ม้าเจ๊ก (หม่า ซู่) | |
---|---|
馬謖 | |
ภาพวาดม้าเจ๊กสมัยราชวงศ์ชิง | |
ที่ปรึกษา (參軍 ชานจฺวิน) | |
ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. 223 – ค.ศ. 228 | |
กษัตริย์ | เล่าเสี้ยน |
หัวหน้ารัฐบาล | จูกัดเหลียง |
เจ้าเมืองอวดจุ้น (越嶲太守 เยฺว่ซีไท่โฉ่ว) (ภายใต้เล่าปี่) | |
ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. ? – ค.ศ. ? | |
กษัตริย์ | พระเจ้าเหี้ยนเต้/ เล่าปี่ (ตั้งแต่ ค.ศ. 219) |
นายอำเภอเซงโต๋ (成都令 เฉิงตูลิ่ง) (ภายใต้เล่าปี่) | |
ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. 214 – ค.ศ. ? | |
กษัตริย์ | พระเจ้าเหี้ยนเต้ |
นายอำเภอกิมก๊ก (綿竹令 เหมียนจู๋ลิ่ง) (ภายใต้เล่าปี่) | |
ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. 213 – ค.ศ. ? | |
กษัตริย์ | พระเจ้าเหี้ยนเต้ |
ก่อนหน้า | บิสี |
เจ้าหน้าที่ผู้ช่วย (從事 ฉงชื่อ) (ภายใต้เล่าปี่) | |
ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. 209 – ค.ศ. 213 | |
กษัตริย์ | พระเจ้าเหี้ยนเต้ |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | ค.ศ. 190[a] เมืองอี๋เฉิง เมืองซงหยง (ปัจจุบันคือนครอี๋เฉิง มณฑลหูเป่ย์) |
เสียชีวิต | ค.ศ. 228 (38 ปี)[a] |
ญาติ |
|
อาชีพ | ขุนพล, นักยุทธศาสตร์ |
ชื่อรอง | โย่วฉาง (幼常) |
ม้าเจ๊ก (ค.ศ. 190–228)[a][2] มีชื่อในภาษาจีนกลางว่า หม่า ซู่ (จีนตัวย่อ: 马谡; จีนตัวเต็ม: 馬謖; พินอิน: Mǎ Sù) ชื่อรอง โย่วฉาง (จีน: 幼常; พินอิน: Yòucháng) เป็นขุนพลและนักยุทธศาสตร์การทหารของรัฐจ๊กก๊กในยุคสามก๊กของจีน ม้าเจ๊กมีความสามารถโดดเด่นในเรื่องทฤษฎีการทหารและได้รับความชื่นชมจากจูกัดเหลียงผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีของจ๊กก๊ก อย่างไรก็ตามความผิดพลาดทางยุทธวิธีของม้าเจ๊กในยุทธการที่เกเต๋งทำให้จ๊กก๊กพ่ายแพ้ครั้งใหญ่แก่เตียวคับขุนพลของวุยก๊กที่เป็นรัฐอริ ม้าเจ๊กเป็นน้องชายของม้าเลี้ยง
ม้าเจ๊กเกิดที่อำเภออี๋เฉิง (宜城) เมืองซงหยง (襄陽 เซียงหยาง) ซึ่งปัจจุบันคือนครอี๋เฉิง มณฑลหูเป่ย์ ม้าเจ๊กในหนึ่งในพี่น้องห้าคนของตระกูลม้าซึ่งทุกคนมีชื่อเสียงในด้านสติปัญญาและเป็นที่รู้จักกันทั่วในชื่อว่า "ห้าฉาง" (五常 อู่ฉาง) เพราะชื่อรองของทุกคนล้วนมีอักษร "ฉาง" (常) อยู่ในชื่อ โดยม้าเลี้ยงพี่ชายของม้าเจ๊กจะถือว่ามีความสามารถมากที่สุดในบรรดาพี่น้องห้าคน [3] นอกเหนือจากความสามารถและความรู้ด้านการทหารแล้ว ม้าเจ๊กยังได้รับบรรยายลักษณะว่าเป็นชายสูงประมาณ 8 ฉื่อ (ประมาณ 1.84 เมตร) มีมนุษยสัมพันธ์ดีและหาเพื่อนเก่ง มีความคิดแจ่มใสและเชี่ยวชาญลึกซึ้ง[4]
