พิธีราชาภิเษกในโอเชียเนีย เป็นพิธีที่มีความเกี่ยวเนื่องในประวัติศาสตร์ของประเทศในโอเชียเนีย ที่เคยมีระบอบราชาธิปไตยโดยถูกยกเลิกไปแล้ว และประเทศที่ยังคงมีสถาบันกษัตริย์อยู๋ พิธีราชาภิเษกแบบดั้งเดิมของพระมหากษัตริย์ในโอเชียเนียยังคงมีลักษณะในรูปแบบชนเผ่า ตามประเพณีของชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิม ก่อนที่พิธีราชาภิเษกในบางประเทศจะถูกแปรเปลี่ยนไปตามอิทธิพลของวัฒนธรรมยุโรป และการเผยแพร่ของคริสต์ศาสนา ที่เข้ามาแทนที่ศาสนาและประเพณีของชนเผ่าพื้นเมือง เช่น ในกรณีของราชอาณาจักรตองงาและราชอาณาจักรฮาวาย
พิธีราชาภิเษกของภูมิภาคโอเชียเนียสามารถแบ่งตามประเทศได้ดังนี้
เซรู เอเพนิซา คาโคบาอู หัวหน้าชนเผ่าแห่งเกาะเกาะบาอู ได้ใช้ปืนใหญ่และปืนคาบศิลาของตะวันตกสร้างกองทัพควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของฟีจี พระองค์ได้รับการสวมมงกุฎในฐานะพระมหากษัตริย์ฟิจิที่เป็นชาติอธิปไตยจากพ่อค้าและผู้อยู่อาศัยชาวยุโรป ซึ่งต้องการรัฐบาลที่มั่นคงในฟีจีเพื่อให้ช่วยปกป้องการลงทุนในธุรกิจของตน[1] คาโคบาอูประกอบพิธีราชาภิเษกในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1867 ในฐานะกษัตริย์แห่งบาอู และได้รับการยอมรับในฐานะพระมหากษัตริย์ฟีจี ในปี ค.ศ. 1871 พระองค์ทรงจัดตั้งระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่ทั้งสถานิติบัญญัติและคณะรัฐมนตรีล้วนเป็นชาวต่างชาติ หลังจากนั้นอำนาจอธิปไตยของฟีจีถูกเปลี่ยนผ่านไปยังราชาธิปไตยแห่งสหราชอาณาจักร เนื่องจากพระองค์ทรงยอมถวายตำแหน่งกษัตริย์และหัวหน้าเผ่าสูงสุดแก่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย จนกระทั่งฟีจีได้รับเอกราชในปีค.ศ. 1970 ปัจจุบันฟีจีปกครองด้วยระบอบสาธารณรัฐ แม้ว่าจะยอมรับสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรในฐานะหัวหน้าเผ่าสูงสุด
ราชอาณาจักรฮาวาย ได้ประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกแก่พระเจ้าคาลาคาอัวและสมเด็จพระราชินีคาปิโอลานิ ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1883 ซึ่งพิธีจัดขึ้นหลังจากทรงครองราชย์มาแล้ว 9 ปี โดยทรงครองราชย์สืบต่อจากพระเจ้าลูนาลิโล ในปีค.