กาตาร์ |
ไทย |
รัฐกาตาร์และราชอาณาจักรไทยสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตในปี พ.ศ. 2523 ความร่วมมือของพวกเขาส่วนใหญ่มุ่งไปที่การท่องเที่ยวและพลังงาน[1]
กระทรวงแรงงานของประเทศไทยระบุว่าในปี พ.ศ. 2560 มีพลเมืองไทย 1,188 คนที่ทำงานในประเทศกาตาร์ และมุ่งไปในอุตสาหกรรมบริการนวดและอุตสาหกรรมก่อสร้างเป็นส่วนใหญ่[2] กฎหมายการจ้างงานที่เกี่ยวข้องกับแรงงานไทยในประเทศกาตาร์ได้รับการเจรจาและลงนามในข้อตกลงในปี พ.ศ. 2555[3]
รัฐกาตาร์ | ราชอาณาจักรไทย | |
---|---|---|
ตราแผ่นดิน | ||
ธงชาติ | ||
ประชากร | 2,641,669 คน | 68,863,514 คน |
พื้นที่ | 11,581 ตร.กม. (4,471 ตร.ไมล์) | 513,120 ตร.กม. (198,120 ตร.ไมล์) |
ความหนาแน่น | 176 คน/ตร.กม. (455.8 คน/ตร.ไมล์) | 132.1 คน/ตร.กม. (342.1 คน/ตร.ไมล์) |
เมืองหลวง | โดฮา | กรุงเทพมหานคร |
เมืองที่ใหญ่ที่สุด | โดฮา – 951,765 คน (เขตปริมณฑล 2,382,000 คน) | กรุงเทพมหานคร – 8,305,218 คน (เขตปริมณฑล 10,624,700 คน) |
การปกครอง | สมบูรณาญาสิทธิราชย์ | ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข |
ประมุขแห่งรัฐ | เจ้าผู้ครองรัฐ: เชคตะมีม บิน ฮะมัด บิน เคาะลีฟะฮ์ อัษษานี | พระมหากษัตริย์: พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว |
หัวหน้ารัฐบาล | นายกรัฐมนตรี: เชคฮะมัด บิน ญะซิม บิน ญะบัร อัษษานี | นายกรัฐมนตรี: ประยุทธ์ จันทร์โอชา |
ภาษาราชการ | ภาษาอาหรับ | ภาษาไทย |
ศาสนาหลัก | ||
กลุ่มชาติพันธุ์ | ||
จีดีพี (ราคาตลาด) | 357.338 พันล้านดอลลาร์ (ต่อหัว 128,702 ดอลลาร์) | 516 พันล้าน (ต่อหัว 7,607 ดอลลาร์) |
ค่าใช้จ่ายทางทหาร | 4.35 พันล้านดอลลาร์ | 5.69 พันล้านดอลลาร์ |
ประเทศกาตาร์ยังคงค้ำชูสถานทูตในเมืองหลวงของประเทศไทย ที่กรุงเทพมหานครตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547[4][5] ส่วนประเทศไทยมีสถานทูตในโดฮา ประเทศกาตาร์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545[4][6]
อะมีร ฮะมัด บิน เคาะลีฟะฮ์ อัษษานี เสด็จเยือนประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2542[4]
ประเทศกาตาร์และประเทศไทยมีความเกี่ยวดองอย่างใกล้ชิดในอุตสาหกรรมพลังงานและการท่องเที่ยว ในบรรดาสมาชิกของคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ ประเทศกาตาร์เป็นคู่ค้าสำคัญอันดับสามของประเทศไทย[1] และผู้ผลิตหลักของแก๊สธรรมชาติเหลว ณ ปี พ.ศ. 2556 แทนที่ประเทศเยเมนในหมวดหมู่ดังกล่าว[7] ส่วนประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์สำหรับชาวกาตาร์มากที่สุด[1] โดยมีชาวกาตาร์ประมาณ 30,000 คนเดินทางมาเยี่ยมประเทศไทยในปี พ.ศ. 2557[8]
การส่งออกหลักของประเทศกาตาร์ ได้แก่ น้ำมันดิบ, แก๊สธรรมชาติเหลว, ผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม, พลาสติก, ผลิตภัณฑ์เคมี และปุ๋ย ส่วนประเทศไทยส่งออกรถยนต์, เครื่องจักร, เครื่องประดับ, รายการอาหาร และเครื่องปรับอากาศไปยังประเทศกาตาร์เป็นหลัก[8] ในปี พ.ศ. 2552 ปริมาณการค้าระหว่างประเทศกาตาร์และไทยมีมูลค่า 3.17 พันล้านดอลลาร์[9] ซึ่งจำนวนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 4.3 พันล้านดอลลาร์ในปี พ.ศ. 2556[8]
