บิฮุย (เฟ่ย์ อี) | |
---|---|
費禕 | |
มหาขุนพล (大將軍 ต้าเจียงจฺวิน) | |
ดำรงตำแหน่ง พฤศจิกายนหรือธันวาคม ค.ศ. 243 – 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 253 | |
กษัตริย์ | เล่าเสี้ยน |
ก่อนหน้า | เจียวอ้วน |
ถัดไป | เกียงอุย |
ผู้จัดการกิจการในสำนักราชเลขาธิการ (錄尚書事 ลู่ช่างชูชื่อ) (ดำรงตำแหน่งร่วมกับเกียงอุยตั้งแต่ ค.ศ. 247) | |
ดำรงตำแหน่ง พฤศจิกายนหรือธันวาคม ค.ศ. 243 – 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 253 | |
กษัตริย์ | เล่าเสี้ยน |
ก่อนหน้า | เจียวอ้วน |
ถัดไป | เกียงอุย |
ข้าหลวงมณฑลเอ๊กจิ๋ว (益州刺史 อี้โจฺวชื่อฉื่อ) | |
ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. 244 – 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 253 | |
กษัตริย์ | เล่าเสี้ยน |
ก่อนหน้า | เจียวอ้วน |
หัวหน้าสำนักราชเลขาธิการ (尚書令 ช่างชูลิ่ง) | |
ดำรงตำแหน่ง พฤษภาคม ค.ศ. 235 – ค.ศ. 244 | |
กษัตริย์ | เล่าเสี้ยน |
ก่อนหน้า | เจียวอ้วน |
ถัดไป | ตั๋งอุ๋น |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | ไม่ทราบ อำเภอหลัวชาน มณฑลเหอหนาน |
เสียชีวิต | 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 253[a] อำเภอเจี้ยนเก๋อ มณฑลเสฉวน |
ที่ไว้ศพ | เขตเจาฮฺว่า นครกว่างยฺเหวียน มณฑลเสฉวน |
บุตร |
|
ญาติ | เฟ่ย์ ปั๋วเหริน (ญาติ) |
อาชีพ | นักการทูต, ขุนพล, นักการเมือง, ผู้สำเร็จราชการ |
ชื่อรอง | เหวินเหว่ย์ (文偉) |
สมัญญานาม | จิ้งโหว (敬侯) |
บรรดาศักดิ์ | เฉิงเซียงโหว (成鄉侯) |
บิฮุย, ปีฮุย[b], ปี่ฮุย[c] หรือหุยวุย[d] (เสียชีวิต 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 253)[a] มีชื่อในภาษาจีนกลางว่า เฟ่ย์ อี (จีน: 費禕; พินอิน: Fèi Yī) ชื่อรอง เหวินเหว่ย์ (จีน: 文偉; พินอิน: Wénwěi) เป็นนักการทูต ขุนพล นักการเมือง และผู้สำเร็จราชการของรัฐจ๊กก๊กในยุคสามก๊กของจีน[7] บิฮุยเกิดในช่วงปลายยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก เริ่มรับราชการในฐานะข้าราชบริพารของเล่าเสี้ยน โอรสองค์โตและรัชทายาทของเล่าปี่ ขุนศึกที่ขึ้นเป็นจักรรดิผู้สถาปนารัฐจ๊กก๊ก หลังเล่าเสี้ยนขึ้นเป็นจักรพรรดิในปี ค.ศ. 223 บิฮุยก็เริ่มค่อย ๆ มีบทบาทสำคัญภายใต้การสำเร็จราชการของจูกัดเหลียงผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีแห่งจ๊กก๊ก ในเวลานั้นบิฮุยทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาการทหารของจูกัดเหลียงและเป็นราชทูตของจ๊กก๊กในการติดต่อกับง่อก๊กที่เป็นรัฐพันธมิตร บิฉุยยังมีบทบาทสำคัญในความขัดแย้งระหว่างอุยเอี๋ยนขุนพลของจ๊กก๊กและเอียวหงีหัวหน้าอาลักษณ์ของจูกัดเหลียง หลังจูกัดเหลียงชีวิตในปี ค.ศ. 234 รับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยของเจียวอ้วนที่เป็นผู้สำเร็จราชการคนใหม่ และรับหน้าที่รับผิดชอบมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่เจียวอ้วนค่อย ๆ สละอำนาจเนื่องจากปัญหาสุขภาพ ในปี ค.ศ. 244 บิฮุยนำทัพจ๊กก๊กได้ชัยในยุทธการที่ซิงชื่อต่อรัฐวุยก๊กที่เป็นรัฐอริ และได้สืบตำแหน่งผู้สำเร็จราชการต่อจากเจียวอ้วนหลังเจียวอ้วนเสียชีวิตในอีก 2 ปีถัดมา ในเทศกาลปีใหม่วันแรกในปี ค.ศ. 253 บิฮุยถูกลอบสังหารโดยกัว ซิว ผู้แปรพักตร์จากวุยก๊ก
บิฮุยเป็นชาวอำเภอเหมิง (鄳縣 เหมิงเซี่ยน) เมืองกังแฮ (江夏郡 เจียงเซี่ยเซี่ยน) ในช่วงปลายยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอำเภอหลัวชาน มณฑลเหอหนานในปัจจุบัน[8] บิดาของบิฮุยเสียชีวิตตั้งแต่บิฮุยยังอยู่ในวัยเยาว์ บิฮุยจึงได้รับการอุปการะจากญาติผู้ใหญ่ชื่อเฟ่ย์ ปั๋วเหริน (費伯仁) ป้าของเฟ่ย์ ปั๋วเหรินเป็นมารดาของเล่าเจี้ยง เจ้ามณฑลเอ๊กจิ๋ว (ครอบคลุมพื้นที่มณฑลเสฉวนและนครฉงชิ่งในปัจจุบัน) เมื่อเล่าเจี้ยงเชิญเฟ่ย์ ปั๋วเหรินมารับราชการ บิฮุยก็ได้ติดตามเฟ่ย ปั๋วเหรินเข้ามณฑลเอ๊กจิ๋วมาด้วยในฐานะนักศึกษานักเดินทาง[9]