ศ. 1874 เหตุที่ไม่มีการประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกโดยเร็วนั้นเนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองกำลังวุ่นวาย โดยพระเจ้าคาลาคาอัวกำลังทรงมีความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงกับกลุ่มพรรคพระราชินีเอ็มมา ซึ่งเป็นกลุ่มที่สนับสนุนสมเด็จพระพันปีหลวงเอ็มมา พระราชินีในรัชกาลก่อนหน้าสองรัชกาล คือ พระมเหสีในพระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 4 แห่งฮาวาย โดยกลุ่มพรรคพระราชินีเอ็มมาพยายามสนับสนุนความทะเยอทะยานของสมเด็จพระพันปีหลวงในการขึ้นครองราชบัลลังก์ พระนางพยายามก่อการรัฐประหารโดยการสนับสนุนจากฝรั่งเศสเพื่อล้มบัลลังก์ของพระเจ้าคาลาคาอัวในการเลือกตั้งพระมหากษัตริย์ปีค.ศ. 1874 แต่แผนการล้มเหลวด้วยกองทัพอเมริกันและอังกฤษเข้ามาปราบปรามการจลาจล
หลังจากการจลาจลจบลง ก็ได้มีการประกอบพิธีราชาภิเษกในอีก 9 ปีถัดมา พระราชพิธีราชาภิเษกและงานเลี้ยงเฉลิมฉลองถูกจัดขึ้นอย่างแพร่หลายเป็นระยะเวลาสองสัปดาห์[2] พระเจ้าคาลาคาอัวทรงปฏิญาณตนอย่างรวดเร็วในฐานะพระมหากษัตริย์ที่ตึกคินาอูฮาเล ซึ่งเป็นตึกส่วนกรมวังถัดจากพระราชวังอิโอลานี โดยพระมหากษัตริย์สามพระองค์ก่อนหน้า ทรงประกอบพิธีสถาปนาที่โบสถ์คาวาอิอาฮาโอ ที่ซึ่งพระมหากษัตริย์ต้องทรงสวมผ้าคลุมขนนกของพระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 1 แห่งฮาวาย ปฐมกษัตริย์ ไว้ที่พระอังสา ซึ่งสังเกตได้ชัดว่ามีการปรับเปลี่ยนพระราชพิธีที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิม
มงกุฎทองคำถูกผลิตขึ้นในประเทศอังกฤษเพื่อใช้ในพิธีสวมมงกุฎของพระเจ้าคาลาคาอัว และมีการตั้งพลับพลาปะรำพิธีขนาดใหญ่ด้านหน้าพระราชวังอิโอลานีที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ ที่ซึ่งเหล่าพระราชวงศ์เสด็จมาพร้อมทรงถือ คาฮีลี (Kahili) อันเป็นสัญลักษณ์โบราณประจำราชวงศ์ฮาวาย พระเจ้าคาลาคาอัวทรงได้รับการถวายมงกุฎจากเรเวอเรนด์ แม็กคินทอร์ช จากนั้นทรงสวมมงกุฎลงบนศีรษะด้วยพระองค์เอง เนื่องจากไม่มีผู้ใดทรงศักดิ์สิทธิ์ไปกว่าองค์อาลีอิ (Aliʻi; พระประมุขในภาษาฮาวาย) จากนั้นพระองค์ทรงสวมมงกุฎแก่สมเด็จพระราชินี แต่มงกุฎไม่สามารถวางลงบนพระเกศาของสมเด็จพระราชินีที่มีการทำอย่างประณีตได้ พระองค์จึงต้องทรงกดมงกุฎลงไปจนแน่น ทำให้สมเด็จพระราชินีทรงมีน้ำพระเนตรไหลด้วยความเจ็บ เจ้าหญิงลีลีโอกาลานี พระขนิษฐาในพระเจ้าคาลาคาอัว ทรงบรรยายถึงเหตุการณ์ในช่วงสวมมงกุฎว่า ดวงอาทิตย์ถูกบดบังด้วยก้อนเมฆซึ่งเป็นการเปิดทางให้กับดาวเจิดจรัสแสงเพียงดวงเดียวเท่านั้น เนื่องจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเวลากลางวัน ดังนั้นมันจึงเป็นความรู้สึกของพยานในเหตุการณ์ที่ได้ร่วมจดจำเอาไว้[3] พระราชพิธีจบลงด้วยการร้องเพลงสรรเสริญของคณะประสานเสียง และมีการสวดภาวนา ปัจจุบันพลับพลาปะรำพิธีของพระเจ้าคาลาคาอัวถูกใช้เป็นเวทีสำหรับวงดุริยางค์หลวงฮาวายใช้สำหรับจัดแสดง[4]
