นันทบุเรง | |
---|---|
ครองราชย์ | 10 ตุลาคม ค.ศ. 1581 – 19 ธันวาคม ค.ศ. 1599 |
ราชาภิเษก | 15 ตุลาคม ค.ศ. 1581 |
ก่อนหน้า | พระเจ้าบุเรงนอง |
ถัดไป | พระเจ้าญองยาน |
อัครมหาเสนาบดี | พญาแก่นท้าว |
ราชาธิราชแห่งล้านนา | |
ครองราชย์ | 10 ตุลาคม ค.ศ. 1581 – ราวกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1597 |
ก่อนหน้า | พระเจ้าบุเรงนอง |
ถัดไป | สมเด็จพระนเรศวรมหาราช |
เจ้าประเทศราช | นรธาเมงสอ |
ราชาธิราชแห่งสยาม | |
ครองราชย์ | 10 ตุลาคม ค.ศ. 1581 – 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1584 |
ก่อนหน้า | พระเจ้าบุเรงนอง |
ถัดไป | ยุบฐานะ |
เจ้าประเทศราช | สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช |
ราชาธิราชแห่งล้านช้าง | |
ครองราชย์ | 10 ตุลาคม ค.ศ. 1581 – 19 ธันวาคม ค.ศ. 1599[note 1] |
ก่อนหน้า | พระเจ้าบุเรงนอง |
ถัดไป | ยุบฐานะ |
เจ้าประเทศราช | สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช (ค.ศ. 1581–88) พระยาแสนสุรินทร์ (ค.ศ. 1588–91) พระหน่อแก้วกุมาร (ค.ศ. 1591–95) พระวรปิตา (ค.ศ. 1596–99) |
ประสูติ | 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1535 ตรงกับวันอังคาร ขึ้น 15 ค่ำ เดือน Tazaungmon จ.ศ. 897 ตองอู |
สวรรคต | 30 พฤศจิกายน [ตามปฎิทินเก่า: 20 พฤศจิกายน] 1600 (65 ชันษา) ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 10 ค่ำ เดือน Tazaungmon จ.ศ. 962[1] ตองอู |
ฝังพระศพ | 1 ธันวาคม [ตามปฎิทินเก่า: 21 พฤศจิกายน] 1600 พระราชวังตองอู |
คู่อภิเษก | หงสาวดีมิบะยา มีนพยู มีนทเว สิริราชเทวี เมงตะยาแม่ท้าว |
พระราชบุตร ฯลฯ | พระราชโอรส 20 พระองค์ พระราชธิดา 18 องค์ เช่น: มังกยอชวา มังรายกะยอฉะวาที่ 2 แห่งอังวะ คีนมะน่อง ตะโดธรรมราชาที่ 3 ศรีธรรมาโศก เมงเยสีหะ |
ราชวงศ์ | ตองอู |
พระราชบิดา | พระเจ้าบุเรงนอง |
พระราชมารดา | อตุลสิริมหาราชเทวี |
ศาสนา | พุทธเถรวาท |
พระเจ้านันทบุเรง (พม่า: နန္ဒဘုရင်, ออกเสียง: [nàɰ̃.da̰ bə.jɪ̀ɰ̃]; อักษรโรมัน: Nanda Bayin; 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1535 – 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1600) หรือ พระเจ้าหงษางาจีสะยาง[2] เป็นพระเจ้าหงสาวดีจากราชวงศ์ตองอู เสวยราชสมบัติตั้งแต่ ค.ศ. 1581 ถึง ค.ศ. 1599 รัชสมัยพระองค์เป็นช่วงแห่งการล่มสลายของจักรวรรดิตองอู อาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อุษาคเนย์