ในปี ค.ศ. 214[10] หลังขุนศึกเล่าปี่เข้ายึดครองมณฑลเอ๊กจิ๋วจากเล่าเจี้ยงและกลายเป็นเจ้ามณฑลคนใหม่ บิฮุยเลือกที่จะอยู่ในมณฑลเอ๊กจิ๋ว เวลานั้นบิฮุยขึ้นมามีชื่อเสียงเทียบกับบัณฑิตอีก 2 คนได้แก่ สฺวี ชูหลง (許叔龍) จากเมืองยีหลำ[e] (汝南 หรู่หนาน) และตั๋งอุ๋นจากเมืองลำกุ๋น (南郡 หนานจฺวิ้น)[11]
เมื่อบุตรชายของเคาเจ้งเสียชีวิต บิฮุยและตั๋งอุ๋นต้องการไปร่วมงานศพ ตั๋งอุ๋นจึงขอกับตั๋งโหผู้บิดาให้ช่วยจัดการเรื่องยานพาหนะในการเดินทาง หลังตั๋งโหจัดหารถม้าขนาดเล็กที่ไม่มีที่กั้นด้านหลังให้ ตั๋งอุ๋นมีท่าทีไม่เต็มใจที่จะขึ้นรถ ในขณะที่บิฮุยขึ้นรถอย่างกระตือรือร้น[12] เมื่อบิฮุยและตั๋งอุ๋นไปถึงที่หมายก็เห็นว่าจูกัดเหลียงและขุนนางสำคัญคนอื่น ๆ เดินทางมาถึงด้วยรถม้าที่ตกแต่งเป็นอย่างดี เมื่อทั้งคู่ลงจากรถม้า ตั๋งอุ๋นแสดงอาการลำบากใจ ในที่ขณะที่บิฮุยดูสงบเยือกเย็น [13]
เมื่อทั้งคู่กลับจากงานศพ ตั๋งโหถามสารถีผู้ขับรถม้าจึงรู้ว่าตั๋งอุ๋นและบิฉุยแสดงปฏิกิริยาที่แตกต่างกันเมื่อเห็นว่ายานพาหนะของพวกตนมีรูปแบบที่ด้อยกว่าเมื่อเทียบกับของคนอื่น ตั๋งโหจึงบอกกับตั๋งอุ๋นบุตรชายว่า "พ่อมักจะสงสัยว่าเจ้าและเหวินเหว่ย์ (ชื่อรองของบิฮุย) มีความดีเสมอกันหรือไม่ บัดนี้พ่อได้คำตอบแล้ว"[14]
ในปี ค.ศ. 221[15] หลังเล่าปี่สถาปนาตนเป็นจักรพรรดิและก่อตั้งรัฐจ๊กก๊ก พระองค์ตั้งให้เล่าเสี้ยนโอรสองค์โตเป็นรัชทายาท และตั้งให้บิฮุยและตั๋งอุ๋นเป็นข้าราชบริพารคนสนิทของเล่าเสี้ยนที่เป็นรัชทายาทแต่งตั้งใหม่[16]
เมื่อเล่าเสี้ยนขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งจ๊กก๊กในปี ค.ศ. 223 หลังการสวรรคตของเล่าปี่ จูกัดเหลียงอัครมหาเสนาบดีแห่งจ๊กก๊กรับหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราขการเนื่องจากเวลานั้นเล่าเสี้ยนยังทรงพระเยาว์[17] หลังการเถลิงราชย์ เล่าเสี้ยนตั้งให้บิฮุยเป็นขุนนางสำนักประตูเหลือง (黃門侍郎 หฺวางเหมินชื่อหลาง)[18]
ราวฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 225[17] เมื่อจูกัดเหลียงกลับจากการทัพต่อกบฏและชนเผ่าลำมัน (南蠻 หนานหมาน) ในทางใต้ของจ๊กก๊ก บิฮุยและเพื่อนขุนนางหลายคนเดินทางหลายสิบลี้ออกจากนครหลวงเซงโต๋ (成都 เฉิงตู) เพื่อต้อนรับจูกัดเหลียงกลับ ขุนนางส่วนใหญ่มีอายุในช่วงเดียวกับบิฮุยและมีตำแหน่งทางราชการในราชสำนักจ๊กก๊กที่เทียบเท่ากัน ในเหล่าขุนนางเหล่านี้ จูกัดเหลียงเลือกเพียงบิฮุยให้มานั่งในรถคันเดียวกันกับตนในการเดินทางกับเซงโต๋ คนอื่น ๆ แปลกใจมากและเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อบิฮุยไปหลังจากนั้น[19]
ในปี ค.ศ. 223 จ๊กก๊กฟื้นฟูความเป็นพันธมิตรกับง่อก๊กอดีตรัฐพันธมิตรในการต้านวุยก๊กอันเป็นรัฐอริร่วม[17] หลังจากจูกัดเหลียงกลับจากการบุกลงใต้ ในปี ค.ศ. 225[17] ได้แต่งตั้งให้บิฮุยเป็นนายกองผู้น่าเชื่อถือแจ่มชัด (昭信校尉; เจาซิ่นเซี่ยวเว่ย์) และส่งเป็นราชทูตไปยังง่อก๊ก[20]
ในระหว่างปฏิบัติภารกิจที่ง่อก๊ก บิฮุยมีท่าทีสงบเยือกเย็นเมื่อซุนกวนจักรพรรดิง่อก๊กพยายามเยาะเย้ยล้อเล่นกับบิฮุย ซุนกวนนำสุรามาเลี้ยงบิฮุยเมื่อเห็นว่าบิฮุยเมาจึงกระหน่ำตรัสถามคำถามเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันกับบิฮุย บิฮุยทูลว่าตนยังไม่สร่างเมาและปฏิเสธที่จะทูลตอบในทันที บิฮุยจดคำถามทั้งหมดและนำกลับไปพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ภายหลังจึงกลับมาเข้าเฝ้าซุนกวนพร้อมกับคำตอบของคำถามทั้งหมดโดยไม่ผิดพลาดแม้แต่คำถามเดียว[21] ขุนนางของง่อก๊กบางคนอย่างจูกัดเก๊กและหยาง เต้า (羊衜) ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องความสามารถในการพูด พยายามท้าทายบิฮุยและตั้งคำถามยาก ๆ ให้บิฮุยตอบ แต่บิฮุยก็สามารถตอบคำถามด้วยคำตอบที่สมเหตุสมผลในอาการสงบและสง่างาม บิฮุยสามารถยืนหยัดได้ดีตลอดภารกิจการทูตของตน[22]