สมเด็จพระราชินีนาถลีลีโอกาลานี ครองราชย์สืบต่อจากพระเจ้าคาลาคาอัวในปี ค.ศ. 1891 โดยไม่มีการจัดพระราชพิธีราชาภิเษกเนื่องจากเกิดการล้มล้างราชอาณาจักรฮาวายในปีค.ศ. 1893 โดย คณะปฏิวัติคือ ทหารจากสหรัฐอเมริกาและพ่อค้าชาวยุโรปและอเมริกา เพื่อจัดตั้งสาธารณรัฐฮาวายขึ้น แต่เป้าหมายสูงสุดของการปฏิวัติคือการผนวกฮาวายรวมเข้ากับประเทศสหรัฐอเมริกา
นีวเว ไม่เหมือนเกาะอื่นๆในพอลินีเชีย เนื่องจากนีวเวไม่มีรัฐบาลของชาติปกครองประเทศหรือไม่มีหัวหน้าเผ่าคนหนึ่งคนใดที่ปกครองเกาะแต่เพียงผู้เดียวจนล่วงมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ก่อนหน้านั้นเหล่าหัวหน้าเผ่าและหัวหน้าของหลายๆครอบครัวได้มีการใช้อำนาจปกครองผู้คนภายใต้อาณัติของตนเองอย่างแตกต่างกัน ในช่วงประมาณค.ศ. 1700 แนวคิดเกี่ยวกับราชาธิปไตยเพิ่งเริ่มเกิดขึ้นจากการรับวัฒนธรรมโดยติดต่อคบค้าสมาคมกับซามัวและตองงา และทำให้หลังจากนั้นมีองค์ปาตูอิกิ (Patu-iki) หรือกษัตริย์ปกครองเกาะ กษัตริย์พระองค์แรกคือปูนิมาตาซึ่งทำพิธีสรงน้ำในปาปาเตอา ใกล้กับเขตฮาคูปูของเกาะนีวเว เกาะแห่งนี้ถูกผนวกเข้ากับราชบัลลังก์อังกฤษโดยปาตูอิกิพระองค์ที่ 8 คือ พระเจ้าโตกีอาปูลูโตอากีทรงยินยอมมอบเกาะให้กับอังกฤษในปีค.ศ. 1900
ระบอบกษัตริย์ของนีวเวไม่ใช่ระบบสืบราชสันตติวงศ์ทางสายเลือด แต่เหล่าประมุขจะถูกเลือกโดยประชาชนที่มาจากกลุ่มครอบครัวที่มีอิทธิพล หลังจากมีการเลือกตั้งกษัตริย์แล้ว กษัตริย์ทุกพระองค์จะได้รับการเจิมตามประเพณีศักดิ์สิทธิ์แบบโบราณ มากกว่าพิธีแบบยุโรป กษัตริย์พระองค์ใหม่จะต้องสรงน้ำหรือทำพิธีทำความสะอาดร่างกายตามพิธีการโดยชำระล้างด้วยน้ำมันหอมระเหย (มาโนกี; manogi) หัวหน้าเผ่าที่อาวุโสสูงสุดจะทำการเจิมให้แก่ (ฟาคาอูคู; fakauku) กษัตริย์องค์ใหม่ โดยการจุ่มใบลาอูมามาลู (lau-mamālu; เป็นใบเฟิร์นที่พบโดยทั่วไปในเกาะนีวเว) ลงในถ้วยน้ำมันมะพร้าว จากนั้นสลัดใบไปยังพระเศียรของกษัตริย์สามครั้ง หลังพิธีเจิม บทเพลง (โลโลโก; lologo) ได้ถูกบรรเลงและร้องขึ้นในงานเฉลิมฉลอง (คาโตอากา; katoaga) ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่กษัตริย์ พิธีเหล่านี้ยังคงมีอยู่ในปัจจุบันแต่เป็นลักษณะการกล่าวขานเล่ากันปากต่อปากในสังคมชาวพื้นเมืองนีวเว
