พระเจ้าภววรมันที่ 1

พระเจ้าภววรมันที่ 1

มหาราชาธิราช,ภววรมันมหาราช
พระมหากษัตริย์เจนละ
ครองราชย์พ.ศ.1123-1143
ราชาภิเษกพ.ศ.1123
รัชกาลก่อนหน้าพระนางกัมพุชราชลักษมี
รัชกาลถัดไปพระเจ้ามเหนทรวรมัน
สวรรคตพ.ศ.1143
ภวปุระ,อาณาจักรเจนละ
พระมเหสีพระนางกัมพุชราชลักษมี
พระมหากษัตริย์เจนละ
พระนามเต็ม
พระกมรเตงอัญศรีภววรมัน
(วฺระ กมฺรตางฺ อญฺ ศรีภฺววรฺมฺม)
ราชวงศ์เกาฑิณยะ-จันทรวงศ์
พระราชบิดาพระเจ้าศรีปฤถิวีนทรวรมัน
ศาสนาฮินดู

พระเจ้าภววรมันที่ 1 (เขมร: ភវវរ្ម័នទី១, อักษรโรมัน: Bhavavarman I, จีน: 撥婆跋摩, พินอิน: Bópóbámó) หรือพระนามเต็มว่า พระกมรเตงอัญศรีภววรมัน (วฺระ กมฺรตางฺ อญฺ ศรีภฺววรฺมฺม) เป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรเจนละ ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 1123 – 1143

พระราชประวัติ

[แก้]

พระเจ้าภววรมันที่ 1 เป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรเจนละ ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 1123 – 1143 เป็นเชษฐาของพระเจ้ามเหนทรวรมัน พระองค์เป็นเชื้อพระวงศ์ในอาณาจักรฟูนาน ที่ปกครองเมืองภวปุระ พระองค์ได้ร่วมมือกันกับเจ้าชายจิตรเสน ยกกองทัพเข้าชิงราชสมบัติจาก พระเจ้ารุทรวรมัน เพราะเห็นว่าพระเจ้ารุทรวรมันขาดความชอบธรรมในการขึ้นครองราชสมบัติโดยหลังจากที่ พระเจ้าเกาฑิณยะชัยวรมันที่ 3 สวรรคต พระเจ้ารุทรวรมัน ก็ทำการสังหารรัชทายาทที่ชอบธรรมที่ประสูติจากพระอัครมเหสี แล้วตั้งตนขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งฟูนาน ซึ่งพระองค์ก็มีชัยชนะเหนือพระเจ้ารุทรวรมัน และยึดราชธานีวยาธปุระได้สำเร็จ จากนั้นก็ใช้เวลาอีกหลายปีในศึกสงครามเพื่อรวบรวมและขยายอาณาจักร เจ้าชายจิตรเสนเป็นแม่ทัพที่เกรียงไกรทรงยกกองทัพเข้าปราบปรามหัวเมืองต่าง ๆ ในอาณาจักรฟูนานเพื่อรวมเข้ากับอาณาจักรเจนละ พระเจ้าภววรมันที่ 1 เข้าพิธีบรมราชาภิเษกในปี พ.ศ.1123 เป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรเจนละ โดยพระองค์สวรรคตในปี พ.ศ.1143 เจ้าชายจิตรเสน ซึ่งตามาคือพระเจ้ามเหนทรวรมัน ได้ทำการชิงราชสมบัติจากพระโอรสของพระองค์ และขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรเจนละสืบมา[1][2]

พงศาวลี

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Claude Jacques, “'Funan', 'Zhenla'. The reality concealed by these Chinese views of Indochina”, in R. B. Smith and W. Watson (eds.), Early South East Asia: Essays in Archaeology, History, and Historical Geography, New York, Oxford University Press, 1979, pp. 371–9, p. 373.
  2. สถาบันกษัตริย์เขมรโบราณจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 13 ,หอสมุดวังท่าพระ(PDF)