ครั้งหนึ่ง ซุนกวนที่เมาสุราตรัสถามกับบิฮุยว่า "เอียวหงีและอุยเอี๋ยนประพฤติตนเหมือนเด็กไม่รู้จักโต แม้ว่าจะมีผลงานเล็กน้อย แต่ก็ยังสามารถก่อปัญหาใหญ่ได้เพราะอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจ หากวันใดจูกัดเหลียงไม่อยู่แล้วจะเกิดหายนะขึ้นเป็นแน่ พวกท่านสับสนกันไปหมด ไม่มีใครพิจารณาถึงผลกระทบระยะยาวของปัญหานี้เลย จะไม่เป็นภัยต่อลูกหลานของพวกท่านเลยหรือ" บิฮุยตกตะลึงกับคำถามของซุนกวน ไม่สามารถตอบได้ในทันทีและเริ่มมองไปรอบ ๆ ขณะพยายามคิดหาคำตอบ ต่ง ฮุย (董恢 ) ผู้ช่วยของบิฮุยก้าวขึ้นมาข้างหน้า มองไปที่บิฮุยและพูดว่า "ท่านพูดได้ว่าความขัดแย้งระหว่างเอียวหงีและอุยเอี๋ยนเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างพวกเขา พวกเขาไม่ได้มีความทะเยอทะยานแรงกล้าอย่างหยินโป้ (英布 อิ่ง ปู้) และฮั่นสิน (韓信 หาน ซิ่น) บัดนี้ความสำคัญลำดับแรกคือการกำจัดข้าศึกที่ทรงอำนาจและรวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่น หลังจากที่ทำสำเร็จแล้วเท่านั้นจึงถือว่าภารกิจของเราลุล่วงและสามารถขยายสิ่งตกทอด หากเราละทิ้งความสำคัญนี้ไปและมุ่งเน้นไปใส่ใจปัญหาภายในเช่นนี้ก่อน ก็เปรียบได้ก็การไม่ต่อเรือรอรับพายุ นั่นไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรเลยในระยะยาว" ซุนกวนรู้สึกถูกใจกับคำตอบของต่ง ฮุย[23]
ในอีกเหตุการณ์หนึ่ง ซุนกวนสั่งขุนนางของตนว่า "หากราชทูตจ๊กมาถึง พวกท่านทั้งหมดจงนั่งอยู่ที่เดิม รับประทานอาหารต่อไป และอย่าลุกขึ้นต้อนรับ" เมื่อบิฮุยมาถึง ซุนกวนและขุนนางก็จงใจเพิกเฉยต่อการมาถึงของบิฮุยและเลี้ยงฉลองกันต่อไป บิฮุยจึงพูดว่า "เมื่อหงส์ปรากฏ กิเลนจะหยุดกินอาหาร (และรู้ถึงการปรากฏตัวของหงส์) ส่วนพวกลาและล่อจะเพิกเฉย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกมันจึงยังกินอาหารต่อไป (และเพิกเฉยต่อหงส์)" จูกัดเก๊กตอบว่า "เราปลูกต้นอู๋ถง (梧桐) เพื่อรับการมาถึงหงส์ แต่มีนกจาบมาจับแทน เหตุใดเราจึงไม่ไล่นกจาบให้กลับไปรังที่มันอยู่เล่า" บิฮุยหยุดเคี้ยวขนมและขอพู่กันเพื่อแต่งบทกวี จูกัดเก๊กก็ทำเช่นกัน พวกเขาแลกเปลี่ยนผลงานและชื่นชมซึ่งกันและกัน[24]
ซุนกวนประทับใจในตัวบิฮุยมากจึงตรัสกับบิฮุยว่า "ท่านคือบุรุษที่ทรงคุณธรรมที่สุดคนหนึ่งในแผ่นดิน ท่านจะกลายเป็นเสาหลักสำคัญของรัฐจ๊กเป็นแน่ เมื่อถึงตอนนั้น ข้าเกรงว่าท่านจะไม่อาจมาเยี่ยมเราได้บ่อย ๆ อีกแล้ว"[25] ซุนกวนยังพระราชทานกระบี่ล้ำค่าเป็นของขวัญอำลาให้กับบิฮุยสำหรับพกพา บิฮุยทูลว่า "กระหม่อมไร้ความสามารถ สิ่งใดที่ทำให้กระหม่อมควรได้รับเกียรติถึงเพียงนี้ กระบี่นั้นมีไว้ใช้ต่อสู้กับข้าศึกของรัฐและเพื่อยุติความวุ่นวาย กระหม่อมหวังว่าฝ่าบาทจะปกครองอาณาจักรของพระองค์อย่างดีที่สุดและร่วมมือกัน (กับจ๊กก๊ก) ในการส่งเสริมราชวงศ์ฮั่น กระหม่อมอาจจะโง่เขลาและอ่อนแอ แต่กระหม่อมจะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวังต่อความคาดหวังในตัวกระหม่อม"[26]
บิฮุยได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นขุนนางมหาดเล็ก (侍中 ชื่อจง) หลังกลับจากภารกิจการทูตในง่อก๊ก[27]
ในปี ค.ศ. 227[17] จูกัดเหลียงระดมกำลังทหารจากทั่วทั้งจ๊กก๊กเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทัพครั้งใหญ่ต่อวุยก๊กอันเป็นรัฐอริของจ๊กก๊กในปีถัดมา ขณะที่กำลังทหารไปรวมตัวกันที่พื้นที่ที่จัดไว้ในเมืองฮันต๋ง (漢中 ฮั่นจง) จูกัดเหลียงก็เรียกตัวบิฮุยมาจากนครเซงโต๋ (成都 เฉิงตู) และตั้งให้เป็นที่ปรึกษาการทหาร (參軍 ชานจฺวิน)[28] ในฎีกาออกศึก (出師表 ชูชือเปี่ยว) จูกัดเหลียงระบุชื่อบิฮุย กุยฮิวจี๋ และตั๋งอุ๋นว่าเป็นตัวอย่างของขุนนางที่น่าเชื่อถือ จงรักภักดี และมีความสามารถ ซึ่งสามารถถวายคำปรึกษาที่ดีและช่วยเหลือจักรพรรดิเล่าเสี้ยนในการปกครองอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น[29]
ระหว่างปี ค.ศ. 227 ถึง ค.ศ. 230 บิฮุยสลับบทบาทหน้าที่ระหว่างการเป็นที่ปรึกษาการทหารกับราชทูตของจ๊กก๊กไปยังง่อก๊ก นอกเหนือจากการทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของจูกัดเหลียงระหว่างการทัพกับวุยก๊กแล้ว บิฮุยยังมักถูกราชสำนักจ๊กก๊กส่งไปทำภารกิจการทูตยังง่อก๊กในช่วงเวลาเดียวกันนี้ด้วย[30] ในปี ค.ศ. 230 บิฮุยได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ทัพส่วนกลาง (中護軍 จงฮู่จฺวิน) และต่อมาเป็นนายกองพัน (司馬 ซือหม่า) ในทัพจ๊กก๊ก[31]
