญตามล่าตัวเกรอมอนท์อยู่เกือบเดือนแล้ว ทั้งสองฝ่ายปะทะกันข้ามไปข้ามมาระหว่างดินแดนของทั้งสองฝ่าย และต่างก็พยายามทำลายทรัพย์สินของแต่ละฝ่ายด้วยวิธีการต่างๆ เช่นทุบกระจก เขียนป้ายบนกำแพงบ้าน ไล่ผู้ทำมาหากินในที่ดิน หรือบุกเข้าไปในบ้านของกันและกัน
แต่ในที่สุดที่ท็อพคลิฟเพียงไม่กี่กิโลเมตรจากที่ดินของเนวิลล์ จอห์น เนวิลล์ก็มาถึงสามวันหลังจากที่ได้รับประกาศอย่างเป็นทางการจากพระเจ้าเฮนรีให้ยุติการสร้างความเสียหาย และทรงขู่ว่าจะแขวนคอผู้ทำมาหากินในที่ดินทั้งหมดถ้าไม่ยอมบอกว่าเอเกรอมอนท์ไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ขณะเดียวกันพระองค์ก็มีพระราชสาส์นไปยังเอิร์ลแห่งซอลสบรีและเอิร์ลแห่งนอร์ทธัมเบอร์แลนด์ให้สั่งให้ลูกชายยุติการทำลายทรัพย์สินที่ผิดกฎหมายแต่ก็ไม่มีผลแต่อย่างใด
ความบาดหมางของทั้งสองตระกูลก็ดำเนินต่อมาจนกระทั่งเกิดสงครามดอกกุหลาบและตลอดสงคราม