ความสัมพันธ์ไทย–สหรัฐ

ความสัมพันธ์ไทย–สหรัฐ
Map indicating location of Thailand and USA

ไทย

สหรัฐ
กษัตริย์ภูมิพลอดุลยเดช, ประธานาธิบดีดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์, พระราชินีสิริกิติ์ และมามี ไอเซนฮาวร์ ที่ทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1960

ความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างราชอาณาจักรไทยและสหรัฐอเมริกาย้อนหลังไปถึง ค.ศ. 1818 ประเทศไทยและสหรัฐเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดและผู้ร่วมมือทางการทูตมายาวนาน

จากผลสำรวจความคิดเห็นสาธารณะของแกลลัพประจำ ค.ศ. 2012 ร้อยละ 60 ของคนไทยถูกใจผู้นำสหรัฐภายใต้การบริหารของโอบามา กับความไม่พอใจ 14 เปอร์เซนต์ และไม่แน่ใจ 26 เปอร์เซนต์[1] ใน ค.ศ. 2013 มีนักเรียนต่างชาติ 7,314 คนที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยที่กำลังศึกษาอยู่ในสหรัฐ โดยคิดเป็นร้อยละ 0.9 ของชาวต่างชาติทุกคนที่กำลังศึกษาต่อในอเมริกา[2] จากผลสำรวจความคิดเห็นทั่วโลกใน ค.ศ. 2014 พบว่า 73 เปอร์เซนต์ของคนไทยมีมุมมองที่ดีต่อสหรัฐเมื่อเทียบกับ 15 เปอร์เซนต์ที่ไม่ชื่นชอบ[3]

ประวัติ

[แก้]

คริสต์ศตวรรษที่ 19

[แก้]

การติดต่อครั้งแรกระหว่างประเทศไทย (ที่รู้จักกันในชื่อสยาม) และสหรัฐ ได้เข้ามาใน ค.ศ. 1818 เมื่อกัปตันเรือชาวอเมริกันเดินทางมาที่ประเทศนี้ โดยมีจดหมายจากประธานาธิบดี เจมส์ มอนโร จากสหรัฐ[4] ส่วนอิน-จัน ได้ย้ายถิ่นไปในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1830 ครั้น ค.ศ. 1832 ประธานาธิบดี แอนดรูว์ แจ็กสัน ได้ส่งรัฐทูต เอดมันด์ โรเบิตส์ ของเขา ผ่านทางเรือสลุปศึกพีค็อก ของสหรัฐ ไปยังราชสำนักโคชินไชนา, สยาม และมัสกัต[5] โรเบิตส์ได้สรุปสนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1833 โดยเจ้าพระยาพระคลังเป็นตัวแทนของกษัตริย์พระนั่งเกล้า ลงนามให้สัตยาบันแลกเปลี่ยนวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1836 และประกาศใช้เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1837[6] ส่วนแพทย์นาวี วิลเลียม รัสเชนเบอร์เกอร์ ได้มาพร้อมกับภารกิจหวนคืนเพื่อแลกเปลี่ยนสัตยาบัน รายงานของเขา และของนายโรเบิตส์ได้รับการรวบรวม, แก้ไข และเผยแพร่อีกครั้งในฐานะ นักการทูตชาวอเมริกันสองคนในสยามยุค 1830 (Two Yankee Diplomats In 1830's Siam)[7] วันครบรอบ 150 ปีภารกิจของโรเบิตส์เป็นที่เด่นชัดใน ค.ศ. 1982 โดยการออกฉบับพิมพ์ครั้งแรกของ ความสัมพันธ์ไทย-อเมริกัน ตั้งแต่ พ.ศ. 2376 (The Eagle and the Elephant: Thai-American relations since 1833) ตามด้วยการตีพิมพ์ใหม่หลายครั้งรวมถึงฉบับเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ เมื่อ ค.ศ. 1987 และฉบับกาญจนาภิเษก 50 ปี เมื่อ ค.ศ. 1997[8][9] สิ่งนี้ได้รับการยืนยันจากอดีตนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช ซึ่งใน ค.ศ. 2008 ได้พบกับจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ใน "การเฉลิมฉลองครบรอบ 175 ปี ความสัมพันธ์ไทย–สหรัฐ"[10]

