พายุหมุนหลังเขตร้อน (อังกฤษ: Post-tropical cyclone) คิออดีตพายุหมุนเขตร้อน[1] โดยมีการแบ่งประเภทของพายุหมุนหลังเขตร้อนออกเป็นสองประเภท คือ
ไม่ใช่ทุกระบบพายุจะเข้าสู่ภาวะสองประเภทด้านบน ตามหลักเกณฑ์แล้ว ระบบที่ไม่มีคุณลักษณะของแนวปะทะอากาศ แต่มีความเร็วลมมากกว่า 34 นอต อาจไม่ถูกจัดเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำที่หลงเหลือก็ได้ โดยจะอธิบายเป็นเพียงระบบหลังเขตร้อน (Post-tropical)[4]
อย่างไรก็ตาม ถ้าพายุหมุนเขตร้อนอ่อนกำลังลงเป็นคลื่นเขตร้อน (Tropical wave) หรือร่อง มันจะไม่ถูกจัดเป็นพายุหมุนหลังเขตร้อน โดยมันจะถูกกล่าวถึงเป็น "ส่วนหลงเหลือของ (ชื่อของพายุหมุนเขตร้อน)" แทน
เมเตโอ-ฟร็องส์ มีการจัดประเภทกับระบบในมหาสมุทรอินเดียใต้ฝั่งตะวันตกที่กำลังอยู่ในกระบวนการการเปลี่ยนผ่านไปเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อน หรือสูญเสียคุณลักษณะของเขตร้อนไปแล้ว เป็น "พายุดีเปรสชันหลังเขตร้อน" โดยนับตั้งแต่ฤดูพายุไซโคลนมหาสมุทรอินเดียตะวันตก-ใต้ พ.ศ. 2555–2556 พายุจะได้รับการจัดประเภทใหม่อีกครั้งเป็นพายุดีเปรสชันหลังเขตร้อนเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว[5]
พายุหมุนหลังเขตร้อนก่อนตัวเมื่อลักษณะทั่วไปของพายุหมุนเขตร้อนถูกแทนที่ด้วยลักษณะของพายุหมุนนอกเขตร้อน หรือที่เรียกว่าการเปลี่ยนผ่านไปเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อน[6] หลังจากการก่อตัวขั้นต้นแล้ว พายุหมุนหลังเขตร้อนมีศักยภาพที่จะมีกำลังแรงขึ้นในฐานะของพายุหมุนนอกเขตร้อนได้[6] ถ้าพายุหมุนหลังเขตร้อนกลายเป็นพายุหมุนเขตร้อน ในขั้นสุดท้ายแล้ว มันจะสลายตัวโดยกระบวนการปิด (Process of occlusion)[7]
การมีกำลังมากขึ้นของพายุหมุนหลังเขตร้อนสามารถทำให้เกิดสภาพแวดล้อมอันตรายในเส้นทางเดินเรือของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือได้ โดยทำให้ทะเลมีคลื่นสูงและลมแรงเทียบได้กับพายุหมุนเขตร้อน[6]
ในตอนแรกมีการใช้คำนี้โดยศูนย์เฮอร์ริเคนแคนาดา เมื่อปี 2541 ในระหว่างที่มีพายุโซนร้อนบอนนี[8] และต่อมาในปี 2551 ศูนย์เฮอร์ริเคนแห่งชาติก็ได้ใช้คำนี้กับพายุโซนร้อนลอรา เพื่อกำหนดคำจัดกัดระหว่างสองประเภท (พายุหมุนนอกเขตร้อน/หย่อมความกดอากาศต่ำที่หลงเหลือ) ดังที่กล่าวไปข้างต้น[9] และคำดังกล่าวได้รับการรับรองโดยบริการลมฟ้าอากาศแห่งชาติสหรัฐ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2551[4]