อุยเอี๋ยนขุนพลผู้ใหญ่ของจ๊กก๊กมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับเอียวหงีหัวหน้าอาลักษณ์ของจูกัดเหลียง อุยเอี๋ยนมีชื่อเสียงในเรื่องชอบโอ้อวด และเพื่อนขุนนางนายทหารโดยทั่วไปมักยอมให้เขา เอียวหงีเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ไม่ยอมให้อุยเอี๋ยน อุยเอี๋ยนจึงไม่พอใจเอียวหงีเป็นอย่างมาก[32] จูกัดเหลียงรู้สึกไม่สบายใจที่อุยเอี๋ยนและเอียวหงีไม่ลงรอยกัน แต่ก็ไม่อยากจะเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพราะชื่นชมความสามารถของทั้งสองคนและยังต้องการความช่วยเหลือจากทั้งคู่[33]
เมื่ออุยเอี๋ยนและเอียวหงีทะเลาะกันอย่างรุนแรง อุยเอี๋ยนชักกระบี่ออกมาและกวัดแกว่งต่อหน้าเอียวหงี เอียวหงีร้องไห้น้ำตาอาบแก้ม บิฮุยจึงเข้ามาหยุดการวิวาทของทั้งคู่และสามารถควบคุมทั้งคู่ได้ในช่วงเวลาที่จูกัดเหลียงยังมีชีวิตอยู่[34]
ในปี ค.ศ. 234 จูกัดเหลียงล้มป่วยหนักระหว่างการคุมเชิงกันกับทัพวุยก๊กในยุทธการที่ทุ่งราบอู่จ้าง[35] ในช่วงเวลานั้นเมื่อลิฮกถามจูกัดเหลียงว่าควรให้ใครสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าราชสำนักจ๊กก๊กถัดจากจูกัดเหลียง จูกัดเหลียงตอบว่าเจียวอ้วนสามารถสืบทอดต่อจากตน และบิฮุยสามารถสืบทอดต่อจากเจียวอ้วน หลังจากลิฮกจากไปแล้ว[36] จูกัดเหลียงลอบสั่งให้เอียวหงี บิฮุยและเกียงอุยให้นำทัพกลับไปจ๊กก๊กหลังตนเสียชีวิต โดยให้อุยเอี๋ยนและเกียงอุยทำหน้าที่คุมกองหลัง หากอุยเอี๋ยนปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่ง ก็ให้ล่าถอยไปโดยไม่ต้องมีอุยเอี๋ยน หลังจูกัดเหลียงเสียชีวิต เอียวหงีสั่งให้ปิดข่าวการเสียชีวิตของจูกัดเหลียงเป็นความลับ จากนั้นจึงให้บิฮุยไปพบอุยเอี๋ยนเพื่อประเมินเจตนาของอุยเอี๋ยน[37]
เมื่ออุยเอี๋ยนปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่งสุดท้ายของจูกัดเหลียงและปฏิเสธที่จะยอมทำตามคำสั่งของเอียวหงี[38] บิฮุยจึงแสร้งทำเป็นรับปากว่าจะช่วยอุยเอี๋ยนในการจัดทัพของจ๊กก๊กส่วนหนึ่งใหม่ให้ยังคงอยู่ทำศึกต่อไป ในขณะที่ส่วนที่เหลือจะยกกลับไปจ๊กก๊ก จากนั้นบิฮุยจึงเขียนหนังสือเกี่ยวกับการจัดทัพใหม่ให้ทั้งคู่ลงนามในหนังสือ และบอกอุยเอี๋ยนว่าตนจะนำหนังสือไปอ่านแจ้งให้ขุนนางทุกคนทราบในภายหลัง บิฮุยยังบอกอุยเอี๋ยนอีกว่า "ข้าจะกลับไปอธิบายความคิดของท่านให้กับหัวหน้าอาลักษณ์เอียว หัวหน้าอาลักษณ์เป็นขุนนางพลเรือนที่รู้เรื่องการทหารเพียงเล็กน้อย เขาจะไม่คัดค้านการจัดทัพใหม่เป็นแน่"[39]
จากนั้นบิฮุยก็ลาอุยเอี๋ยนและรีบกลับไปยังค่ายหลัก ในไม่ช้าอุยเอี๋ยนก็นึกเสียใจกับการตัดสินใจของตนจึงพยายามจะหยุดบิฮุยแต่ไล่ตามไม่ทันกาล หลังจากส่งผู้ใต้บังคับบัญชาไปสืบสถานการณ์ในค่ายหลัก ก็ต้องตกใจที่รู้ว่าบิฮุยโกหกตนเพราะทุกหน่วยในทัพจ๊กก๊กเตรียมการล่าถอยตามคำสั่งสุดท้ายของจูกัดเหลียง อุยเอี๋ยนโกรธมากเพราะตนต้องการทำศึกต่อ จึงพยายามจะสกัดการล่าถอยของทัพจ๊กก๊กโดยนำหน่วยทหารของตนไปทำลายสะพานทางเดินเลียบหน้าผาที่มุ่งหน้ากลับไปจ๊กก๊ก[40]
อุยเอี๋ยนและเอียวหงีต่างก็เขียนฎีกาไปยังราชสำนักจ๊กก๊กเพื่อกล่าวโทษอีกฝ่ายหนึ่งว่าเป็นกบฏ ราชสำนักจ๊กก๊กเชื่อฎีกาของเอียวหงีและสงสัยว่าอุยเอี๋ยนวางแผนก่อกบฏ ในที่สุดอุยเอี๋ยนก็พบกับจุดจบด้วยฝีมือของม้าต้ายขุนพลจ๊กก๊ก ความขัดแย้งจึงสิ้นสุดลง[35]
หลังกลับมาที่นครเซงโต๋ เอียวหงีเห็นว่าตนคงมีความดีความชอบยิ่งใหญ่จึงเชื่อมั่นว่าตนจะได้รับเลือกให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของจูกัดเหลียงในฐานะผู้นำขุนนางราชสำนักจ๊กก๊กคนใหม่ แต่ก็ต้องผิดหวังอย่างมากเมื่อกลับกลายเป็นว่าจูกัดเหลียงเลือกให้เจียวอ้วนเป็นแทน เจียวอ้วนได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการ (尚書令 ช่างชูลิ่ง) ส่วนเอียวหงีได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาการทหารส่วนกลาง (中軍師 จงจฺวินซือ) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ไม่มีอำนาจที่แท้จริง[41]