ประเทศไทยจึงเป็นชาติในเอเชียชาติแรกที่ได้ทำข้อตกลงทางการทูตอย่างเป็นทางการกับสหรัฐ ซึ่งเป็นสิบเอ็ดปีก่อนต้าชิง และยี่สิบเอ็ดปีก่อนโทกูงาวะญี่ปุ่น ส่วนในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1856 ทาวน์เซนด์ แฮร์ริส ตัวแทนของประธานาธิบดี แฟรงกลิน เพียร์ซ ได้เจรจาขอแก้ไชสนธิสัญญาทางไมตรี พาณิชย์ และการเดินเรือ กับผู้แทนของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่สี่) ที่ให้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตเพิ่มเติมแก่ชาวอเมริกัน ซึ่งสตีเฟน แมตตทูน มิชชันนารีชาวอเมริกันผู้ทำหน้าที่เป็นล่ามแปลภาษาของแฮร์ริส ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกงสุลสหรัฐคนแรกประจำสยาม[11][12] (บทละครเดอะคิงแอนด์ไอของร็อดเจอร์ส และแฮมเมอร์สไตน์ กล่าวถึงผ่านสิ่งนั้นว่าพระมหากษัตริย์มีแผนที่จะส่งช้างศึกไปช่วยประธานาธิบดีลินคอล์นในมหาสงคราม ซึ่งจดหมายฉบับจริงส่งโดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวหลังได้รับของขวัญจากสหรัฐ โดยส่งไปยังประธานาธิบดีเมื่อเจมส์ บูแคนัน ดำรงตำแหน่ง เพื่อเสนอช้างสำหรับผสมพันธุ์ไม่ใช่การทำสงคราม ซึ่งลินคอล์นได้รับข้อเสนอ แต่ปฏิเสธไปอย่างสุภาพ)[13]

เซมโพรนิอุส เอช. บอยด์ อัครราชทูตประจำ/กงสุลใหญ่ประจำสยามคนที่สาม

เนื่องในโอกาสครบรอบ 150 ปีของความสัมพันธ์ มีการเปิดเผยว่าประธานาธิบดี แอนดรูว์ แจ็กสัน ได้ถวายดาบทองคำรูปช้างและนกอินทรีด้ามทองแด่พระมหากษัตริย์ (ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักในฐานะพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว)[14] พระองค์ยังได้รับการเสนอพรูฟเซตเหรียญอเมริกัน ซึ่งรวมถึง 1804 ดอลลาร์ "คิงออฟสยาม" ที่เกิดขึ้นใน ค.ศ. 1834 ชุดดังกล่าวซึ่งไม่มีเหรียญทองแจ็กสันถูกจัดซื้อด้วยราคาเป็นประวัติการณ์ที่ 8.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐโดยสตีเวน แอล. คอนทูร์ซี ซึ่งเป็นประธานผู้ค้าส่งเหรียญหายากของเออร์ไวน์ รัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 2005 ชุดนี้ขายโดยโกลด์เบิร์กคอยส์แอนด์คอลเลกติเบิลส์ออฟเบเวอร์ลีฮิลส์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ในนามของเจ้าของที่ไม่ระบุชื่อ ซึ่งอธิบายว่าเป็น "ผู้บริหารธุรกิจฝั่งตะวันตก" โดยซื้อมาในราคา 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อสี่ปีก่อน[15]

ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20

[แก้]

หลังจากการเสียชีวิตของที่ปรึกษาทั่วไปด้านการต่างประเทศ เจ้าพระยาอภัยราชาสยามานุกูลกิจ ใน ค.ศ. 1902 พระยาสุริยานุวัตรซึ่งเป็นอัครราชทูตสยามในปารีสได้รับคำสั่งให้หาคนมาแทน พระยาสุริยานุวัตรไม่สามารถหาผู้สมัครที่เหมาะสมในยุโรปได้ จึงแจ้งให้พระยาอรรคราชวราทรซึ่งเป็นอัครราชทูตสยามในวอชิงตันภายใต้สถานการณ์นี้ เขาได้ตัดสินใจที่จะมีส่วนร่วมกับชาวอเมริกัน โดยใน ค.ศ. 1903 อดีตนักการทูตสหรัฐ เอดเวิร์ด เฮนรี สตรอเบิล ได้ลาออกจากตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านกฎหมายระหว่างประเทศของเบมิสที่โรงเรียนกฎหมายฮาวาร์ด เพื่อเป็นตัวแทนราชอาณาจักรสยามในเดอะเฮก ที่ศาลสันติภาพระหว่างประเทศ—ซึ่งเจ้าพระยาอภัยราชาสยามานุกูลกิจเคยเป็นสื่อในการสถาปนา ครั้นใน ค.ศ. 1906 สตรอเบิลได้ย้ายมาที่กรุงเทพเพื่อรับตำแหน่งที่ปรึกษาทั่วไป ซึ่งเขาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 15 มกราคม ค.ศ. 1908 ในบรรดาผู้สืบทอด ได้แก่ เจนส์ เวสเตนการ์ด (ค.ศ. 1909–1914), วอลคอต พิตคิน (ค.ศ. 1915–1917), เอลดอน เจมส์ และฟรานซิส บี. แซร์—ทั้งหมดยกเว้นพิตคิน เป็นอดีตศาสตราจารย์ด้านกฎหมายของฮาร์วาร์ด "รัฐบาลสยามไว้วางใจให้ที่ปรึกษาอเมริกันในการต่างประเทศทำหน้าที่เพื่อประโยชน์สูงสุดของสยาม โดยมอบอำนาจและความรับผิดชอบให้แก่เขา เขาได้รับอนุญาตให้มีอิสระในการทำงานในระดับหนึ่ง เขาอยู่ในฐานะทนายความ, นักกฎหมาย, ผู้แก้ต่าง และที่ปรึกษาด้านนโยบาย ซึ่งที่ปรึกษาชาวอเมริกันมีส่วนสำคัญในการบรรลุข้อสรุปของการเจรจาสนธิสัญญากับชาติตะวันตก งานเลี้ยงอาหารค่ำประจำทำเนียบขาวครั้งแรกของสหรัฐในคริสต์ศตวรรษที่ยี่สิบ และงานเลี้ยงอาหารค่ำประจำทำเนียบขาวครั้งที่สองที่เคยเกิดขึ้นในเดือนเมษายน ค.ศ. 1931 ขณะที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเยือนอเมริกาเพื่อเข้ารับการผ่าตัดพระเนตร"[16] ข้อตกลงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศได้ลงนามในวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1920[17]

