พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค | |
---|---|
![]() พีระพันธุ์ ใน พ.ศ. 2552 | |
รองนายกรัฐมนตรี | |
เริ่มดำรงตำแหน่ง 1 กันยายน พ.ศ. 2566 (1 ปี 9 เดือน 4 วัน) ดำรงตำแหน่งร่วมกับ ดูรายชื่อ
| |
นายกรัฐมนตรี | เศรษฐา ทวีสิน แพทองธาร ชินวัตร |
ก่อนหน้า | ประวิตร วงษ์สุวรรณ วิษณุ เครืองาม จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ อนุทิน ชาญวีรกูล ดอน ปรมัตถ์วินัย สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน | |
เริ่มดำรงตำแหน่ง 1 กันยายน พ.ศ. 2566 (1 ปี 9 เดือน 4 วัน) | |
นายกรัฐมนตรี | เศรษฐา ทวีสิน แพทองธาร ชินวัตร |
ก่อนหน้า | สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม | |
ดำรงตำแหน่ง 20 ธันวาคม พ.ศ. 2551 – 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554 (2 ปี 7 เดือน 20 วัน) | |
นายกรัฐมนตรี | อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ |
ก่อนหน้า | สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ |
ถัดไป | ประชา พรหมนอก |
เลขาธิการนายกรัฐมนตรี | |
ดำรงตำแหน่ง 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565 – 1 กันยายน พ.ศ. 2566 (8 เดือน 12 วัน) | |
นายกรัฐมนตรี | ประยุทธ์ จันทร์โอชา |
ก่อนหน้า | ดิสทัต โหตระกิตย์ |
ถัดไป | พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช |
หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ | |
เริ่มดำรงตำแหน่ง 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565 (2 ปี 10 เดือน 2 วัน) | |
ก่อนหน้า | ธนดี หงษ์รัตนอุทัย (รักษาการ) |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 จังหวัดพระนคร ประเทศไทย |
พรรคการเมือง | ประชาธิปัตย์ (2535–2562) พลังประชารัฐ (2564–2565) รวมไทยสร้างชาติ (2565–ปัจจุบัน) |
คู่สมรส | สุนงค์ สาลีรัฐวิภาค |
ลายมือชื่อ | ![]() |
พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (เกิด 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502) ชื่อเล่น ตุ๋ย เป็นนักการเมืองชาวไทย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (ประยุทธ์ จันทร์โอชา) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
พีระพันธุ์ เกิดเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 ที่จังหวัดพระนคร เป็นบุตรคนที่ 4 ของพลโทณรงค์ สาลีรัฐวิภาค อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์และเจ้ากรมการพลังงานทหาร ผู้ริเริ่มการขุดเจาะน้ำมันที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และผู้ก่อตั้งปั๊มน้ำมันสามทหาร (ปัจจุบันคือ ปตท.) เป็นหลานปู่ของพระยาสาลีรัฐวิภาค (สงวน ไนคีตะเสน) กับคุณหญิงขนิษฐา สาลีรัฐวิภาค ส่วนมารดา โสภาพรรณ สาลีรัฐวิภาค (สกุลเดิม: สุมาวงศ์) อดีตดาวจุฬาฯ คนแรก เป็นบุตรีพระมนูเวทย์วิมลนาท (มนูเวทย์ สุมาวงศ์) อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสหราชอาณาจักร และประธานศาลฎีกา กับคุณหญิงแฉล้ม มนูเวทย์วิมลนาท
ด้านครอบครัวสมรสกับ สุนงค์ สาลีรัฐวิภาค (สกุลเดิม: โทณวณิก) มีบุตร 4 คน ได้แก่ ชลิตา[1], ภัทร[2] และฝาแฝด ภัทรพร-ภัทรพรรณ สาลีรัฐวิภาค[3]
สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษา จากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล ระดับปริญญาตรี นิติศาสตรบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เนติบัณฑิตไทย สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา ระดับปริญญาโทใบแรก กฎหมายอเมริกันทั่วไป (LLM) มหาวิทยาลัยทูเลน สหรัฐอเมริกา ระดับปริญญาโท ใบที่ 2 กฎหมายเปรียบเทียบ (MCL) มหาวิทยาลัยทูเลน สหรัฐอเมริกา สมาคมศิษย์เก่าเซนต์คาเบรียล มอบรางวัล "ศิษย์เก่าดีเด่น" ของโรงเรียนเซนต์คาเบรียล ประจำปี พ.ศ. 2565 (รางวัล John Mary Award) แก่พีระพันธุ์ (เลขประจำตัว ซ.ค.10527 รุ่น SG 46) โดยมีการประกาศผลเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2565[4]