เอียวหงีมองว่าตัวเองสูงส่งมาโดยตลอดและเห็นว่าตนเหนือกว่าเจียวอ้วนเพราะตนเริ่มรับราชการในจ๊กก๊กก่อนเจียวอ้วน หลังเจียวอ้วนขึ้นเป็นผู้นำขุนนางขุนใหม่ของราชสำนักจ๊กก๊ก เอียวหงีก็มักบ่นแสดงความไม่พอใจ เพื่อนขุนนางต่างเพิกเฉยเขาเพราะเอียวหงีเลือกใช้คำที่หยาบคายในการถ่ายทอดความคับข้องใจ บิฮุยเป็นคนเดียวที่คอยปลอบโยนเอียวหงี[42]
ครั้งหนึ่งเอียวหงีพูดกับบิฮุยว่า "เมื่อครั้งท่านอัครมหาเสนาบดีสิ้นชีพ ข้าควรนำคนไปเข้าด้วยกับวุยเสียถ้ารู้ว่าข้าจะต้องลงเอยเช่นทุกวันนี้ ข้าเสียดายอย่างมากแต่บัดนี้ข้าทำอะไรไม่ได้แล้ว" บิฮุยลอบรายงานเรื่องที่เอียวหงีพูดไปยังราชสำนักจ๊กก๊ก เป็นผลให้ในปี ค.ศ. 235 เอียวหงีถูกปลดสถานะลงเป็นสามัญชนและเนรเทศไปอยู่เมืองแก่กุ๋น (漢嘉郡 ฮั่นเจียจฺวิ้น; อยู่บริเวณอำเภอหลูชาน มณฑลเสฉวนในปัจจุบัน) เอียวหงีฆ่าตัวตายที่นั่นในภายหลัง แต่ครอบครัวของเอียวหงีได้รับอนุญาตให้กลับจ๊กก๊กได้[43]
บิฮุยขึ้นมามีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาการทหารส่วนหลัง (後軍師 โฮฺ่วจฺวินชือ) หลังจูกัดเหลียงเสียชีวิตในปี ค.ศ. 234[35] ต่อมาไม่นานก็ได้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการ (尚書令 ช่างชูลิ่ง) จากเจียวอ้วนในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 235[44][45]
เวลานั้นจ๊กก๊กอยู่ในภาวะสงคราม บิฮุยมีปัญหาจำนวนมากที่ต้องสะสางในแต่ละวันเนื่องจากบทบาทในฐานะหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการ แต่บิฮุยก็ได้ชื่อว่ามีสติปัญญาสูงเป็นพิเศษ ประมวลผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว และมีความจำเป็นเลิศ บิฮุยสามารถจับประเด็นที่สำคัญทั้งหมดในเอกสารและจดจำได้หลังจากอ่านเอกสารผ่านเพียงรอบเดียว ดังนั้นในวันทำงานปกติ บิฮุยมักจะทำงานทั้งหมดให้เสร็จในตอนเช้าและใช้เวลาช่วงบ่ายพบปะผู้คนและทำกิจกรรมยามว่าง บิฮุยเชี่ยวชาญในการเล่นหมากล้อมเป็นพิเศษ แม้ว่าบิฮุยจะปล่อยตัวไปกับความสนุกสนานและความบันเทิงแต่ก็ไม่เคยละเลยงานและหน้าที่ของตน[46]
ปลายเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน ค.ศ. 243 เจียวอ้วนย้ายจากเมืองฮันต๋งไปอยู่อำเภอโปยเสีย (涪縣 ฝูเซี่ยน; ปัจจุบันคือนครเหมี่ยนหยาง มณฑลเสฉวน) เนื่องจากปัญหาสุขภาพ ในปลายเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคมปีเดียวกันนั้น เจียวอ้วนได้สละตำแหน่งมหาขุนพล (大將軍 ต้าเจียงจฺวิน) และผู้จัดการกิจการในสำนักราชเลขาธิการ (錄尚書事 ลู่ช่างชูชื่อ) ให้กับบิฮุย[47][48] จึงทำให้บิฮุยเป็นผู้นำขุนนางราชสำนักจ๊กก๊ก "โดยพฤตินัย"
ในปี ค.ศ. 244 ตั๋งอุ๋นสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการ (尚書令 ช่างชูลิ่ง) จากบิฮุย[48] หลังรับตำแหน่งก็พยายามทำตามกำหนดการและวิถีการใช้ชีวิตประจำวันแบบบิฮุย แต่ภายในสิบวันตั๋งอุ๋นก็ตระหนักว่างานของตนกำลังค่อย ๆ เพิ่มขึ้น จึงถอนใจพูดว่า "ความสามารถของผู้มีพรสวรรค์นั้นแตกต่างจากคนอื่นเป็นอย่างมาก ข้าเห็นว่าข้าคงไม่มีวันตาม (บิฮุย) ได้ทัน แม้จะทำงานตลอดทั้งวัน แต่ก็ยังมีอีกหลายสิ่งที่ข้ายังไม่ได้สะสาง"[49]
ต้นปี ค.ศ. 244 โจซองผู้สำเร็จราชการของวุยก๊กนำทัพไปยังเขาซิงชื่อชาน (興勢山; ตั้งอยู่ทางเหนือของอำเภอหยาง มณฑลฉ่านซีในปัจจุบัน) และเตรียมจะโจมตีเมืองฮันต๋งที่จ๊กก๊กครอบครองอยู่ ในปลายเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม เล่าเสี้ยนจักรพรรดิจ๊กก๊กพระราชทานอาญาสิทธิ์ให้กับบิฮุยและมีรับสั่งให้นำทัพจ๊กก๊กไปทำศึกกับทัพวุยก๊กที่รุกราน[50][48]
ก่อนที่บิฮุยจะนำทัพไป ไลบินขุนนางจ๊กก๊กมาเยี่ยมและขอเล่นหมากล้อมกับบิฮุย เวลานั้นมีการเตรียมการทุกอย่างสำหรับยุทธการและกองกำลังทหารก็พร้อมจะยกออกไป ในขณะที่เอกสารแนบขนนก[f]ยังคงเข้ามาเรื่อย ๆ บิฮุยก็ยังคงเล่นหมากล้อมกับไลบินและดูจะจดจ่อกับการเล่นหมากล้อมเป็นอย่างมาก ไลบินบอกกับบิฮุยว่า "จริง ๆ แล้วข้ากำลังทดสอบท่าน ท่านเป็นผู้ที่ไว้ใจได้และท่านจะต้องเอาชนะข้าศึกได้เป็นแน่"[52]
