ซูโตโม | |
---|---|
Sutomo | |
![]() | |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการอดีตนักรบอินโดนีเซีย | |
ดำรงตำแหน่ง 12 สิงหาคม ค.ศ. 1955 – 24 มีนาคม ค.ศ. 1956 | |
ประธานาธิบดี | ซูการ์โน |
นายกรัฐมนตรี | บูร์ฮันอุดดิน ฮาราฮัป |
ถัดไป | ดะห์ลัน อิบราฮีม |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการสังคม (รักษาการ) | |
ดำรงตำแหน่ง 18 มกราคม ค.ศ. 1956 – 24 มีนาคม ค.ศ. 1956 | |
ประธานาธิบดี | ซูการ์โน |
นายกรัฐมนตรี | บูร์ฮันอุดดิน ฮาราฮัป |
ก่อนหน้า | ซูดิปโย |
ถัดไป | ฟาตะห์ ญะซิน |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 3 ตุลาคม ค.ศ. 1920 ซูราบายา, ![]() |
เสียชีวิต | 7 ตุลาคม ค.ศ. 1981 เขาอะเราะฟะฮ์, ![]() | (61 ปี)
เชื้อชาติ | อินโดนีเซีย |
พรรคการเมือง |
|
อาชีพ | สื่อมวลชน |
รางวัล | วีรบุรุษแห่งชาติอินโดนีเซีย |
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |
รับใช้ | ![]() |
ยศ | ผู้นำแนวร่วม |
บังคับบัญชา | แนวร่วมปฏิวัติประชาชนแห่งอินโดนีเซีย |
ผ่านศึก | |
ซูโตโม (อินโดนีเซีย: Sutomo) (3 ตุลาคม ค.ศ. 1920 – 7 ตุลาคม ค.ศ. 1981),[1] หรือรู้จักกันในชื่อ บุงโตโม (อินโดนีเซีย: Bung Tomo "สหายโตโม") เป็นนักปฏิวัติและผู้นำการที่เป็นที่รู้จักที่สุดใน การปฏิวัติแห่งชาติอินโดนีเซียซึ่งต่อต้านการปกครองของเนเธอร์แลนด์ เขามีบทบาทสำคัญในยุทธการที่ซูราบายา ซึ่งเป็นการสู้รบระหว่างกองทัพอินโดนีเซียและบริเตนระหว่างเดือนตุลาคมจนถึงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1945
ซูโตโมเกิดที่หมู่บ้านบลารันในใจกลางเมืองซูราบายา พ่อเป็นเสมียนชื่อการ์ตาวัน จิปโตวิโจโย (Kartawan Tjiptowidjojo) และแม่ชื่อซูบาสตียะ (Subastia) เขามีเชื้อสายชวา ซุนดา และมาดูรา เขาได้รับการศึกษาระดับมัธยมศึกษาของเนเธอร์แลนด์ก่อนที่ญี่ปุ่นจะเข้ายึดครอง
นอกจากงานเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้ว เขายังเข้าร่วมองค์กรลูกเสือแห่งอินโดนีเซีย และเมื่ออายุได้ 17 ปี เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นประมุกกาการูดะ (Pramuka Garuda) ลำดับที่สอง ซึ่งเป็นยศที่มีชาวอินโดนีเซียเพียง 3 คนเท่านั้นที่ได้รับก่อนที่ญี่ปุ่นจะเข้ายึดครองในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ในช่วงที่ญี่ปุ่นยึดครอง ซูโตโมทำงานให้กับโดเมอิสึชิน (สำนักข่าวอย่างเป็นทางการของจักรวรรดิญี่ปุ่น) ในซูราบายา เขามีชื่อเสียงจากการก่อตั้งเรดิโย เปิมเบอะรนตะกัน (วิทยุปฏิวัติ) ซึ่งส่งเสริมความสามัคคีและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ในหมู่เยาวชนอินโดนีเซีย