พระองค์เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระเจ้าบุเรงนอง และทรงร่วมนำศึกหลาย ๆ ครั้งในการขยายจักรวรรดิของพระราชบิดา เมื่อเถลิงราชย์แล้ว พระองค์ทรงเผชิญกับภาระอันเหลือบ่ากว่าแรงในการธำรงมหาอาณาจักรที่พระบิดาเพียรสร้างเอาไว้[3] พระองค์ไม่ได้รับการสนับสนุนจากเจ้าประเทศราช เมื่อครองราชย์ได้เพียงสามปี ทั้งพม่าตอนบนและอาณาจักรอยุธยาก็แข็งเมือง พระองค์ไม่สามารถประชุมพลได้มากกว่าหนึ่งในสามของกองทัพสมัยพระบิดาเพื่อยกไปปราบ ทั้งไม่สามารถปรองดองกับเมืองเล็กเมืองน้อย[4] ครั้นช่วง ค.ศ. 1584 ถึง ค.ศ. 1593 พระองค์ทรงเปิดศึกกับอยุธยาถึงห้าครั้ง ซึ่งพ่ายแพ้ทุกครั้ง ทำให้พระราชอำนาจเสื่อมถอยลง และนับแต่ ค.ศ. 1593 เป็นต้นมา พระองค์กลับทรงเป็นฝ่ายที่ต้องตั้งรับการรุกรานจากอยุธยา โดยในระหว่าง ค.ศ. 1594 ถึง ค.ศ. 1595 อยุธยาสามารถยึดชายฝั่งตะนาวศรีได้ทั้งหมด ส่งผลให้ประเทศราชอื่น ๆ พากันแปรพักตร์จากพระองค์ใน ค.ศ. 1597 ต่อมาใน ค.ศ. 1599 ทัพผสมจากตองอูและยะไข่บุกหงสาวดีเมืองหลวงของพระองค์ พระองค์ทรงถูกจับไปกักขังไว้ที่เมืองตองอู ส่วนเมืองหงสาวดีก็ถูกยะไข่ปล้นทรัพย์และเผาทำลายจนสิ้น หนึ่งปีให้หลัง นัดจินหน่อง โอรสพระเจ้าเมงเยสีหตูแห่งตองอู ลอบวางยาพิษพระองค์สวรรคต[5][6]
พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่แข็งขันจนอาจนับได้ว่ายิ่งกว่าพระมหากษัตริย์พม่าทั่ว ๆ ไป[4] แต่ข้อผิดพลาดประการหนึ่งของพระองค์ คือ การพยายามควบคุมจักรวรรดิที่ใหญ่กว้างขวางภายใต้ความสัมพันธ์ในระบอบอุปถัมภ์เอาไว้[7] จึงเป็นบทเรียนแก่ผู้สืบสันตติวงศ์ของพระองค์ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 มิให้ขยายดินแดนจนเกินควร และให้เน้นการปกครองแบบรวมศูนย์ บทเรียนดังกล่าวยังเป็นเหตุให้ปฏิรูปการปกครองในช่วงรื้อฟื้นราชวงศ์ตองอู และปรับปรุงเพิ่มในช่วงราชวงศ์คองบอง ระบอบปกครองที่ปฏิรูปนี้ดำเนินต่อมาจนสิ้นสุดกษัตริย์พม่าใน ค.ศ. 1885[7]
นันทบุเรงประสูติเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1535[note 2] ณ พระราชวังตองอู พระราชบิดาคือขุนพลบุเรงนอง ซึ่งภายหลังขึ้นเป็นพระเจ้าหงสาวดี พระราชมารดาคือเจ้าหญิงตะเกงจี (Thakin Gyi) ซึ่งต่อมาคือพระนางอตุลสิริมหาราชเทวี พระอัครมเหสีกรุงหงสาวดี พระมาตุลาคือพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้แห่งหงสาวดี และพระเจ้าตาคือพระเจ้าเมงจีโยแห่งตองอู และพระเชษฐภคินีเป็นอัครมเหสีกรุงอังวะ ด้วยความสัมพันธ์ทางเครือญาติเหล่านี้ นันทบุเรงจึงทรงมีเชื้อสายราชวงศ์แห่งอาณาจักรพุกามและอาณาจักรปีนยะ[8] นอกจากนี้ พระองค์ยังน่าจะทรงมีเชื้อไทใหญ่ด้วย[note 3]