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 244 ทัพวุยก๊กตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเนื่องจากเนื่องจากไม่สามารถรุกคืบไปไกลกว่าภูเขาซิงชื่อได้และเสบียงก็เหลือน้อยเต็มที หยาง เว่ย์ (楊偉) ที่ปรึกษาของโจซองเห็นว่าทัพวุยก๊กเสี่ยงจะพ่ายแพ้จึงโน้มน้าวโจซองให้ถอนกำลังทัพวุยก๊กกลับก่อนจะสายเกินไป แต่โจซองฟังคำของเตงเหยียงและหลีซินแทนและสั่งให้กองกำลังยังคงประจำตำแหน่ง หลังจากสุมาอี้ผู้สำเร็จราชราชการร่วมกับโจซองเขียนหนังสือถึงแฮเฮาเหียนนายทหารผู้ช่วยของโจซอง เตือนถึงเรื่องอันตรายที่กำลังเผชิญอยู่ แฮเฮาเหียนหวาดกลัวจึงพยายามโน้มน้าวโจซองให้ล่าถอย ปลายเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคม ขณะทัพวุยก๊กล่าถอย บิฮุยนำทัพจ๊กก๊กเข้าโจมตีข้าศึกสามทิศทางจนแตกพ่าย โดยที่โจซองหนีไปได้อย่างแทบเอาชีวิตไม่รอด[48]
หลังจากบิฮุยกลับมายังนครเซงโต๋หลังชัยชนะที่เขาซิงชื่อชาน ก็ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นเฉิงเซียงโหว (成鄉侯) เป็นบำเหน็จความชอบ[53]
ในช่วงปลายปี ค.ศ. 244 ขณะที่สุขภาพของเจียวอ้วนย่ำแย่ลง เจียวอ้วนสละตำแหน่งข้าหลวงมณฑลเอ๊กจิ๋ว (益州刺史 อี้โจฺวชื่อฉื่อ) และมอบตำแหน่งให้บิฮุย[54][48]
หลังการเสียชีวิตของเจียวอ้วนในเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคม ค.ศ. 246[55] บิฮุยขึ้นมาเป็นผู้สำเร็จราชการและผู้นำขุนนางราชสำนักจ๊กก๊กคนใหม่ ในช่วงเวลาที่บิฮุยขึ้นมามีอำนาจ ผลงานที่สร้างไว้ให้จ๊กก๊กและชื่อเสียงส่วนตัวของบิฮุยก็ไล่เลี่ยกันกับของเจียวอ้วนผู้ล่วงลับแล้ว[56]
ในปี ค.ศ. 248 บิฮุยย้ายจากนครเซงโต๋ราชธานีของจ๊กก๊กไปยังเมืองฮันต๋งใกล้กับชายแดนวุยก๊ก-จ๊กก๊ก[57] ตลอดช่วงเวลาที่มีฐานะเป็นผู้สำเร็จราชการ เจียวอ้วนและบิฮุยยังคงควบคุมกิจการรัฐในเซงโต๋แม้ว่าตนจะอยู่ไกลถึงฮันต๋งเป็นระยะเวลานานก็ตาม อย่างเช่นการที่เล่าเสี้ยนจักรพรรดิแห่งจ๊กก๊กต้องปรึกษาเจียวอ้วนและบิฮุยและได้รับอนุมัติก่อนมอบรางวัลหรือลงโทษขุนนาง แสดงถึงความไว้วางพระทัยเป็นอย่างสูงของเล่าเสี้ยนที่มีต่อผู้สำเร็จราชการทั้งสองคนในรัชสมัยของพระองค์[58]
ในฤดูร้อน ค.ศ. 251 เมื่อบิฮุยกลับไปเซงโต๋ ได้ยินคำทำนายจากหมอดูว่าการอยู่ในนครหลวงนั้นไม่เป็นมงคล ในฤดูหนาวปีนั้นบิฮุยจึงย้ายจากเซงโต๋ไปอยู่อำเภอหั้นสือ (漢壽縣 ฮั่นโชฺ่วเซี่ยน; อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอำเภอเจี้ยนเก๋อ มณฑลเสฉวนในปัจจุบัน)[59][60]
ในปี ค.ศ. 252 เล่าเสี้ยนทรงอนุญาตให้บิฮุยมีเจ้าหน้าที่ส่วนตัวเพื่อช่วยเหลือในกิจการที่ดำเนินการประจำวัน[61]
ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 253 ขณะที่บิฮุยจัดงานเลี้ยงในเทศกาลขึ้นปีใหม่วันแรกในอำเภอหั้นสือ (漢壽縣 ฮั่นโชฺ่วเซี่ยน; อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอำเภอเจี้ยนเก๋อ มณฑลเสฉวนในปัจจุบัน) บิฮุยที่กำลังเมาสุราก็ถูกแทงสังหารโดยกัว ซิว (郭脩; หรือกัว สฺวิน 郭循) อดีตพลเรือนของวุยก๊กที่กลายมาเป็นขุนพลของจ๊กก๊ก กัว ซิวผู้ลอบสังหารก็พบจุดจบด้วยฝีมือของผู้ใต้บังคับบัญชาของบิฮุย บิฮุยได้รับสมัญญานามว่า "จิ้งโหว" (敬侯; แปลว่า "พระยาผู้น่านับถือ")[a] ศพได้รับการฝังในตำแหน่งทางตะวันออกไป 1 กิโลเมตรจากประตูตะวันออกของเมืองโบราณเจาฮฺว่า เขตเจาฮฺว่า นครกว่างยฺเหวียน มณฑลเสฉวนในปัจจุบัน[62]
กัว ซิว ชื่อรอง เซี่ยวเซียน (孝先) มีชื่อเสียงในมณฑลเลียงจิ๋วก่อนจะมาเข้าร่วมกับจ๊กก๊ก หลังกัว ซิวถูกจับตัวในยุทธการโดยเกียงอุยขุนพลจ๊กก๊ก กัว ซิวก็ยอมสวามิภักดิ์อย่างไม่เต็มใจและให้คำมั่นว่าจะภักดีต่อจ๊กก๊ก จักรพรรดิจ๊กก๊กเล่าเสี้ยนแต่งตั้งให้กัว ซิวเป็นขุนพลซ้าย (左將軍 จั่วเจียงจฺวิน) ครั้งหนึ่งกัว ซิวเคยพยายามจะลอบปลงพระชนม์เล่าเสี้ยน โดยเข้าไปใกล้พระองค์อ้างว่าจะถวายพระพร แต่เหล่าทหารราชองครักษ์ของเล่าเสี้ยนสังเกตเห็นอะไรชอบกลในพฤติกรรมของกัว ซิว จึงหยุดเขาไว้ก่อนที่จะเข้าไปใกล้จักรรพรดิ กัว ซิวผิดหวังกับความล้มเหลวในการลอบปลงพระชนม์จักรพรรดิจ๊กก๊ก จึงเปลี่ยนเป้าหมายเป็นบิฮุยแทนและทำได้สำเร็จ[63] ในเดือนกันยายนหรือตุลาคม ค.ศ. 253 โจฮองจักรพรรดิวุยก๊กออกพระราชโองการยกย่องกัว ซิวสำหรับ "การปฏิบัติหน้าที่อย่างกล้าหาญเพื่อวุยก๊ก" และเปรียบเทียบกัว ซิวกับเนี่ย เจิ้ง (聶政) และฟู่ เจี้ยจื่อ (傅介子) รวมทั้งพระราชทานเกียรติคุณย้อนหลังให้กัว ซิวและพระราชทานรางวัลให้กับครอบครัวของกัว ซิว[64]