แต่ละหมู่บ้านจะส่งตัวแทนมาเข้าร่วมพิธี คนอื่นๆจะมีหน้าที่ของตนเองที่หลากหลาย เช่น การจัดเตรียมก้อนหินให้กษัตริย์ประทับนั่งระหว่างพิธีเจิม ซึ่งถูกเรียกว่า เปเป (pepe) ก้อนหินสองก้อนอยู่ในอาโลฟี ซึ่งเป็นก้อนหินที่พระเจ้าตูอิโตกา กษัตริย์องค์ที่ 6 และพระเจ้าฟาตาอาอิกี กษัตริย์องค์ที่ 7 ประทับนั่งในระหว่างพิธีเจิม หินทั้งสองเป็นหินปะการังลักษณะแบนหยาบ สูงประมาณ 4 ฟุตและกว้าง 2 ฟุต หินอื่นๆที่มีลักษณะเหมือนเสาตั้งนอนอยู่ที่หมู่บ้านตูอาปา มีความสูง 12 ฟุต ความยาว 60 ฟุต และความกว้าง 50 ฟุต แต่ก็ไม่ได้มีการบันทึกในประวัติศาสตร์ว่ากษัตริย์พระองค์ใดทรงใช้หินก้อนนี้ทำพิธีเจิม พื้นที่ 70 หรือ 80 หลาถูกใช้เป็นที่วางหินที่นั่งสำหรับเหล่าสภาหัวหน้าเผ่า มีเพียงกษัตริย์สามพระองค์สุดท้ายของนีวเวเท่านั้นที่พิธีเจิมถูกบันทึกโดยชาวตะวันตก ได้แก่ พระเจ้าตูอิโตกา พระมหากษัตริย์ชาวคริสต์พระองค์แรก ทรงประกอบพิธีเจิมในวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 1875, พระเจ้าฟาตาอาอิกีทรงประกอบพิธีเจิมในวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1888 และพระเจ้าโตกีอาปูลูโตอากี ทรงประกอบพิธีเจิมในวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 1898[5]
ราชอาณาจักรราโรตองงาเป็นราชอาณาจักรที่ตั้งอยู่ในหมู่เกาะคุก ราโรตองกามีองค์อารีกี (Ariki) หรือ กษัตริย์หลายพระองค์ปกครองพร้อมๆกัน องค์อารีกีแห่งราโรตองกาจะได้รับการเจิมตามโบราณราชประเพณีโดยประทับนั่งบนแท่นศิลา ในลักษณะที่คล้ายคลึงกับพิธีของกษัตริย์นีวเว แต่พิธีของราโรตองกาจะมีความเก่าแก่กว่านีวเว ในเขตอาราอีเตตองงา (Arai Te Tonga) จะถูกเรียกว่าเขตมาราเอ (Marae) ซึ่งเป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ศูนย์กลางทางจิตวิญญาณของเกาะ แท่งหินถูกเรียกว่าตาอูมาเควา (Tau-Makeva) ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีการประกอบพิธีเจิมให้กษัตริย์หลายพระองค์ในประวัติศาสตร์[5]
หัวหน้าเผ่าต่างๆในหมู่เกาะซามัวจะได้รับการเจิมตามแบบพิธีโบราณดั้งเดิม มาลีเอตัว ตาลาโวอู โตนูมาอีเปอา ทรงเข้าพิธีเจิมที่หมู่บ้านมูลีนูอู บนอาสนะพระที่นั่ง ในวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1879[6] มาลีเอตัว เลาเปปาทรงได้รับการเจิมในวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ. 1880 ตามประเพณีซามัวที่หมู่บ้านมูลีนูอู[7] ในช่วงการครองราชย์ของมาลีเอตัว เลาเปปา เกิดสงครามกลางเมืองซามัวครั้งที่หนึ่ง ช่วงค.ศ. 1886 ถึงค.