นันทบุเรงประทับ ณ พระราชวังตองอู จนพระชนม์ได้สามพรรษา จึงแปรพระราชฐานมาพระราชวังพะโคที่เมืองหงสาวดี (พะโค) ซึ่งตั้งเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของจักรวรรดิตองอูเมื่อ ค.ศ. 1539 ตลอดพระชนมชีพวัยเยาว์ พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ พระเจ้าลุง นำพาพระบิดาไปทำศึกบ่อยครั้ง เมื่อพระเจ้าลุงทรงตั้งพระบิดาเป็นอุปราชใน ค.ศ. 1542 นันทบุเรงจึงทรงอยู่ในลำดับที่สองของการสืบราชบัลลังก์ตองอูไปโดยปริยาย ในพระสถานะดังกล่าว นันทบุเรงทรงได้รับการฝึกฝนทางทหารเสมือนพระมาตุลาและพระบิดา[9]
เมื่อพระชนมายุได้ 13 พรรษา นันทบุเรงทรงได้รับบรรดาศักดิ์ "ชัยสิงห์" (Zeya Thiha) และโดยตามเสด็จพระมาตุลากับพระบิดาไปทำศึกกับอาณาจักรอยุธยาในสงครามคราวเสียพระสุริโยทัย ความกล้าหาญของนันทบุเรงทำให้พระมาตุลาพระราชทานบรรดาศักดิ์ "เมงเยกะยอชวา" (Minye Kyawswa) แก่นันทบุเรง[10]
พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้พระมาตุลาของพระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ในวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1550 แม้พระบิดาจะเป็นพระมหาอุปราช แต่มังฆ้องที่ 2 พระอนุชาร่วมพระบิดาเดียวกับบุเรงนอง ไม่ยอมรับสิทธิสืบบัลลังก์ดังกล่าว และประกาศตนเป็นเอกราช ณ เมืองตองอู นันทบุเรงจึงพาพระมารดาและพระพี่นางลี้ภัยไปหาพระบิดาซึ่งเวลานั้นไปราชการศึกที่เมืองทะละ (ในเมืองย่างกุ้งปัจจุบัน)[11]
ณ ที่นั้น นันทบุเรงทรงร่วมกับพระบิดาวางแผนกอบกู้ราชบัลลังก์ กองกำลังของบุเรงนองเข้าตีเมืองตองอูเป็นครั้งแรกในเดือนกันยายน ค.ศ. 1550 และยึดเมืองได้ในวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 1551 บุเรงนองไว้ชีวิตมังฆ้องที่ 2 แล้วราชาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าหงสาวดีสืบต่อจากพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ สถาปนานันทบุเรงพระราชโอรสซึ่งขณะนั้นพระชนมายุได้ 15 พรรษา ขึ้นเป็นพระมหาอุปราช พระราชพิธีราชาภิเษกมีขึ้น ณ วันที่ 12 มกราคม นั้นเอง[note 4]