ม้าเจ๊กร่วมกับม้าเลี้ยงเริ่มเข้ารับราชการในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ผู้ช่วย (從事 ฉงชื่อ) ของเล่าปี่เมื่อราวปี ค.ศ. 209 เมื่อเล่าปี่สืบทอดตำแหน่งเจ้ามณฑลเกงจิ๋ว (ครอบคลุมพื้นที่ของมณฑลหูเป่ย์และมณฑลหูหนานในปัจจุบัน) ถัดจากเล่ากี๋ ในปี ค.ศ. 211 ม้าเจ๊กติดตามเล่าปี่เข้ามณฑลเอ๊กจิ๋ว ภายหลังเมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างเล่าปี่และเล่าเจี้ยง ม้าเจ๊กได้ติดตามเล่าปี่ในกองทัพและทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการทหารร่วมกับบังทองและหวดเจ้ง ม้าเจ๊กได้รับแต่งตั้งเป็นนายอำเภอ (令 ลิ่ง) ของอำเภอกิมก๊ก (綿竹 เหมียนจู๋) และเซงโต๋ (成都 เฉิงตู) ภายหลังม้าเจ๊กย้ายไปทำหน้าที่เป็นเจ้าเมืองอวดจุ้น (越嶲太守 เยฺว่ซีไท่โฉ่ว) เมืองทางใต้ที่กำลังประสบปัญหา เมืองอวดจุ้นเป็นถิ่นที่อยู่ของชนเผ่าพื้นเมืองจำนวนมาก ซึ่งหลายเผ่าไม่ยอมรับอำนาจของเล่าปี่ จึงเป็นที่ตั้งของการจลาจลโดยชนเผ่าสำคัญที่นำโดยโกเตง (高定 เกา ติ้ง) หัวหน้าของชนเผ่าโสฺ่ว (叟族 โสฺ่วจู๋) ในปี ค.ศ. 218 ซึ่งก็ถูกปราบปรามได้สำเร็จด้วยความช่วยเหลือจากลิเงียม[5][6]
เนื่องจากม้าเจ๊กมีพรสวรรค์และความสามารถที่เหนือกว่าผู้อื่นและชอบหารือเกี่ยวกับการวางแผนและกลยุทธ์ จูกัดเหลียงหัวหน้าที่ปรึกษาของเล่าปี่จึงประทับใจม้าเจ๊กและยกย่องม้าเจ๊กในฐานะบุคคลที่มีความสามารถเป็นพิเศษ[7] อย่างไรก็ตาม ก่อนเล่าปี่จะสวรรคตในปี ค.ศ. 223 ได้เตือนจูกัดเหลียงว่าความรู้และคำพูดของม้าเจ๊กเกินกว่าความสามารถที่แท้จริงของตัวม้าเจ๊กเอง และไม่ควรมอบหมายหน้าที่สำคัญให้[8] แต่จูกัดเหลียงไม่ใส่ใจต่อคำเตือนนั้น แต่งตั้งให้ม้าเจ๊กเป็นที่ปรึกษาการทหาร (參軍 ชานจฺวิน) ไม่นานหลังจากเล่าปี่สวรรคต ทั้งสองสนิทกันมากและมักสนทนากันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ[9]
ระหว่างการศึกกับเบ้งเฮ็ก ม้าเจ๊กออกไปส่งจูกัดเหลียงหลายสิบลี้ จูกัดเหลียงบอกม้าเจ๊กว่า "หลายปีมาแล้วที่เราวางกลยุทธ์ร่วมกัน บัดนี้จะขอให้ท่านช่วยด้วยการวางแผนอันชาญฉลาดของท่าน"[10]