พีระพันธุ์ มีประสบการณ์ทำงานเป็นผู้พิพากษาและข้าราชการตุลาการมาก่อน เข้าสู่แวดวงการเมืองโดยลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2539 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมทีมกับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และธารินทร์ นิมมานเหมินท์ บทบาทในสภาฯ ของพีระพันธุ์ เป็นไปในทางการตรวจสอบการทุจริต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทุจริตจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ของกองทัพ เคยดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) ของสภาผู้แทนราษฎร ในช่วงปี พ.ศ. 2544 – พ.ศ. 2548 มีผลงานสำคัญคือการสอบสวนการทุจริตโครงการก่อสร้างทางด่วนสายบางนา-บางพลี-บางปะกง (ทางพิเศษบูรพาวิถี) หรือ "ค่าโง่ทางด่วน 6,200 ล้านบาท" ซึ่งถูกนำไปใช้ในการต่อสู้คดีในชั้นศาลและชนะคดี ทำให้คนไทยไม่ต้องจ่ายค่าโง่พร้อมดอกเบี้ยนับหมื่นล้านบาท
ในการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2548 พีระพันธุ์ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานครได้ย้ายไปลงสมัครในระบบบัญชีรายชื่อ โดยพรรคส่งพันเอกเฟื่องวิชชุ์ อนิรุทธเทวา ลงสมัคร สส.เขต แทน แต่พันเอกเฟื่องวิชชุ์ไม่ได้รับการเลือกตั้ง
ในการเลือกตั้งในปลายปี พ.ศ. 2550 พีระพันธุ์ได้ลงรับสมัครในเขต 3 กรุงเทพมหานคร ซึ่งประกอบด้วย เขตห้วยขวาง เขตดินแดง และเขตพญาไท คู่กับ ธนา ชีรวินิจ และ สรรเสริญ สมะลาภา สามารถนำทีมชนะการเลือกตั้งทั้ง 3 คน โดยพีระพันธุ์ได้รับคะแนนเสียงเป็นอันดับ 1 ของเขต
ภายหลังการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นฝ่ายค้านพรรคเดียวได้ประกาศจัดตั้งรัฐบาลเงา หรือ ครม.เงา ขึ้น ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่เป็น อดีตผู้พิพากษาและข้าราชการตุลาการ ได้รับเลือกจากที่ประชุมพรรค ให้ทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเงา[5]
พีระพันธุ์ยังทำหน้าที่เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ประธานคณะอนุกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามเว็บไซต์หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณานโยบาย งบประมาณ และประสิทธิภาพกองทัพ รองประธานคณะกรรมาธิการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2552 และกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการวิสามัญอื่นๆ อีกหลายคณะ
วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี[6] ต่อมาในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ[7] และได้รับเลือกตั้งเป็น สส.อีกสมัย
ในการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 พีระพันธุ์ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 16 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และได้รับการเลือกตั้ง[8]
ในวันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2562 พีระพันธุ์ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ โดยให้มีผลทันทีในวันเดียวกัน ทำให้ต้องพ้นจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไปด้วย ส่งผลให้พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล บัญชีรายชื่อลำดับที่ 24 ซึ่งเป็นบุตรสาวคนโตของพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ได้ขยับขึ้นมาทำหน้าที่แทน[9]
วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2562 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 140/2565 แต่งตั้งพีระพันธุ์ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี[10] ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยความเห็นชอบของที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อ 2 วันก่อน (17 ธันวาคม พ.ศ. 2562) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันดังกล่าวเป็นต้นไป[11] ก่อนประกาศลงราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2563[12]
วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 คณะกรรมการบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้มีการประชุมครั้งพิเศษ 10-1/2563 ซึ่งในการประชุมดังกล่าว คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติแต่งตั้งให้พีระพันธุ์ ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทฯ[13]
วันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2564 พีระพันธุ์ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และวันถัดมา (5 ตุลาคม พ.ศ. 2564) ได้รับการแต่งตั้งจากพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้เป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค พร้อมกับสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้น[14]
วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2565 พีระพันธุ์ ได้ให้สัมภาษณ์ว่าเตรียมให้คนไปยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐและสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ กับทางพรรคและนายทะเบียนพรรคการเมืองที่ กกต. ในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2565 เนื่องจากจัดทำโครงสร้างพรรคให้เข้มแข็งเสร็จเรียบร้อยแล้ว[15] จากนั้นวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2565 พีระพันธุ์ได้ให้สัมภาษณ์ว่าได้ให้เจ้าหน้าที่ไปยื่นหนังสือลาออกกับทางพรรคพลังประชารัฐกับทาง กกต. เรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องอนาคตทางการเมืองเมื่อถึงเวลาจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง[16]
เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 พีระพันธุ์ได้รับรางวัล "นักการเมืองแห่งปี" จากสยามรัฐออนไลน์ ในฐานะนักการเมืองที่ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศ จากการพิจารณาคัดเลือกของคณะกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิ[17]
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2565 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 140/2565 แต่งตั้ง คณะกรรมการอำนวยความเป็นธรรมและเร่งรัดการปฏิบัติราชการ โดยมี พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นประธานกรรมการ เพื่อประโยชน์ในการเร่งรัดการแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนผู้ร้องเรียนและผู้ร้องทุกข์ และการอำนวยความเป็นธรรมให้ประชาชนโดยเร็ว[18]
เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565 พีระพันธุ์ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในการประชุมใหญ่วิสามัญครั้งที่ 1/2565 ของพรรค โดยชูนโยบายการแก้ไขกฎหมายล้าสมัย และสร้างสังคมเท่าเทียม
พีระพันธุ์ เปิดเผยว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นพรรคที่ได้รวบรวมกลุ่มคนทำงาน ที่มีความรู้ความสามารถ ทั้งคนที่มีประสบการณ์ในการเป็น สส.ทำงานรับใช้พี่น้องประชาชนมาแล้ว ผู้ที่เคยเป็น สส. และคนรุ่นใหม่ที่มีความตั้งใจจะเข้ามาทำงานในฐานะนักการเมือง เพื่อขับเคลื่อนประเทศชาติตามวิสัยทัศน์หลักของพรรค คือการสร้างความเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีโอกาสในการดำรงชีวิตในทุกมิติอย่างเท่าเทียมกัน โดยพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นพรรคการเมืองที่มุ่งเรื่องของการทำงานมากกว่าการเล่นการเมือง และมองเห็นเรื่องของการทำงานเพื่อประเทศชาติประชาชนเป็นสำคัญ[19]
เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 324/2565 แต่งตั้ง นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี แทนที่ดิสทัต โหตระกิตย์ ที่ลาออกก่อนหน้านี้ ตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันเดียวกัน[20]
ในการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 พีระพันธุ์ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 สังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ และได้รับการเลือกตั้ง[21] แต่ต่อมาเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2566 พีระพันธุ์ได้ลาออกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อความสะดวกในการดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี[22]
เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2566 นายพีระพันธุ์ ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ตามพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ในพระราชกิจจานุเบกษาที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2566[23]
ส่วนหนึ่งของผลงานนายพีระพันธุ์ที่ปรากฎในเว็บไซต์ของพรรครวมไทยสร้างชาติ[24]
ส่วนนี้อาจต้องเขียนใหม่ทั้งหมดเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพของวิกิพีเดีย หรือกำลังดำเนินการอยู่ คุณช่วยเราได้ หน้าอภิปรายอาจมีข้อเสนอแนะ (ธันวาคม 2024) |
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ‘พีระพันธุ์’ ได้ใช้ความรู้ความสามารถและความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ในการสร้างความเป็นธรรมและปกป้องผลประโยชน์ของชาติบ้านเมือง โดยเป็นผู้ยกร่างและผลักดันให้มี พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่คู่สัญญาที่ไม่มีโอกาสต่อรองเงื่อนไขสัญญา และเป็นผู้ยกร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับ การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 เพื่อป้องกันการ “ฮั้วประมูล” ด้วย