ตลอด 15 ปีต่อมา บุเรงนองทรงมุ่งมั่นขยายจักรวรรดิตองอู ทำให้คนใกล้ชิดต้องทุ่มเทกายใจแก่การศึกไปด้วย แต่ในช่วงแรก นันบุเรงยังทรงพระเยาว์นัก จึงมีบทบาทจำกัด จน ค.ศ. 1557 เป็นต้นมา นันทบุเรงทรงได้รับภารกิจสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้พระองค์ พร้อมด้วยพระเจ้าอาคือมังฆ้องที่ 2, ตะโดธรรมราชาที่ 2, และตะโดเมงสอ กลายเป็นสี่ยอดขุนพลของบุเรงนอง และหลายทศวรรษให้หลัง นันทบุเรงทรงก้าวหน้าด้วยความดีความชอบในฐานะผู้นำทัพ จนเมื่อปลายรัชสมัยของพระบิดา นันทบุเรงก็ทรงได้เป็นผู้นำศึกทั้งหมดด้วยพระองค์เอง
การศึกของอุปราชนันทบุเรง (ค.ศ. 1551–80) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
นันทบุเรงทรงเป็นสมาชิกที่แข็งขันในราชสำนักหงสาวดีซึ่งส่วนใหญ่มีเสนาบดีเป็นชาวมอญพื้นเมือง พระราชบิดาทรงรับฟังความเห็นที่นันทบุเรงถวายเสมอ แม้ไม่ทรงปฏิบัติตามทุกครั้งก็ตาม[33] นันทบุเรงทรงมีบทบาททางปกครองมากขึ้นในช่วงสองปีสุดท้ายของรัชกาลพระราชบิดา เมื่อพระพลานามัยของพระราชบิดาเสื่อมถอยลงตามลำดับ[note 6]
พระเจ้าบุเรงนองประชวรมายาวนานจนเสด็จสวรรคต ณ วันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1581 นันทบุเรงสืบราชสมบัติต่อโดยปราศจากการต่อต้าน พระองค์ถวายพระเพลิงพระราชบิดาอย่างสมพระเกียรติพระเจ้าจักรพรรดิตามคติพุทธ พระราชพิธีมีขึ้นหน้าพระราชวังกัมโพชธานี จากนั้น จึงราชาภิเษกในวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1581[note 7] แล้วทรงตั้งมังกะยอชวาที่ 1 พระราชโอรสพระองค์ใหญ่เป็นพระมหาอุปราช[34]
สิ่งที่ตกทอดจากพระราชบิดามาสู่พระเจ้านันทบุเรงคือ "จักรวรรดิซึ่งน่าจะใหญ่โตที่สุดในประวัติศาสตร์อุษาคเนย์"[35] ที่ชาวโปรตุเกสพรรณนาว่า เป็น "รัฐราชาธิปไตยอันทรงอำนาจที่สุดในเอเชีย ถัดจากจีน"[36] อย่างไรก็ดี จักรวรรดิที่ใหญ่โตเกินควรนี้ เดิมผูกกันไว้ด้วยความสัมพันธ์ส่วนตัวพระเจ้าบุเรงนองกับผู้นำท้องถิ่นซึ่งนิยมรักใคร่ในตัวบุเรงนอง มิใช่ต่อจักรวรรดิของบุเรงนอง[7] และในการปกครองประเทศราชต่าง ๆ พระเจ้าบุเรงนองทรงใช้รูปแบบเมืองมณฑล โดยพระองค์อยู่แกนกลาง แล้วรายล้อมด้วยเจ้าประเทศราชที่มีสถานะกึ่งอิสระ อุปราชที่ปกครองโดยอิสระ และผู้ปกครองภายใต้การกำกับดูแลของข้าหลวงจากส่วนกลาง[37] ด้วยระบบเช่นนี้ เมื่อมีกษัตริย์พระองค์ใหม่เข้ามาอยู่ในแกนกลาง กษัตริย์พระองค์นั้นก็จำต้องทรงสร้างความสัมพันธ์ทั้งหมดเสียใหม่ ซึ่งมิใช่งานง่าย เพราะเมืองขึ้นทั้งหลาย แม้จะอยู่ในสภาพภูมิประเทศเดียวกับเมืองแกนกลาง แต่ก็อยู่ห่างไกล ทำให้ยากที่จะยกทัพไปปราบปรามได้เบ็ดเสร็จ[7] จี.อี. ฮาร์วีย์ (G.E. Harvey) นักประวัติศาสตร์ ตั้งข้อสังเกตว่า มรดกที่นันทบุเรงทรงได้รับนั้น คือ ภาระในการรักษาจักรวรรดิให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวให้ได้ และพระองค์หมายพระทัยจะรักษาเอกภาพนั้นไว้ด้วยการยกไปเทครัวอยุธยาไปกระจายไว้ทุกทิศานุทิศ[38]