ม้าเจ๊กตอบจูกัดเหลียงว่า "หนานจงอาศัยการที่ห่างไกลจากราชธานีและเข้าถึงลำบากจึงไม่ยอมสวามิภักดิ์มาช้านาน ถ้าเราปราบปรามและจากไป วันพรุ่งก็อาจก่อกบฏขึ้นอีก บัดนี้ท่านกำลังจะรวบรวมทั้งรัฐและทหารเพื่อบุกขึ้นเหนือปราบโจรทรงอำนาจ เมื่อทางใต้รู้ว่าอำนาจของราชสำนักอ่อนแอก็จะก่อกบฏขึ้นอีกครั้งทันที แต่หากเผ่าทั้งหมดถูกล้างบางเพื่อยุติความกังวลในอนาคตก็ดูจะไร้มนุษยธรรมเพราะไม่ใช่วิถีของผู้ทรงคุณธรรม นอกจากนั้นก็คงจะเสียเวลาจัดการอย่างมาก ข้าพเจ้าเรียนรู้มาว่าในวิถีของการใช้กำลังพล "โจมตีใจเป็นทางที่ดีที่สุด โจมตีเมืองเป็นทางที่เลวที่สุด การทำสงครามทางจิตวิทยาเป็นทางที่ดีที่สุด การทำสงครามด้วยกำลังทหารเป็นทางที่เลวที่สุด" ดังนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าท่านควรจะมุ่งเน้นไปที่การสยบจิตใจของพวกเหล่านั้น"[11]
จูกัดเหลียงทำตามคำแนะนำของม้าเจ๊ก ให้อภัยแก่เบ้งเฮ็กหลายครั้งเพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจจากผู้คนทางใต้ ด้วยเหตุนี้ภาคใต้จึงไม่ก่อกบฏขึ้นอีกตราบจนจูกัดเหลียงเสียชีวิต[12]
ในปี ค.ศ. 228 จูกัดเหลียงเริ่มการบุกเหนือรบกับวุยก๊ก เวลานั้นมีผู้นำทัพที่มีประสบการณ์อย่างอุยเอี๋ยนและงออี้ มีที่ปรึกษาหลายคนในกองทัพเสนอให้แต่งตั้งคนใดคนหนึ่งเป็นผู้บัญชาการทัพหน้า แต่จูกัดเหลียงไม่เห็นด้วยกับเสียงส่วนใหญ่และเลือกม้าเจ๊กเป็นผู้บัญชาการทัพหน้าแทน[13]
กองกำลังของม้าเจ๊กเผชิญหน้ากับกองกำลังของเตียวคับที่เกเต๋ง ที่เกเต๋งนี้เองที่ม้าเจ๊กทำผิดพลาดทางยุทธวิธีอย่างร้ายแรง ม้าเจ๊กไม่เชื่อฟังคำสั่งของจูกัดเหลียงที่ให้ตั้งกองกำลังภายในตัวเมืองเกเต๋ง กลับนำกำลังไปตั้งค่ายบนเนินเขาแทนโดยเชื่อว่าบนที่สูงจะช่วยได้เปรียบมากขึ้นในแง่ของการสังเกตการณ์และจุดโจมตี อองเป๋งผู้ใต้บังคับบัญชาของม้าเจ๊กไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของม้าเจ๊กโดยให้เหตุผลว่าทางน้ำของพวกตนอาจถูกข้าศึกตัดขาดและกองกำลังก็จะถูกล้อมไว้ แม้ว่าคำแนะนำที่ดีของอองเป๋งจะถูกปฏิเสธ แต่ม้าเจ๊กก็อนุญาตให้อองเป๋งนำกำลัง 1,000 นายไปตั้งค่ายใกล้กับทัพจ๊กก๊กเพื่อคอยสนับสนุน[14][15]