ศ. 1894 มาตาอาฟา อีโอเซโฟ หนึ่งในหัวหน้าเผ่าสูงสุดของซามัวไม่ยอมรับการขึ้นครองราชย์ของมาลีเอตัว เลาเปปา พระองค์จึงประกาศตนเป็นศัตรูกับกษัตริย์ซามัวด้วยการสนับสนุนของกองทัพสหรัฐอเมริกาที่หวังจะตั้งมาตาอาฟา อีโอเซโฟขึ้นเป็นมาลีเอตัว เพื่อขยายอิทธิพลเหนือเกาะซามัว ส่วนมาลีเอตัว เลาเปปาทรงมีฝ่ายสนับสนุนเป็นกองทัพเยอรมันจึงกลายเป็นการสู้รบกันขนานใหญ่ แต่ในระหว่างการสู้รับนั้นมาลีเอตัว เลาเปปาทรงถูกช่วงชิงราชบัลลังก์ภายในรัฐบาลโดยตาปัว ตามาเซเซ ตีติมาเอีย หนึ่งในสี่หัวหน้าเผ่าที่ทรงอิทธิพลของซามัว เลาเปปาทรงลี้ภัยในวันที่ 17 กันยายน ค.ศ. 1887 จักรวรรดิเยอรมันหันมาสนับสนุนตามาเซเซโดยประกาศให้พระองค์เป็นกษัตริย์แห่งซามัวในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1888
มาตาอาฟา อีโอเซโฟไม่ยอมรับตามาเซเซ เช่นเดียวกับไม่ยอมรับมาลีเอตัว เลาเปปา เกิดการปะทะกันของทหารทั้งสองฝ่าย และการปะทะกันระหว่างกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาและกองทัพเรือของจักรวรรดิเยอรมัน กองทัพของมาตาอาฟา อีโอเซโฟสามารถโจมตีกองทัพของตามาเซเซให้ถอยร่นไปได้ มาตาอาฟา อีโอเซโฟจึงเข้าพิธีเจิมเป็นมาลีเอตัวแห่งซามัวในวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1888 ที่หมู่บ้านฟาเลอูลา บนเกาะอูโปลู[8] มาตาอาฟาทรงตอบโต้การรุกรานของเยอรมันด้วยการเข้าทำลายไร่เพาะปลูกของชาวเยอรมัน จึงทำให้เกิดความไม่พอใจต่อรัฐบาลเยอรมัน ในที่สุดชาติมหาอำนาจทั้งสามได้แก่สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และเยอรมนีได้ตกลงกันเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ซามัว มาตาอาฟาทรงถูกสหรัฐอเมริกาทอดทิ้ง เช่นเดียวกับตามาเซเซที่เยอรมนีเลิกสนับสนุน ผลสรุปก็คือ มาลีเอตัว เลาเปปาทรงกลับคืนสู่ราชบัลลังก์ดังเดิมในฐานะมาลีเอตัวอีกครั้ง[9] ดังนั้นตำแหน่ง "มาลีเอตัว" จึงได้รับการยอมรับจากชาวยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในฐานะ "พระมหากษัตริย์แห่งซามัว" แม้ว่าตำแหน่ง "มาลีเอตัว" จะไม่ใช่หัวหน้าเผ่าที่มีแต่เพียงผู้เดียวในซามัวก็ตาม
มาลีเอตัว เลาเปปาสวรรคตในปีค.ศ. 1898 เป็นชนวนให้เกิดสงครามกลางเมืองซามัวครั้งที่สอง ช่วงปีค.ศ. 1898 ถึง 1899 มาตาอาฟา อีโอเซโฟไม่ทรงยอมรับมาลีเอตัว ตานุมาฟิลิที่ 1 พระโอรสในมาลีเอตัว เลาเปปาในฐานะมาลีเอตัว พระองค์จึงเตรียมก่อสงครามอีกครั้ง แม้ว่ามาลีเอตัว ตานุมาฟิลิที่ 1 จะได้รับการประกาศเป็นพระมหากษัตริย์ซามัวในวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1898 แล้วก็ตาม ช่วงสงครามกลางเมืองครั้งที่สองนี้เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ในครั้งนี้เกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองในซามัว เนื่องจากสหรัฐอเมริกา อังกฤษและฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งเคยสนับสนุนมาตาอาฟามาก่อนกลับไปสนับสนุนมาลีเอตัว ตานุมาฟิลิที่ 1 ในฐานะประมุขที่มีความชอบธรรม พระองค์จึงหันไปขอความช่วยเหลือจากเยอรมันในการช่วงชิงราชบัลลังก์ สงครามกินเวลานานหลายเดือน แม้ว่ามาตาอาฟาจะทรงได้รับชนะหลายครั้ง แต่สงครามก็ทำให้พระองค์ต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก และต่อมาทรงพ่ายแพ้ให้กับฝูงบินเรือรบของอังกฤษและอเมริกา ซึ่งเป็นสิ่งที่กองทหารชาวซามัวไม่สามารถเอาชนะได้ ในที่สุดทางมหาอำนาจจึงได้มีการประนีประนอมและแบ่งซามัว ในปีค.ศ. 1899 เยอรมนีได้หมู่เกาะทางตะวันตก ก่อตั้งเยอรมันซามัว ส่วนสหรัฐอเมริกาได้หมู่เกาะทางตะวันออก ก่อตั้งอเมริกันซามัว อังกฤษยกเลิกการอ้างสิทธิเพื่อแลกกับหมู่เกาะโซโลมอน[10] มาตาอาฟาไปประทับที่เยอรมันซามัวภายใต้การดูแลของเยอรมนี มหาอำนาจยอมรับตามานุฟิลิที่ 1 อีกครั้งในฐานะกษัตริย์วันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1899 มาลีเอตัว ตานุมาฟิลิที่ 1 จึงได้เป็นประมุขดังเดิม พระองค์ประกอบพิธีราชาภิเษกในวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 1899 พระองค์และอุปราช (Vice-king) หรือตำแหน่ง "ตามาเซเซ" (คนละพระองค์กับตามาเซเซผู้ช่วงชิงบัลลังก์ของมาลีเอตัว เลาเปปา) ทรงฉลองพระองค์แบบทหารตะวันตก ห้อมล้อมไปด้วยข้าราชสำนักและทหารในชุดพื้นเมืองในวันราชาภิเษก
แม้ว่าจะมีระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญในปีค.ศ. 1962 ถึง ค.ศ. 2007 เหล่าหัวหน้าเผ่าสูงสุดของซามัวทั้งหลายก็ไม่มีการประกอบพิธีเจิมหรือราชาภิเษกในช่วงนี้ แม้แต่มาลีเอตัว ตานุมาฟิลิที่ 2 กษัตริย์พระองค์สุดท้ายก็ไม่ปรากฏว่าทรงประกอบพิธีราชาภิเษก
ตาฮีตีปกครองโดยพระมหากษัตริย์ชาวพื้นเมือง (มีสมเด็จพระราชินีนาถหนึ่งพระองค์) แห่งราชวงศ์โปมาเร ตั้งแต่ค.ศ. 1788 ถึงค.ศ. 1880 เมื่อพระเจ้าโปมาเรที่ 5 แห่งตาฮีตี กษัตริย์พระองค์สุดท้าย ทรงยินยอมยกประเทศให้ฝรั่งเศส ได้มีการบันทึกรายละเอียดพระราชพิธีราชาภิเษกอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าโปมาเรที่ 2 แห่งตาฮีตี กษัตริย์พระองค์ที่สอง ที่ประกอบพิธีในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1791 พิธีนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่มาโร อูรา (maro ura) คือเข็มขัด หรือ ปั้นเหน่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงสถานะและอำนาจของราชวงศ์โปมาเร ซึ่งทำจากขนนกสีเหลืองและแดง มีความยาวถึง 5 หลา และความกว้าง 15 นิ้ว ขนนกสีดำประดับล้อมรอบด้านบนและด้านล่างของฉลองพระองค์ ฉลองพระองค์คลุมนี้ยังประกอบด้วยเส้นผมสีแดงของริชาร์ด สกินเนอร์ หนึ่งในผู้ก่อการกำเริบของเรือเอช.