ช่วงแรก ๆ หลังการขึ้นครองราชย์ นันทบุเรงทรงเรียกเจ้าประเทศราชต่าง ๆ มาถวายสัตย์ เจ้าประเทศราชเหล่านี้เคยเป็นรัฐอธิปไตยมาก่อน พร้อมจะแยกตัวจากจักรวรรดิตองอูทุกเมื่อที่สบโอกาส แต่ยังไม่มีใครพร้อมเคลื่อนไหวต่อต้านนันทบุเรงผู้ทรงพร้อมด้วยประสบการณ์ทางการศึก[38] ทุกฝ่ายจึงมีที่ท่า "เฝ้ารอสังเกตการณ์" ไปก่อน[39] เจ้าประเทศราชหลัก ๆ โดยเฉพาะอยุธยาซึ่งเป็นเมืองขึ้นที่ทรงอำนาจที่สุด ถวายบรรณาการแก่หงสาวดีต่อไปตามเดิมจนถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1582[40]
ภายในปีที่ขึ้นครองราชย์นั้นเอง พระเจ้านันทบุเรงต้องทรงเผชิญกับการแข็งเมืองของรัฐไทใหญ่ทางเหนือหลายรัฐ (ในมณฑลยูนนานปัจจุบัน) กบฏเหล่านี้สามารถปราบปรามลงได้ แต่ก็ตามมาด้วยกบฏจากอังวะและอยุธยาใน ค.ศ. 1584 พระองค์ทรงกำราบอังวะได้ แต่ไม่ทรงสามารถพิชิตอยุธยาได้เหมือนพระราชบิดา โดยในช่วง ค.ศ. 1584–1593 นันทบุเรงทรงเปิดศึกกับอยุธยาถึงห้าครั้ง และทุกครั้งล้มเหลว ทำให้ประเทศราชอื่น ๆ เอาใจออกหาก พระองค์ไม่ทรงสามารถนำเมืองขึ้นกลับคืนมาได้มากกว่าหนึ่งในสามของดินแดนเดิม และเมื่อสิ้นสงครามกับอยุธยา ปรากฏว่า ฐานอำนาจของพระองค์ในพม่าตอนล่างมีประชากรลดลงอย่างยิ่ง นำไปสู่การแข็งเมืองของประเทศราชอื่น ๆ ที่พระองค์มิอาจทรงยุติได้[4]
เมืองจ๋านตา และ เมืองสองสบ รัฐจีนไทใหญ่ (ปัจจุบันคือเต๋อหงและเป่าซานในมณฑลยูนนาน) เป็นกลุ่มแรกที่ไม่ส่งบรรณาการแก่กษัตริย์พระองค์ใหม่ ฉะนั้น ในเดือนกันยายน/ตุลาคม ค.ศ. 1582[note 8] นันทบุเรงจึงส่งทหารสองกอง คน 16,000 ม้า 1,400 และช้าง 100 ให้ตะโดธรรมราชาที่ 2 พระเจ้าแปรผู้เป็นพระเจ้าอา และพระเจ้าเชียงใหม่นรธาเมงสอผู้เป็นพระอนุชา เป็นแม่กองยกไปปราบปรามลงโทษ ทัพทั้งสองใช้เวลาห้าเดือนก็สำเร็จ และยกกลับหงสาวดีในวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1583[41]
พงศาวลีของพระเจ้านันทบุเรง | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
ก่อนหน้า | พระเจ้านันทบุเรง | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
พระเจ้าบุเรงนอง | พระมหากษัตริย์พม่า (อาณาจักรพม่ายุคที่ 2) (พ.ศ. 2124 - พ.ศ. 2142) |
พระเจ้าญองยาน |