เผย์ ซงจือนักประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 5 โต้แย้งพระราชโองการของโจฮองว่ากัว ซิวไม่ใช่วีรบุรุษ และการลอบสังหารบิฮุยก็ไม่ใช่ "การปฏิบัติหน้าที่เพื่อวุยก๊ก" โดยให้เหตุผลสามประการ ประการแรก กัว ซิวเป็นพลเรือนขณะถูกจับตัวโดยข้าศึก จึงไม่ได้ "ปฏิบัติหน้าที่" ให้วุยก๊กอย่างแน่นอน ดังนั้นการลอบสังหารบิฮุยโดยกัว ซิวจึงไม่ควรถือเป็นการกระทำที่เป็น "การปฏิบัติหน้าที่เพื่อวุยก๊ก" ประการที่สอง วุยก๊กไม่ได้ถูกคุกคามโดยจ๊กก๊กในลักษณะเดียวกับที่รัฐเอี๋ยน (燕 เยียน) ถูกคุมคามโดยรัฐจิ๋น (秦 ฉิน) ในช่วงปลายยุครณรัฐ ดังนั้นการลอบสังหารบิฮุยโดยกัว ซิวจึงไม่ควรถูกมองในแง่เดียวกับการพยายามลอบสังหารจิ๋นซีฮ่องเต้โดยเก๋งคอ (荊軻 จิง เคอ) ประการที่สาม จากมุมมองของเผย์ ซงจือแล้ว เล่าเสี้ยนและบิฮุยถือเป็นผู้ปกครองและผู้สำเร็จราชการที่มีความสามารถระดับกลาง ดังนั้นการเสียชีวิตของคนทั้งสองจะไม่ส่งผลเสียหายอย่างมีนัยสำคัญต่อจ๊กก๊ก เผย์ ซือจงจึงสรุปว่ากัว ซิวเป็นเพียงนักฉวยโอกาสที่แสวงหาชื่อเสียงในการลอบสังหารผู้สำเร็จราชการของรัฐ[65]
หลังจากสุมาอี้ประหารชีวิตโจซอง บิฮุยได้เสนอมุมมองของตนเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างมีวาทศิลป์ อันดับแรกบิฮุยเสนอมุมมองเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน ตามด้วยการให้เหตุผลของเหตุการณ์นี้ว่าในทางจริยธรรมแล้วใครถูกใครผิด[66]
“มีบางคนเชื่อว่าโจซองและเหล่าน้องชายเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ ตำแหน่ง อำนาจ และผลประโยชน์ที่พวกเขาได้รับเกิดจากเพียงความเกี่ยวพันกับราชวงศ์ อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็กลายเป็นคนสุรุ่ยสุร่ายและหยิ่งยโส หวังจะช่วงชิงอำนาจของราชวงศ์ ใกล้ชิดกับคนสามานย์ ผูกขาดอำนาจโดยการจัดตั้งพรรคพวกและวางแผนต่อต้านผลประโชน์ของรัฐ จากนั้นสุมาอี้จึงเสี่ยงเพื่อจะลงทัณฑ์พวกเขาและกำจัดได้ทั้งหมดในครั้งเดียว การกระทำนี้เป็นข้อพิสูจน์เพียงพอว่าสุมาอี้เป็นผู้สมควรกับตำแหน่งและตระหนักถึงความปรารถนาของทั้งเหล่าบัณฑิตและราษฎร"[67]
“แต่คนอื่น ๆ ก็อาจเชื่อว่าสุมาอี้ไม่พอใจโจยอยที่ไม่มอบหมายกิจการของรัฐทั้งหมดให้ตนแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นโจซองและการกระทำของเขาจึงไม่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจสุมาอี้ การบริหารราชการที่ไม่เป็นเอกภาพค่อย ๆ มีข้อบกพร่อง แต่แรกสุมาอี้ก็ไม่ได้ให้คำแนะนำหรือทัดทานอย่างซื่อสัตย์ กลับฉวยโอกาสสังหารทั้งหมดในคราวเดียวโดยที่พวกโจซองไม่ทันได้ตั้งตัว ในกรณีเช่นนั้นจะถือว่าผู้ยิ่งใหญ่กระทำการเพื่อรัฐหรือกระทำตามหน้าที่ได้หรือ หากโจซองต้องการที่จะต่อต้านประมุขของตนจริง ๆ และหวังจะก่อกบฎ แต่แล้วในวันที่สุมาอี้ก่อการ โจฮองอยู่ด้วยกับโจซองและน้องชาย สุมาอี้และสุมาสูบุตรชายมาจากด้านหลังเข้าปิดประตูเมืองและระดมพล คุกคามโจฮองและประกาศว่าจะไม่มีการเจรจาสันติ เราจะถือว่าบุคคลที่ก่อการเช่นนี้เป็นเสนาบดีที่ภักดีพร้อมด้วยความต้องใจจะช่วยนายเหรือหัวหรือไม่ จากมุมมองนี้ก็จะเห็นว่าโจซองไม่ได้ทำความผิดร้ายแรงที่เห็นได้ชัด บัดนี้หากสุมาอี้ก่อการเพราะโจซองช่วงชิงอำนาจและสุรุ่ยสุร่าย เช่นนั้นแล้วการลงทัณฑ์ที่ยุติธรรมก็คือการถอดออกจากตำแหน่งก็เพียงพอแล้ว แต่สุมาอี้กวาดล้างตระกูลโจซองทั้งหมด และนี่คือความอยุติธรรมที่ยุติสายเลือดของโจจิ๋น แม้แต่โฮอั๋นและบุตรชายซึ่งเป็นญาติของราชวงศ์วุยก็ถูกประหารเช่นกัน นี่เป็นการช่วงชิงอำนาจ การก่อการของสุมาอี้เกินกว่าเหตุและไม่สมควร"[68]