เอ็ม.เอส เบาวน์ตี้ ซึ่งเลือกที่จะอยู่อาศัยในตาฮีตี เมื่อเฟล็ทเชอร์ คริสเตียนออกเดินทางไปยังหมู่เกาะพิตแคร์น ด้วยสกินเนอร์เป็นช่างตัดผมประจำเรือ เขาจึงได้รับเกียรติจากหมู่ชาวตาฮีตีอย่างเป็นพิเศษ โดยชาวตาฮีตีมองว่าเส้นผมสีแดงของเขาเป็นสิ่งล้ำค่าและได้ขอเส้นผมส่วนหนึ่งมาสานประดับมาโร อูรา ชายธงสีแดงของอังกฤษยังถูกประดับรวมในเข็มขัดนี้ด้วย ซึ่งซามูเอล วอลลิสแห่งเรือเอช.เอ็ม.เอส ดอลฟิน ได้เคยยกธงนี้เหนือตาฮีตี เมื่อเขาได้ประกาศครอบครองเกาะนี้ในฐานะส่วนหนึ่งของพระมหากษัตริย์อังกฤษในปี ค.ศ. 1767 ซึ่งเป็นเวลา 20 กว่าปีก่อน ชาวตาฮีตีชักธงนี้ลงมา และถักทอลงในฉลองพระองค์คลุมขององค์กษัตริย์เพื่อแสดงถึงสัญลักษณ์อำนาจอธิปไตยของตนเองที่มีเหนือเกาะ[11]
ในการรับฉลองพระองค์คลุมนี้ พระเจ้าโปมาเรจะต้องเสด็จไปที่สถานมาราเออันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ กษัตริย์จะทรงสวมฉลองพระองค์คลุมนี้ จากนั้นจะทรงควักลูกตาข้างซ้ายของเหล่าเหยื่อผู้ยอมพลีชีพในการบูชายัญ และจากนั้นทรงทำราวกับว่าจะเสวยดวงตาเหล่านั้น นอกจากนี้พระองค์จะทรงฟังเสียงร้องของนกศักดิ์สิทธิ์ และมีการให้กองพลปืนคาบศิลาระดมยิงไปในท้องฟ้าเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ก่อการกำเริบเรือเบาวน์ตี้ซึ่งมาร่วมพระราชพิธีด้วย ต่อจากนี้ กษัตริย์พระองค์ใหม่จะทรงเต้นรำ ด้วยกันกับบุรุษชาวตาฮีติทั้งหลาย ที่จะเข้ามาทำท่าปกคลุมพระองค์ด้วยอุจจาระและน้ำอสุจิของพวกเขาซึ่งถือเป็นเกียรติยศอย่างสูง[12]
ในปีค.ศ. 1824 เมื่อพระโอรสของพระเจ้าโปมาเรที่ 2 ประกอบพิธีราชาภิเษกเป็น พระเจ้าโปมาเรที่ 3 แห่งตาฮีตี พระราชพิธีของชาวตาฮีตีได้ถูกเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยอยู่ภายใต้อิทธิพลของมิชชันนารีของคริสต์ศาสนิกชนต่างชาติ ในเวลานี้พระราชพิธีตามแบบยุโรปได้ถูกประกาศใช้ตามกฎหมาย โดยยุวกษัตริย์พระองค์ใหม่จะเสด็จขบวนไปยังมหาวิหารหลวงแห่งปาเปเอเต เบื้องหลังของขบวนจะมีเหล่าเด็กสาวเดินโปรยดอกไม้ มาพร้อมกัยผู้ว่าราชการ ผู้พิพากษาและข้าราชการคนอื่นๆ หลังจากทรงเข้ารับการเจิมและสวมมงกุฎ พระเจ้าโปมาเรที่ 3 ทรงได้รับคัมภีร์ไบเบิลและประทานการเทศนาแสดงธรรมให้พระองค์ งานเฉลิมฉลองถูกจัดขึ้นพร้อมกับการประกาศอภัยโทษและมีงานเลี้ยงในพิธีราชาภิเษก