ในปี ค.ศ. 1944 ซูโตโมได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของเกอะระกันระยัตบารู (Gerakan Rakyat Baru - ขบวนการประชาชนใหม่) ที่สนับสนุนโดยญี่ปุ่น และเป็นเจ้าหน้าที่ของเปอะมูดาเรปูบลีกอินโดนีซิยะ (Pemuda Republik Indonesia - เยาวชนแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย)
เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 1945 ซูโตโมก่อตั้งและเป็นผู้นำของแนวร่วมปฏิวัติประชาชนอินโดนีเซีย (Barisan Pemberontakan Rakyat Indonesia อักษรย่อ BPRI) เป็นกองกำลังติดอาวุธของอินโดนีเซีย โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ซูราบายา [2]: 42 แนวร่วมปฏิวัติประชาชนอินโดนีเซีย มีเป้าหมายในการตระหนักและปกป้องคำประกาศเอกราชของอินโดนีเซีย โดยรวบรวมกำลังต่อต้านเนเธอร์แลนด์ที่ต้องการกลับมาปกครองอินโดนีเซียหลังจากการยอมจำนนของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2[3]: 122
ในช่วงที่รัฐบาลเนเธอร์แลนด์อินดีส (Nederlandsch-Indische Civiele Administratie - NICA) ยึดครองในช่วงแรกของการปฏิวัติแห่งชาติอินโดนีเซีย เป็นยุคแห่งการเตรียมพร้อม (Bersiap) ซูโตโมส่งเสริมการข่มเหงทารุณต่อชาวอินโดนีเซียเชื้อสายยุโรป [4][5] และได้ควบคุมดูแลการประหารชีวิตพลเรือนหลายร้อยคนด้วยตนเอง แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าเขาควบคุมดูแลการประหารชีวิตด้วยตนเองหรือวางแผนก่อความรุนแรงในระดับใหญ่ สิ่งเหล่านี้คือคำให้การของพยานบุคคลซึ่งบันทึกเหตุการณ์เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1945 [6]
เขามีบทบาทสำคัญในช่วงที่เกิดการสู้รบระหว่างกลุ่มชาตินิยมอินโดนีเซียและกองกำลังอังกฤษที่สุราบายา แม้ว่าการสู้รบจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายอินโดนีเซีย แต่การสู้รบครั้งนี้ก็ช่วยกระตุ้นให้ชาวอินโดนีเซียและนานาชาติหันมาสนับสนุนเอกราชมากขึ้น ซูโตโมกระตุ้นให้ชาวอินโดนีเซียหลายพันคนลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวด้วยรูปแบบการพูดที่มีเอกลักษณ์และเต็มไปด้วยอารมณ์ในการออกอากาศทางวิทยุของเขาด้วย "ดวงตาที่สดใสและมีพลัง เสียงที่แหลมคมและออกนาสิกเล็กน้อย หรือรูปแบบการพูดที่ชวนขนลุกซึ่งทรงพลังทางอารมณ์รองจากซูการ์โนเท่านั้น" [1]
เฮ้ย ทหารอังกฤษ! ตราบใดที่กระทิงอินโดนีเซีย เยาวชนอินโดนีเซีย ยังมีเลือดสีแดงที่สามารถนำมาย้อมผ้าขาวกลายเป็นผ้าแดงขาวได้ เราจะไม่มีวันยอมแพ้ มิตรสหาย นักสู้ โดยเฉพาะเยาวชนอินโดนีเซีย เราจะสู้ต่อไป เราจะขับไล่พวกนักล่าอาณานิคมออกจากดินแดนอินโดนีเซียที่เรารัก... เราทนทุกข์ ถูกเอารัดเอาเปรียบ และเหยียบย่ำมานาน ถึงเวลาแล้วที่เราจะกอบกู้อิสรภาพของเรา คติประจำใจของเรายังคงอยู่: อิสรภาพหรือความตาย อัลลอฮุอักบัร!... อัลลอฮุอักบัร!... อัลลอฮุอักบัร!... อิสรภาพ!"
