พลับพลึงธาร | |
---|---|
![]() | |
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Plantae |
ไม่ได้จัดลำดับ: | Angiosperms |
ไม่ได้จัดลำดับ: | Monocots |
อันดับ: | Asparagales |
วงศ์: | Amaryllidaceae |
วงศ์ย่อย: | Amaryllideae |
สกุล: | Crinum |
สปีชีส์: | C. thaianum |
ชื่อทวินาม | |
Crinum thaianum Schulze[2] (1971) |
พลับพลึงธาร หรือ หอมน้ำ (อังกฤษ: Onion plant, Thai onion plant, Water onion) พืชน้ำชนิดหนึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์: Crinum thaianum อยู่ในวงศ์พลับพลึง (Amaryllidaceae) ถือได้ว่าเป็นพืชน้ำที่สวยงามและหายากมากที่สุดชนิดหนึ่ง โดยพบได้เฉพาะที่จังหวัดระนองตอนล่างและพังงาตอนบน[2][3] ในจังหวัดระนองพบที่คลองนาคา ตำบลนาคา อำเภอสุขสำราญ และที่คลองบางปรุ ตำบลกะเปอร์ อำเภอกะเปอร์ ส่วนที่จังหวัดพังงา พบที่คลองตาผุด บ้านห้วยทรัพย์ คลองสวนลุงเลื่อน ตำบลคุระ อำเภอคุระบุรี คลองนายทุย คลองบ้านทับช้าง คลองบ้านโชคอำนวย ตำบลแม่นางขาว อำเภอคุระบุรี และตามคลองย่อยต่าง ๆ ในเขตรอยต่ออำเภอคุระบุรีและอำเภอตะกั่วป่า เป็นพืชเฉพาะถิ่น ไม่พบที่ใหนในโลก ปัจจุบันพบเหลือแค่ร้อยละ 1 เท่านั้น และพบขึ้นอยู่อย่างกระจัดกระจาย จึงได้ขึ้นเป็นบัญชีพืชที่ใกล้สูญพันธุ์ของโลก (IUCN Redlist) เมื่อปี ค.ศ. 2011 สาเหตุของการลดลงเนื่องจาก การเก็บหัวจำหน่ายเป็นพืชน้ำประดับ[4][5] และจากสาเหตุการขุดลอกคลองเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม
เป็นพืชอวบน้ำ ดอกมีสีขาว มี 6 กลีบ ในก้านชูดอกหนึ่ง ๆ จะมีหลายก้านดอก จะทะยอยบานติดต่อกันไป ดอกหนึ่ง ๆ จะมีก้านเกสร 6 อัน มีเกสรสีเหลืองที่ปลายก้านเกสร ตรงกลางดอกจะมีก้านเกสรตัวเมียโผล่มาจากแกนกลางของดอก หลังจากผสมเกสร กะเปาะเมล็ดจะเจริญเติบโตที่โคนก้านดอก กะเปาะหนึ่งจะมีจำนวนเมล็ดที่ไม่เท่ากัน มีลักษณะบูดเบี้ยวเป็นทรงที่ไม่แน่นอน พอเมล็ดแก่จะหลุดออกจากกะเปาะ พัฒนาสายรกออกด้านใดด้านหนึ่งของเมล็ด ตรงปลายสายรกจะพัฒนาเป็นต้นใหม่และมีรากยึดติดกับพื้นคลอง ในระหว่างที่รากยังไม่สามารถเกาะยึดพื้นคลองได้ เมล็ดจะเป็นแหล่งอาหารให้กับต้นอ่อนได้นาน 3–4 เดือน หัวมีลักษณะคล้ายหัวหอม จึงมีชื่อเรียกว่า "หอมน้ำ" หัวจะโผล่ขึ้นเหนือผิวดินประมาณ 1 ใน 3 เพื่อป้องกันการเน่า ใบจะเป็นสีเขียวเรียวยาวเหมือนริบบิ้น[2] ความยาวขึ้นอยู่กับระดับน้ำ บางพื้นที่ที่น้ำลึกใบอาจจะยาวได้ถึง 4 เมตร
พลับพลึงธารเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย ดินทราย และดินร่วนเหนียวปนทราย ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ของดินประมาณ 5.17–5.42 ปริมาณอินทรียวัตถุร้อยละ 1.03–2.33 ปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ 9.23–13.23 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และปริมาณโพแทสเซียมที่เป็นประโยชน์ 28.35–51.47 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม โดยพลับพลึงธารเติบโตในบริเวณลำธารหรือลำคลองสายสั้น ๆ สภาพน้ำใสสะอาด ความลึกของน้ำประมาณ 36–75 เซนติเมตร อุณหภูมิของน้ำ 26–28 องศาเซลเซียส ความโปร่งแสง 36–75 เซนติเมตร ค่าการนำไฟฟ้า (EC) 21.75–50.66 ไมโครซีเมนส์ต่อเซนติเมตร ค่า pH ของน้ำ 6.21–6.44 ปริมาณออกซิเจนที่ละลายน้ำได้ 6.34–7.73 มิลลิกรัมต่อลิตรและค่าความกระด้างของน้ำ 13.65–19.88 มิลลิกรัมต่อลิตร[6] ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำที่อุดมสมบูรณ์ เป็นลำคลองที่มีการไหลเวียนของน้ำดีแต่กระแสน้ำไม่แรงมากเกินไป พลับพลึงธาร ถือว่าเป็นดรรชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของน้ำและลำคลองได้ จะออกดอกและบานสะพรั่งในช่วงหน้าแล้งของพื้นที่อันดามันตอนบน ประมาณปลายเดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม ดอกมีความสวยงามประกอบกับความหายาก จึงทำให้ได้รับฉายาว่า "ราชินีแห่งสายน้ำ"
พลับพลึงธารมีชื่อเรียกในท้องถิ่นว่า "หัวหญ้าช้อง" ปัจจุบันนิยมเรียกว่าพลับพลึงธาร มากกว่าหอมน้ำ เพราะมีดอกคล้ายดอกพลับพลึง แต่ขึ้นอยู่ในน้ำ ซึ่งสถานะของพลับพลึงธารยังมิได้ถูกบรรจุในบัญชีของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าใกล้สูญพันธุ์ หรือ CITES และไม่ได้รับการการคุ้มครองภายใต้กฎหมายใดใดในประเทศไทย และแม่น้ำลำคลองที่เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของพลับพลึงธาร ก็ยังไม่มีกฎหมายใดใด ให้การคุ้มครอง อย่างไรก็แล้วแต่ ในระดับพื้นที่ ชุมชนและกลุ่มอนุรักษ์ต่าง ๆ ในหมู่บ้านที่พบพลับพลึงธาร ได้มีกิจกรรมการอนุรักษ์และฟื้นฟู และมีกฎระเบียบต่าง ๆ ที่ห้ามการขุดหาหัวพลับพลึงธารเพื่อการค้า เช่น ชมรมเพลินไพรศรีนาคา กลุ่มอนุรักษ์คลองบางปรุ กลุ่มอนุรักษ์บ้านห้วยทรัพย์ กลุ่มอนุรักษ์บ้านนายทุย และกลุ่มอนุรักษ์บ้านบางซอย พลับพลึงธารบ้านบางวัน เป็นต้น ภายใต้การสนับสนุนขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) และเครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำอันดามันตอนบน
ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Crinum thaianum ที่วิกิสปีชีส์