นอกจากนี้ ‘พีระพันธุ์’ยังเป็นผู้ยกร่างและเสนอให้มีการปรับปรุงแก้ไขประมวลกฎหมายอาญายกเลิกอายุความคดีทุจริต ซึ่งส่งผลให้คดีทุจริตไม่มีอายุความอีกต่อไป ทั้งนี้เพื่ออุดช่องว่างไม่ให้ผู้กระทำผิดหลีกเลี่ยงการรับโทษ รวมทั้งเป็นผู้ยกร่าง “กฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการทหาร” ที่ผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อ พ.ศ. 2550 และมีผลใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน[25]
ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ‘พีระพันธุ์’ ยังคงผลักดันร่างกฎหมายในนามของพรรค ผ่านกลไกของรัฐสภาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจบัตรเครดิต ที่เขาเป็นผู้ยกร่างและเสนอเข้าสภาฯ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคจากการคิดอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่ไม่เป็นธรรม [26] และ ร่าง พ.ร.บ.ประมง เพื่อพลิกฟื้นการทำอาชีพประมง โดยเฉพาะประมงพื้นบ้าน และอุตสาหกรรมประมง ให้กลับมาเป็นเศรษฐกิจหลักของประเทศอีกครั้ง [27] รวมถึง ร่าง พ.ร.บ. สร้างเสริมสังคมสันติสุข ที่เสนอให้มีการนิรโทษกรรมผู้ชุมนุมทางการเมืองเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ โดยพรรคมีจุดยืนสำคัญที่จะไม่นิรโทษกรรมผู้ที่ละเมิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่นิรโทษกรรมให้กับผู้ที่ทำการทุจริตคอร์รัปชัน และไม่นิรโทษกรรมให้ผู้ที่กระทำความผิดอาญาอย่างร้ายแรง เช่น ฆ่าผู้อื่น หรือทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้สูญเสียแก่ชีวิต [28]
ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ‘พีระพันธุ์’ ได้ใช้กลไกทางกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศตามแนวทาง “รื้อ ลด ปลด สร้าง” ที่เริ่มต้นจากการ “รื้อ” โครงสร้างพลังงานทั้งระบบ ด้วยการยกร่างและปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อ “ลด”ภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประชาชน พร้อม “ปลด” ล็อคกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคด้านพลังงาน และ “สร้าง” ระบบพลังงานของประเทศขึ้นใหม่ให้ดีกว่าเดิม เพื่อให้เกิดความมั่นคง เป็นธรรม และยั่งยืนด้านพลังงานของประเทศ และเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทย[29]
ส่วนนี้อาจต้องเขียนใหม่ทั้งหมดเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพของวิกิพีเดีย หรือกำลังดำเนินการอยู่ คุณช่วยเราได้ หน้าอภิปรายอาจมีข้อเสนอแนะ (ธันวาคม 2024) |
‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ถือเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการปกป้องเงินภาษีของประชาชนหลายหมื่นล้านบาท จากการนำทีมต่อสู้คดี “ค่าโง่” โฮปเวลล์ หรือ โครงการระบบการขนส่งทางรถไฟและถนนยกระดับในเขตกรุงเทพมหานคร ที่เริ่มต้นโครงการตั้งแต่ปี 2533 แต่มีปัญหาสร้างไม่เสร็จ และถูกเอกชนฟ้องร้องเรียกเสียหายจำนวนมหาศาลจากการยกเลิกสัมปทาน แถมรัฐบาลยังแพ้คดีทั้งในชั้นอนุญาโตตุลาการเมื่อปี 2551 และในชั้นศาลปกครองสูงสุดเมื่อปี 2562 ซึ่งทำให้รัฐบาลมีภาระที่จะต้องนำเงินภาษีไปจ่ายให้กับบริษัทโฮปเวลล์รวม 2.4 หมื่นล้านบาท และเป็นตำนาน ‘ค่าโง่’ ที่อาจทำให้คนไทยต้องเสียเงินค่าภาษีหลายหมื่นล้านบาทกับโครงการที่ไม่เกิดประโยชน์
‘พีระพันธุ์’ ได้ติดตามศึกษาคดีมหากาพย์โฮปเวลล์อย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2562 หลังจากที่ได้อ่านคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่ตัดสินว่าคดีนี้ไม่ขาดอายุความ แต่ก่อนหน้านั้น ศาลปกครองกลางที่เป็นศาลชั้นต้นของศาลปกครองเคยมีคำตัดสินคดีเดียวกันนี้ว่า คดีโฮปเวลล์ขาดอายุความ
หลักกฎหมายเรื่อง “อายุความ” นี้เป็นจุดสนใจให้ ‘พีระพันธุ์’ ทำการสืบค้นเพิ่มเติมและพบว่า ศาลปกครองกลางได้เคยวินิจฉัยบนพื้นฐานของพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ ที่บัญญัติไว้ว่า"การนับอายุความ" ให้นับตั้งแต่วันที่รู้หรือควรรู้เหตุแห่งการฟ้องคดี โดยไม่ได้มีบทเฉพาะกาลยกเว้นไว้ว่า คดีนั้นจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลังเปิดทำการศาลปกครอง แต่ปรากฏว่า ศาลปกครองสูงสุดใช้ “มติของที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด” เป็นหลักในการตัดสินว่า คดีที่เกิดขึ้นก่อนศาลปกครองเปิดทำการ ให้นับตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม 2544 ซึ่งเป็นวันที่ศาลปกครองเปิดทำการ จึงส่งผลให้คดีโฮปเวลล์ยังไม่ขาดอายุความตามกฎหมาย