คำปราศรัยของซูโตโม, 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1945.[7]
วันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1945 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของยุทธการที่ซูราบายา ต่อมาเรียกว่าวันวีรบุรุษแห่งชาติอินโดนีเซีย (Hari Pahlawan) เพื่อรำลึกและให้เกียรติการต่อสู้ของวีรบุรุษและนักสู้ในการปกป้องเอกราชของอินโดนีเซีย
ยุทธการที่ซูราบายาเป็นยุทธการที่นองเลือดที่สุดในการปฏิวัติแห่งชาติอินโดนีเซีย และแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกองกำลังชาตินิยมที่มีความเข้มแข็ง การต่อต้านอย่างเสียสละของพวกเขากลายมาเป็นสัญลักษณ์และเสียงเรียกร้องให้เกิดการปฏิวัติ ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1946 กองกำลังอังกฤษชุดสุดท้ายได้ออกจากอินโดนีเซีย
ในปี ค.ศ. 1955 ซูโตโมได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีของบูร์ฮันอุดดิน ฮาราฮัป ระหว่างเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1955 ถึงเดือนมีนาคม ค.ศ. 1956 ซึ่งเป็นการแต่งตั้งที่ทำให้ผู้สนับสนุนคณะรัฐมนตรีพอใจเนื่องจากเขามีคุณลักษณะชาตินิยม[8] อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับซูการ์โนเริ่มเสื่อมถอยลงตั้งแต่ปี ค.ศ. 1952 หลังจากที่เขาทำให้ซูการ์โนไม่พอใจด้วยการถามถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างประธานาธิบดีกับฮาร์ตินี ซึ่งเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้วและต่อมาได้กลายเป็นภรรยาคนที่สี่ของซูการ์โน [9][10] ต่อมาในปี ค.ศ. 1960 ซูโตโมได้ฟ้องซูการ์โน เนื่องจากซูการ์โนตัดสินใจยุบสภาตัวแทนประชาชน [11][12]
หลังจากปี ค.ศ. 1966 ซูโตโมได้กลับมามีบทบาทสำคัญระดับชาติอีกครั้งในช่วงที่เกิดความวุ่นวายในปี ค.ศ. 1965 ในตอนแรก เขาสนับสนุนให้ซูฮาร์โตเข้ามาแทนที่รัฐบาลซูการ์โนที่มีแนวโน้มเอียงซ้าย แต่ต่อมากลับคัดค้านบางประเด็นในช่วงระเบียบใหม่ [1]
วันที่ 11 เมษายน ค.ศ. 1978 เขาถูกรัฐบาลควบคุมตัวเนื่องจากวิพากษ์วิจารณ์การทุจริตและการใช้อำนาจในทางมิชอบอย่างเปิดเผย อย่างไรก็ตาม เมื่อได้รับการปล่อยตัวในสามปีต่อมา ซูโตโมก็ยังคงวิพากษ์วิจารณ์อย่างเสียงดัง โดยบอกว่าเขาไม่ต้องการถูกฝังในสุสานวีรบุรุษเพราะสุสานแห่งนี้เต็มไปด้วย "วีรบุรุษผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา" ที่ขาดความกล้าที่จะปกป้องประเทศชาติในช่วงวิกฤต แต่พวกเขากลับปรากฏตัวต่อสาธารณชนในยามสงบสุขเพื่อต้องการให้เชิดชูเกียรติยศของพวกเขา [13]
เขาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1981 ที่มักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ขณะกำลังเดินทางไปทำฮัจญ์ [1] ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ซูโตโมได้เขียนร่างวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับบทบาทของศาสนาในการพัฒนาระดับหมู่บ้านเสร็จเรียบร้อย ครอบครัวและเพื่อนๆ ของเขาได้ส่งร่างของเขากลับประเทศอินโดนีเซีย แม้ว่าชื่อเสียงและยศทางทหารจะทำให้เขามีสิทธิ์ฝังศพในสุสานวีรบุรุษ แต่เขาก็ถูกฝังในสุสานสาธารณะที่เขตงาเกิล เมืองซูราบายา จังหวัดชวาตะวันออก
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 1947 ซูโตโมแต่งงานกับซูลิสตินาในมาลัง จังหวัดชวาตะวันออก [7] เขาเป็นที่รู้จักในฐานะคุณพ่อผู้เคร่งศาสนาของบุตรทั้งสี่คน ซึ่งให้ความสำคัญกับความรู้ด้านศาสนาอย่างจริงจังตลอดชีวิตของเขา
{{cite news}}
: |title=
ไม่มีหรือว่างเปล่า (help)