บิฮุยมีบุตรชายอย่างน้อย 2 คนและบุตรสาวอย่างน้อย 1 คน บุตรชายคนแรกของบิฮุยชื่อเฟ่ย์ เฉิง (費承) สืบทอดบรรดาศักดิ์เฉิงเซียงโหว (成鄉侯) ของบิฮุยและรับราชการเป็นขุนนางสำนักประตูเหลือง (黃門侍郎 หฺวางเหมินชื่อหลาง) ในพระราชวังจ๊กก๊ก[69] บุตรชายคนรองของบิฮุยชื่อเฟ่ย์ กง (費恭) แต่งงานกับองค์หญิงของจ๊กก๊ก (อาจจะเป็นพระธิดาองค์หนึ่งของเล่าเสี้ยน) มีชื่อเสียงค่อนข้างมาก และรับราชการเป็นขุนนางในสำนักราชเลขาธิการของจ๊กก๊ก แต่เฟ่ย์ กงเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังเยาว์แต่ต้องมีชีวิตอย่างน้อยที่สุดถึงเดือนเมษายน ค.ศ. 268 เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่หลัว เซี่ยนเสนอชื่อเฟ่ย์ กงในฐานะบุคคลผู้มีความสามารถให้กับสุมาเอี๋ยนในระหว่างงานเลี้ยง[70][71] บุตรสาวของบิฮุยแต่งงานกับเล่ายอย พระโอรสองค์โตและรัชทายาทของเล่าเสี้ยน[72]
ตันซิ่วนักประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 3 ผู้เขียนชีวประวัติของบิฮุยในสามก๊กจี่ ยกย่องบิฮุยที่เป็นผู้มีความเห็นอกเห็นใจ น้ำใจกว้างขวาง และเมตตากรุณาต่อผู้อื่น ตันซิ่วยกย่องบิฮุยและเจียวอ้วนในเรื่องที่การเจริญรอยตามจูกัดเหลียงและชี้ให้เห็นถึงการกระทำที่มีส่วนช่วยรักษาเขตแดนของจ๊กก๊ก และรักษาสันติสุขและความสมัครสมานภายในจ๊กก๊ก แต่ตันซิ่วก็ยังวิจารณ์บิฮุยและเจียวอ้วนที่ไม่พยายามอย่างเต็มกำลังในการปกครองและคุ้มครองรัฐเล็ก ๆ อย่างจ๊กก๊ก[73]
เผย์ ซงจือนักประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 5 ผู้เขียนอรรถาธิบายให้สามก๊กจี่ ไม่เห็นด้วยกับทัศนะของตันซิ่ว โดยแย้งว่าบิฮุยและเจียวอ้วนทำหน้าที่ได้ดีในสมัยที่เป็นผู้สำเร็จการราชการแทนพระองค์ เพราะพวกเขาละเว้นการเคลื่อนไหวอย่างสุ่มเสี่ยงซึ่งอาจเป็นภัยต่อจ๊กก๊กในวันข้างหน้า พวกเขาตอบโต้การบุกของวุยก๊กได้สำเร็จและรักษาสันติสุขภายในอาณาเขตจองจ๊กก๊ก นอกจากนี้เผย์ ซงจือยังบ่งชี้ว่าผู้อ่านอาจพบว่าข้อเขียนสรุปของตันซิ่วอาจทำให้สับสน เพราะตันซิ่วไม่ได้เสนอหลักฐานใด ๆ เพื่อสนับสนุนคำกล่าวอ้างที่ว่าบิฮุยและเจียวอ้วนไม่ได้พยายามอย่างเต็มกำลังในการปกครองและคุ้มครองจ๊กก๊ก[74]
แม้จะอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจและเกียรติภูมิ แต่บิฮุยก็ยังคงถ่อมตนและแสดงความเคารพต่อผู้อื่นอยู่เสมอ บิฮุยไม่มีทรัพย์สมบัติเพียงพอสำหรับตนเองและครอบครัว เหล่าบุตรชายของบิฮุยใช้ชีวิตอย่างสามัญชน สวมเสื้อผ้าเรียบ ๆ รับประทานอาหารง่าย ๆ เดินทางด้วยการเดินเท้า และไม่มีผู้คุ้มกันร่วมเดินทางด้วย[75]
เตียวหงีขุนพลของจ๊กก๊กสังเกตว่าบิฮุยเป็นผู้มีอัธยาศัยดีเกินไปและไว้วางใจคนรอบข้างมากเกินไป ครั้งหนึ่งเตียวหงีเคยเตือนบิฮุยว่า "ในอดีต งิมเหง (岑彭 เฉิน เผิง) บัญชาการกองกำลัง และไลเอียก (來歙 หลาย ซี) ถือคถาอาญาสิทธิ์ ทั้งคู่ถูกลอบสังหาร บัดนี้ท่านขุนพลดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจและความสำคัญอย่างยิ่ง ท่านจึงควรเรียนรู้จากอุทาหรณ์ในอดีตและระมัดระวังตนให้มากขึ้น" ในที่สุดบิฮุยก็พบจุดจบด้วยน้ำมันของมือสังหารกัว ซิว สมดังที่เตียวหงีคาดการณ์ไว้[76]
ยฺหวี ซี่นักประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 4 ให้ความเห็นในจื้อหลิน (志林) ว่าเป็นเรื่องตลกร้ายที่ข้อดีของบิฮุยกลายเป็นสิ่งที่นำจุดจบมาให้ บิฮุยเปิดกว้างและใจกว้างมากเกินไป คลายความระมัดระวังต่อผู้คนรอบข้าง และไม่สามารถช่วยตัวเองจากการปองร้ายของกัว ซิวผู้แปรพักตร์จากรัฐอริได้[77]
ฉาง ฉฺวีผู้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของภูมิภาคเสฉวนอย่างครอบคลุมในหฺวาหยางกั๋วจื้อ (พงศาวดารหฺวาหยาง) ยกย่องเจียวอ้วนและบิฮุยที่สานต่อหลักการของจูกัดเหลียง และยังปกป้องดินแดนจ๊กก๊กระหว่างที่ถูกขนาบโดยสองรัฐใหญ่ ทำให้รัฐที่อ่อนแอกลายเป็นรัฐที่เข้มแข็ง[78] ฉาง ฉฺวียังบันทึกว่าผู้คนในจ๊กก๊กยกย่องให้จูกัดเหลียง เจียวอ้วน บิฮุย และตั๋งอุ๋นเป็นสี่อัครมหาเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่ของรัฐจ๊กก๊ก[79]