ครั้งแรกที่ประเทศไทยได้รับการจัดส่งแก๊สธรรมชาติเหลวจากกาตาร์แก๊ส ซึ่งเป็นบริษัทแก๊สหลักของประเทศกาตาร์ คือในปี พ.ศ. 2554[10] มีการลงนามข้อตกลงระหว่างสองประเทศในปี พ.ศ. 2555 เพื่อประเทศกาตาร์จะจัดหาแก๊สธรรมชาติเหลวให้แก่ประเทศไทย 2 ล้านตันต่อปีเป็นเวลา 20 ปี โดยเริ่มในปี พ.ศ. 2558 กาตาร์แก๊สได้เปิดสำนักงานตัวแทนในกรุงเทพ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลง[8] การจัดส่งแก๊สธรรมชาติเหลวครั้งแรกที่จัดหาตามข้อตกลงได้มาถึงประเทศไทยในเดือนมกราคม พ.ศ. 2558[11] ส่วนการจัดส่งแก๊สธรรมชาติเหลวครั้งแรกของประเทศกาตาร์มายังประเทศไทยผ่านทางเรือคิว-แมกซ์ ซึ่งเป็นยานพาหนะลำเลียงแก๊สธรรมชาติเหลวที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เข้ามาในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2560[12]
นอกจากนี้ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ของประเทศไทย และกาตาร์ปิโตรเลียม ได้ร่วมกันสนับสนุนโครงการปิโตรเคมีล็องเซิ่น ที่ตั้งอยู่ในประเทศเวียดนามทางทิศใต้เมื่อปี พ.ศ. 2557[13]
สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโดฮา เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่ประเทศกาตาร์ สถานเอกอัครราชทูตได้จัดงานคืนวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 (Thailand’s Cultural Night 2015) โดยมีการแสดงนาฏศิลป์และอาหารไทยแบบดั้งเดิม[14] นอกจากนี้ยังได้เข้าร่วมในงานเทศกาลอาหารอาเซียนประจำปี พ.ศ. 2558 ที่จัดขึ้น ณ กรุงโดฮา[10]
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2562 ประเทศไทยได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับกาตาร์เพื่อความร่วมมือด้านกีฬาและการแลกเปลี่ยน ความร่วมมือดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยอย่างมากโดยการเพิ่มศักยภาพการกีฬาของประเทศ สมาชิกคณะกรรมการโอลิมปิกสากล คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล กล่าวว่า “กาตาร์อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว มีหลายสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้เพื่อยกระดับกีฬาของเรา”[15]
หลังเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2554 กาตาร์แชริตีได้ร่วมกันเปิดตัวโครงการในประเทศไทยพร้อมกับอะวัน อัลมุสลิม ซึ่งเป็นองค์กรท้องถิ่น ในความพยายามที่จะช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย[10]
ประเทศกาตาร์เป็นผู้ให้ทุนรายใหญ่ของมหาวิทยาลัยอิสลามยะลาในจังหวัดปัตตานี ประเทศไทย[16] นอกจากนี้ รัฐบาลยังสนับสนุนการก่อสร้างโรงพยาบาลมูลค่า 7 ล้านดอลลาร์ที่เรียกว่าโรงพยาบาลชีค จัสซิม บิน มุฮัมมัด บิน ษานี ในจังหวัดปัตตานี[17]