ซีโต้

[แก้]

ใน ค.ศ. 1954 ประเทศไทยได้เข้าร่วมองค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEATO) เพื่อเป็นพันธมิตรอย่างแข็งขันของสหรัฐในสงครามเย็นในทวีปเอเชีย ส่วนใน ค.ศ. 1962 แถลงการณ์ร่วมถนัด-รัสก์ ได้เกิดขึ้น ซึ่งสหรัฐสัญญาว่าจะปกป้องประเทศไทยและให้ทุนสนับสนุนทางการทหาร[18][19]

สนธิสัญญาไมตรี (ค.ศ. 1966)

[แก้]
ทักษิณ ชินวัตร และสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ขณะพบกับอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ดอนัลด์ รัมส์เฟลด์ เมื่อวันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 2005

นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐและไทยได้พัฒนาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ดังที่สะท้อนให้เห็นในสนธิสัญญาทวิภาคีหลายฉบับ และจากการที่ทั้งสองประเทศมีส่วนร่วมในกิจกรรมและข้อตกลงพหุภาคีของสหประชาชาติ ข้อตกลงระดับทวิภาคีหลักคือสนธิสัญญาไมตรีและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ค.ศ. 1966 ซึ่งอำนวยความสะดวกให้บริษัทในสหรัฐและไทยสามารถเข้าถึงตลาดของกันและกันได้ ส่วนข้อตกลงที่สำคัญอื่น ๆ กล่าวถึงการใช้พลังงานปรมาณูของพลเรือน, การขายสินค้าเกษตร, การรับประกันการลงทุน ตลอดจนความช่วยเหลือทางการทหารและเศรษฐกิจ

ข้อเสนอเขตการค้าเสรี (ค.ศ. 2004–ปัจจุบัน)

[แก้]
โลโก้ครบรอบ 180 ปีความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐ

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2004 สหรัฐและไทยริเริ่มการเจรจาในเรื่องความตกลงการค้าเสรีที่จะลดและดำจัดกำแพงการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศ การเจรจาครั้งนี้จัดขึ้นหลังการยุบรัฐสภาไทยในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2006 และรัฐประหารในเดือนกันยายน รัฐบาลทหารใหม่ใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิสำหรับยากำจัดเอชไอวีบางส่วน ซึ่งทำให้การเจรจาเขตการค้าเสรีสิ้นสุดลง[20]

รัฐประหารในไทย ค.ศ. 2014

[แก้]
เลขาธิการ ไมเคิล อาร์. พอมเพโอ พบกับนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 2019