อย่างไรก็ดี ‘พีระพันธุ์’ มีความเห็นต่างในเรื่องนี้โดยชี้ว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดให้ ศาลทุกศาล รวมถึงศาลปกครอง ต้องตัดสินตามกฎหมายเท่านั้น แต่หากเห็นว่ากฎหมายที่มีอยู่ยังไม่ครอบคลุมในประเด็นปัญหาสำหรับคดีที่เกิดขึ้นก่อน ก็ต้องไปให้รัฐสภาดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายดังกล่าว ไม่สามารถใช้ "มติที่ประชุมใหญ่" เป็นหลักในการตัดสินได้เพราะขัดต่อหลักรัฐธรรมนูญ
จากนั้น ‘พีระพันธุ์’ ได้เข้ามามีบทบาทหลักในการต่อสู้คดีนี้ ตั้งแต่ในชั้นสภาผู้แทนราษฎร ผู้ตรวจการแผ่นดิน ศาลรัฐธรรมนูญ จนถึงศาลปกครองสูงสุด ในฐานะหัวหน้าทีมสืบค้นพยานหลักฐานต่างๆ และข้อพิรุธในการทำสัญญาคดีโฮปเวลล์ อีกทั้งยังเป็นผู้ยกร่างคำร้องต่าง ๆ ด้วยตนเอง เพื่อขอให้มีการพิจารณาคดีใหม่และขอให้งดการบังคับคดี
ถึงแม้ในเบื้องต้น ศาลปกครองชั้นต้นจะยกคำร้องไม่ให้มีการพิจารณาคดีใหม่ แต่ ‘พีระพันธุ์’ และคณะทำงานได้ขออุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดอีกครั้ง จนในที่สุด ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2565 ให้พิจารณาคดีโฮปเวลล์ใหม่ และต่อมาในวันที่ 14 มีนาคม 2565 ศาลปกครองกลางก็ได้มีคำสั่งงดการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดคดีโฮปเวลล์ ทำให้กระบวนการบังคับคดีที่เคยให้ภาครัฐต้องจ่ายเงินให้แก่บริษัทโฮปเวลล์ (ประเทศไทย) พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี รวม 25,711 ล้านบาท ต้องหยุดพักไว้ก่อน จนกว่าการพิจารณาคดีโฮปเวลล์ใหม่จะได้ข้อยุติ
ต่อมา ศาลปกครองกลางได้ดำเนินการพิจารณาคดีใหม่ และมีคำตัดสินเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2566 เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทย ชดใช้ค่าเสียหายแก่ บริษัทโฮปเวลล์ฯ เนื่องจากการใช้สิทธิเรียกร้องของบริษัทดังกล่าวขาดอายุความตามกฎหมาย ทำให้รัฐบาลไม่ต้องนำเงินภาษีของประชาชนไปจ่ายค่าโง่หลายหมื่นล้านบาท จากการทำงานอย่างมุ่งมั่นของ ‘พีระพันธุ์’ และทีมงาน ซึ่งยังคงติดตามสะสางคดีนี้ต่อไปในชั้นศาลแพ่ง
ในคืนวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ที่มีการรัฐประหารโดย คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) มีทหารกลุ่มหนึ่งได้บุกเข้าไปในบ้านพีระพันธุ์ ด้วยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นบ้านของ พลตำรวจตรี พีรพันธุ์ เปรมภูติ อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน นายตำรวจคนสนิทของ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งทำให้ พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะต้องโทรศัพท์มาขอโทษด้วยตัวเอง[30]
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
ก่อนหน้า | พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
ประวิตร วงษ์สุวรรณ วิษณุ เครืองาม จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ อนุทิน ชาญวีรกูล ดอน ปรมัตถ์วินัย สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ |
![]() |
![]() รองนายกรัฐมนตรีไทย (ครม. 63) และ (ครม. 64) (1 กันยายน พ.ศ. 2566 – ปัจจุบัน) |
![]() |
อยู่ในวาระ |
สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ | ![]() |
![]() รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (ครม. 63) และ (ครม. 64) (1 กันยายน พ.ศ. 2566 – ปัจจุบัน) |
![]() |
อยู่ในวาระ |
ดิสทัต โหตระกิตย์ | ![]() |
![]() เลขาธิการนายกรัฐมนตรี (20 ธันวาคม พ.ศ. 2565 – 1 กันยายน พ.ศ. 2566) |
![]() |
พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช |
สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ | ![]() |
![]() รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (ครม. 59) (20 ธันวาคม พ.ศ. 2551 – 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554) |
![]() |
ประชา พรหมนอก |
ธนดี หงษ์รัตนอุทัย | ![]() |
![]() หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (3 สิงหาคม พ.ศ. 2565 — ปัจจุบัน) |
![]() |
อยู่ในตำแหน่ง |