การณ์เป็นไปตามที่อองเป๋งคาดไว้ เมื่อเตียวคับใช้ประโยชน์จากความผิดพลาดของม้าเจ๊กเข้าตัดทางน้ำของค่ายจ๊กก๊กเป็นผลสำเร็จ ทหารที่กระหายน้ำของฝ่ายจ๊กก๊กพ่ายแพ้อย่างง่ายดายเมื่อเตียวคับเข้าโจมตีค่ายหลัก อองเป๋งซึ่งมีทหารจำนวนน้อยพยายามสุดกำลังเพื่อให้การล่าถอยเป็นไปด้วยดีและสั่งให้ทหารตีกลองเสียงดังเพื่อทำให้ข้าศึกเข้าใจว่ากำลังเสริมมาถึงแล้ว เตียวคับเชื่อว่าเป็นการซุ่มโจมตีจึงไม่ได้ไล่ตาม เมื่อจูกัดเหลียงมาถึงก็ไม่สามารถขับไล่เตียวคับจากที่ตั้งได้จึงล่าถอยไปที่ฮันต๋ง[16][17]
จากบันทึกในชีวประวัติของเอี่ยงลองระบุว่าเอี่ยงลองที่เป็นสหายสนิทของม้าเจ๊กไม่ได้รายงานเรื่องที่ม้าเจ๊กหลบหนี แม้ว่าบันทึกไม่ได้ระบุว่าม้าเจ๊กหลบหนีระหว่างหรือภายหลังยุทธการที่เกเต๋ง[18][b]
แม้ว่าม้าเจ๊กจะรอดชีวิตจากยุทธการ แต่กองกำลังของม้าเจ๊กก็พ่ายแพ้ย่อยยับ (อองเป๋งสามารถรวมกองกำลังที่กระจัดกระจายได้อีกครั้ง) ดังนั้นจึงถูกจับในเวลาต่อมาไม่นานและถูกตัดสินโทษประหารชีวิตโดยจูกัดเหลียงผู้ซึ่งออกคำสั่งอย่างไม่เต็มใจพร้อมหลั่งน้ำตา[19][c] เพื่อปลอบประโลมมวลชน ((亮)戮謖以謝眾。) (แปลว่า (จูกัด) เหลียงประหาร (ม้า) เจ๊กเพื่อขอขมาโทษแก่ราษฎร) ก่อนที่จะถูกประหารชีวิตม้าเจ๊กเขียนหนังสือถึงจูกัดเหลียงว่า "ท่านผู้ปราดเปรื่องมองข้าพเจ้าดั่งบุตรชายและตัวข้าพเจ้าเองก็มองท่านดั่งบิดา ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่านี่คือความชอบธรรมในการประหารชีวิตกุ่นซึ่งนำไปสู่ความรุ่งโรจน์ของต้า-ยฺหวี่ ขอให้ความสัมพันธ์ทั้งชีวิตของเราไม่ลดลงไปกว่านี้ แม้ว่าข้าพเจ้าจะตาย แต่ข้าพเจ้าก็ไม่มีความแค้นเคืองต่อแผ่นดินเหลือง"[20] เวลานั้นทหารหลายคนร้องไห้ให้กับการเสียชีวิตของม้าเจ๊ก[21]
ภายหลังเมื่อเจียวอ้วนเดินทางมาฮันต๋ง ได้พูดกับจูกัดเหลียงในเรื่องนี้ว่า "ในอดีต รัฐฉู่สังหารเต๋อเฉิน (得臣) เมื่อจิ้นเหวินกงทราบเรื่องก็ยินดี ทุกวันนี้แผ่นดินยังไม่เป็นปึกแผ่น แต่ท่านนำนักยุทธศาสตร์ผู้มีความรู้ไปสู่ความตาย ไม่น่าเสียดายหรอกหรือ" จูกัดเหลียงตอบทั้งน้ำตาว่า "สาเหตุที่ซุนวูสามารถปกครองแผ่นดินก็เพราะมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างโปร่งใส ฉะนั้นด้วยเหตุเพราะหยาง ก้าน (楊干) ทำให้กฎหมายสับสน เว่ย์ เจี้ยง (魏絳) จึงสังหารคนขับรถของตน บัดนี้แผ่นดินยังคงแตกแยกและสงครามเพิ่งเริ่มต้น หากเราละทิ้งกฎหมายอีก จะปราบกบฏได้อย่างไร"[22]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
{{cite book}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)