ณ วันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 หลังวิกฤตทางการเมืองเป็นเวลา 6 เดือน กองทัพไทยที่นำโดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการกองทัพบกไทย ก่อรัฐประหารต่อรัฐบาลรักษาการ จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ได้ประณามรัฐประหาร โดยกล่าวถึงการตัดสินใจของฝ่ายทหารว่า "น่าผิดหวัง" และ "การกระทำเช่นนี้จะทำให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐ–ไทย โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของเรากับกองทัพไทย"[21]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Snapshot: U.S. Leadership Unknown in Myanmar Gallup
  2. TOP 25 PLACES OF ORIGIN OF INTERNATIONAL STUDENTS เก็บถาวร 2017-03-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Institute of International Education
  3. Global Indicators Database.
  4. Duke, Pensri (1982). "Historical Perspective: 1833-1940". ใน Mungkandi, Wigwat; Warren, William (บ.ก.). A Century and a Half of Thai-American Relations. Bangkok: Chulalongkorn Press.
  5. Roberts, Edmund (October 12, 2007) [1837]. Embassy to the Eastern courts of Cochin-China, Siam, and Muscat in the U. S. sloop-of-war Peacock during the years 1832-3-4 (Googlebooks from the collections of New York Public Library ed.). Harper & Brothers. 351 pages. OCLC 12212199.
  6. Malloy, William M. (March 7, 2008) [1904]. "Siam." (PDF). Compilation of Treaties in Force. Washington: Govt. print. off. p. 703. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2017-01-27. สืบค้นเมื่อ April 19, 2012. 1833. Convention of amity and commerce. concluded March 30, 1833; ratification advised by the Senate June 30, 1834; ratified by the President; ratifications exchanged April 14, 1836; proclaimed June 24, 1837. (Treaties and conventions, 1889. p. 992.) (The provisions of this treaty were modified by the Treaty of 1856.)
  7. Roberts, Edmund; Ruschenberger, W. S. W. (William Samuel Waithman) (2002). Smithies, Michael (บ.ก.). Two Yankee Diplomats In 1830's Siam. Itineraria Asiatica. Vol. Volume 10. Bangkok: Orchid Press. 232 pages. ISBN 974-524-004-4. OCLC 2002455024. สืบค้นเมื่อ 26 April 2012. {{cite book}}: |volume= has extra text (help)
  8. "Formats and Editions of The Eagle and the elephant : Thai-American relations since 1833 [WorldCat.org]". www.worldcat.org.
  9. Bill Kiehl (November 28, 2010). "Public Diplomacy In Action". commentary. Public Diplomacy Council. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-29. สืบค้นเมื่อ May 29, 2012. originally produced by USIS Thailand with editions in 1982, 1983, 1987 and 1996.
  10. "President Bush Meets with Prime Minister Samak of Thailand". georgewbush-whitehouse.archives.gov.
  11. "History of Diplomatic relations between the Kingdom of Thailand (Siam) and United States of America". Thai American Diplomacy History. Thailand-USA Portal and Hub. April 19, 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-02-12. สืบค้นเมื่อ April 19, 2012. Archived by WebCite®
  12. "The Foundations: 1833 - 1880". The Foundations: 1833 - 1880. April 18, 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-04-19. สืบค้นเมื่อ April 19, 2012. Archived by WebCite®
  13. "Nontraditional Animals For Use by the American Military – Elephants". Newsletter. HistoryBuff.com. June 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-29. สืบค้นเมื่อ May 29, 2012. Both original letters still exist today in archives.
  14. Phongphiphat, Wimon (Bhongbhibhat, Vimol); Reynolds, Bruce; Polpatpicharn, Sukhon (1987) [1982]. The Eagle and the Elephant. 150 Years of Thai-American Relations [พื้นความหลังไทย-เมริกัน 150 ปี]. Bangkok: United Production. p. 150. OCLC 19510945.
  15. "The King of Siam Proof Set". Rare Coin Wholesalers. April 2, 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 20, 2006. สืบค้นเมื่อ April 19, 2012. Archived by WebCite®
  16. Oblas, Peter (1972). "Treaty Revision and the Role of the American Foreign Affairs Adviser 1909–1925" (PDF). Journal of the Siam Society. Siam Heritage Trust. JSS Vol. 60.1 (digital). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (free)เมื่อ 2019-08-04. สืบค้นเมื่อ March 17, 2013.
  17. Text in League of Nations Treaty Series, vol. 6, pp. 292–305.
  18. Khien Theeravit, "Thailand: An Overview of Politics and Foreign Relations." Southeast Asian Affairs (1979): 299-311. online
  19. Arne Kislenko, "The Vietnam War, Thailand, and the United States" in Richard Jensen et al. eds. Trans-Pacific Relations: America, Europe, and Asia in the Twentieth Century(Praeger, 2003) pp 217–245.
  20. Channel News Asia. 2008, August 5. "US president's visit to Thailand will likely focus on Myanmar".
  21. "US Department of State on Thai coup". US Department of State. 2014-05-22. สืบค้นเมื่อ 2014-05-22.
  • Gunaratna, Rohan, Acharya, Arabinda, and Chua, Sabrina. 2005. Conflict and Terrorism in Southern Thailand. Marshall Cavendish Academic.

แม่แบบ:StateDept

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]