พิธีราชาภิเษกที่ดำเนินการโดยมิชชันนารีโปรแตสแตนต์ ไม่ได้มีเพียงแค่ตาฮีตี แต่มีในเกาะอื่นๆของเฟรนช์พอลินีเชียด้วย รวมถึงราชอาณาจักรฮูอาฮีเน ราชอาณาจักรราอีอาเตอา และราชอาณาจักรบอรา บอรา และแม้กระทั่งเกาะออสทรัลแห่งรูรูตูด้วย
พระมหากษัตริย์ยุคโบราณของตองงาจะประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกที่คานาคูบอลู ใกล้หมู่บ้านฮิฮิโฟ และจะได้รับตำแหน่ง "ตูอิคานาคูบอลู" (Tui Kanakubolu) แต่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์และโบราณของตองงาที่เหล่ากษัตริย์ประทับเพื่อประกอบพิธีได้ถูกฉีกทำลายด้วยพายุในช่วงทศวรรษที่ 1890 พระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 2 แห่งตองงา ทรงมีพระบัญชาให้นำเศษซากของต้นไม้ที่ถูกทำลายนี้มาเลี่ยมฝังประกอบราชบัลลังก์ตองงา[13] พระเจ้าจอร์จที่ 2 และกษัตริย์องค์ต่อมา คือ สมเด็จพระราชินีนาถซาโลเต ตูโปอูที่ 3 แห่งตองงา ประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกในวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 1893 และ 11 ตุลาคม ค.ศ. 1918 ตามลำดับ พระราชพิธีตามธรรมเนียมยุโรปได้ถูกเสนอขึ้นโดยมิชชันนารีตะวันตกที่เดินทางมายังเกาะนี้ ซึ่งได้เข้ามาแทนที่พิธีเก่าอันศักดิ์สิทธิ์ของตองงาดั้งเดิมที่สืบทอดมานานนับศตวรรษ โดยกษัตริย์องค์ใหม่จะทรงดื่มคาวา พร้อมกับการรับอาหารปรุงประเภทหมูและอาหารประเภทต่างๆ
ในปีค.ศ. 1967 ตองงามีการประกอบพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์เตาฟาอาเฮา ตูโปอูที่ 4 ในขณะที่กษัตริย์จอร์จ ตูโปอูที่ 5 ประกอบพิธีราชาภิเษกในปีค.ศ. 2008 และกษัตริย์ตูโปอูที่ 6 กษัตริย์องค์ปัจจุบันในปีค.ศ. 2015 กษัตริย์ทั้งหลายจะต้องทรงเข้าร่วมพิธีที่ประณีตที่มีทั้งมงกุฎทองคำขนาดใหญ่ คฑาและประทับนั่งราชบัลลังก์ การเป็นกษัตริย์ที่นับถือคริสตศาสนาของสถาันกษัตริย์ตองงาได้ถูกเน้นย้ำอีกครั้งในปี 2008 ซึ่งเป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์กับอังกฤษ โดยอาร์กบิชอปนิกายแองกลิคันแห่งพอลินีเซียคือ จาเบซ ไบรซ์ ประกอบพิธีเจิมให้กษัตริย์จอร์จ ตูโปอูที่ 5 ด้วยพิธีศักดิ์สิทธิ์ของคริสต์ ตามรากความเชื่อนิกายอังกฤษ.[14][15][16] อย่างไรก็ตาม ตูอิวาอูอาเวา ผู้อำนวยการสำนักพระราชวังตองงา ได้บรรยายว่า พิธีแบบ "คาวา" ถือเป็น "พิธีราชาภิเษกที่แท้จริง" (ต่อต้านพิธีกรรมแบบตะวันตก) ความเชื่อมั่นตามแนวคิดนี้ได้ถูกสะท้อนโดย มาอูคาคาลา โฆษกประจำราชวงศ์[17]
{{cite book}}
: |ref=harv
ไม่ถูกต้อง (help)