ระฆังพระเจ้าธรรมเจดีย์

ระฆังพระเจ้าธรรมเจดีย์
ဓမ္မစေတီခေါင်းလောင်းကြီး
ที่ตั้งจมอยู่ใต้แม่น้ำย่างกุ้ง
ประเภทระฆังวัด
วัสดุสัมฤทธิ์
การเปิด5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1484
อุทิศแด่เจดีย์ชเวดากอง

ระฆังพระเจ้าธรรมเจดีย์ (พม่า: ဓမ္မစေတီခေါင်းလောင်းကြီး [dəma̰zèdì kʰáʊɰ̃láʊɰ̃ dʑí]) เป็นระฆังสัมฤทธิ์ ที่เชื่อกันว่าเป็นระฆังที่ใหญ่ที่สุดที่เคยหล่อมา โดยหล่อขึ้นเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1484 ตามคำสั่งของพระเจ้าธรรมเจดีย์แห่งอาณาจักรหงสาวดี เพื่ออุทิศแด่เจดีย์ชเวดากอง[1]

ลักษณะ

[แก้]

ใน ค.ศ. 1484 โหรหลวงของพระเจ้าธรรมเจดีย์แนะนำให้พระองค์เลื่อนการหล่อระฆังออกไป เนื่องจากเป็นช่วงฤกษ์ไม่ดีของกลุ่มดาวจระเข้ และเขาทำนายว่าระฆังจะไม่ส่งเสียงใด ๆ ออกมา เมื่อระฆังหล่อเสร็จสิ้นแล้วก็มีเสียงที่ไม่น่าประทับใจ[1]

ตามบันทึกสมัยนั้น ระฆังนี้หล่อขึ้นจากโลหะหนัก 180,000 viss (294 ตัน) ซึ่งรวมถึง เงิน ทอง ทองแดง และดีบุก กล่าวกันว่าระฆังนี้สูง 12 ศอกและกว้าง 8 ศอก[2] ในปี ค.ศ. 1583 กัสปาโร บัลบี พ่อค้าอัญมณีชาวเวนิสได้มาเยี่ยมชมเจดีย์ชเวดากอง และบรรยายถึงระฆังพระเจ้าธรรมเจดีย์ในบันทึกส่วนตัวของเขาว่ามีการแกะสลักจากบนลงล่างด้วยข้อความที่เขาไม่สามารถถอดรหัสได้:

"ข้าพเจ้าพบระฆังขนาดใหญ่ใบหนึ่งในห้องโถงวัด และพบว่ามีรอบก้าวเดินเจ็ดก้าวกับอีกสามฝ่ามือ เต็มไปด้วยตัวอักษรตั้งแต่บนลงล่าง แต่ไม่มีชาติใดเข้าใจตัวอักษรเหล่านี้"[2][3][4]

การโจรกรรมจากเจดีย์ชเวดากอง

[แก้]

นักสำรวจและพ่อค้าชาวยุโรปเริ่มติดต่อกับพม่าตอนล่างในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 ฟีลีปึ ดึ บรีตู อี นีโกตึ ขุนศึกและทหารรับจ้างชาวโปรตุเกส หรือที่ชาวพม่าเรียกว่า งะซีนกา เดินทางมาถึงพม่าตอนล่างในช่วงปี ค.ศ. 1590 ในเวลานั้นสิเรียม (ปัจจุบันเรียกว่า ตาน-ลยีน) เป็นท่าเรือที่สำคัญที่สุดในอาณาจักรตองอูของพม่า

ปี ค.ศ. 1599 ฟีลีปึ ดึ บรีตูได้นำกองกำลังยะไข่เข้ายึดครองดินแดนสิเรียมและหงสาวดี ซึ่งเป็นเมืองหลวงของพม่าตอนล่าง กษัตริย์แห่งยะไข่แต่งตั้งฟีลีปึ ดึ บรีตูให้เป็นเจ้าเมืองสิเรียม ในปี ค.ศ. 1600 ฟีลีปึ ดึ บรีตูได้ขยายอำนาจข้ามแม่น้ำพะโคไปยังดากองและชนบทโดยรอบ[2] ฟีลีปึ ดึ บรีตูประกาศอิสรภาพจากกษัตริย์ยะไข่ใน ค.ศ. 1603 และสถาปนาการปกครองของโปรตุเกสภายใต้การนำของ ไอรึช ดึ ซัลดาญา (Aires de Saldanha) อุปราชแห่งอินเดียของโปรตุเกส

ค.ศ. 1608 ฟีลีปึ ดึ บรีตูและลูกน้องได้ขนย้ายระฆังพระเจ้าธรรมเจดีย์ออกจากเจดีย์ชเวดากองและกลิ้งลงจากเขาสิงคุตตระ จากที่นี่ระฆังถูกลากด้วยช้างเพื่อนำไปล่องแพตามแม่น้ำปะซูนดองต่อไปยังแม่น้ำพะโค ระฆังและแพถูกผูกไว้กับเรือธงของฟีลีปึ ดึ บรีตูสำหรับล่องข้ามแม่น้ำไปยังสิเรียมเพื่อหลอมเป็นปืนใหญ่สำหรับเรือ[2] น้ำหนักบรรทุกนั้นหนักเกินไป แพแตกออกและระฆังก็จมลงสู่ก้นแม่น้ำ พร้อมกับพาเรือของฟีลีปึ ดึ บรีตูจมลงไปด้วย ณ จุดบรรจบกันของแม่น้ำพะโคและแม่น้ำย่างกุ้ง ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า มังกี้พอยต์[2][5]

กองทัพพม่าภายใต้การนำของพระเจ้าอะเนาะเพะลูนสามารถยึดเมืองสีเรียมคืนได้ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1613 ฟีลีปึ ดึ บรีตูถูกประหารชีวิตด้วยการเสียบไม้ประจาน[6]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 Blagovest Russian Church Bells. "The World's Three Largest Bells". Russian Church Bells. สืบค้นเมื่อ 22 May 2010.
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 "Myanmar's Largest Bell Underwater". Yangon, Myanmar: Myanmar's NET. 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 April 2010. สืบค้นเมื่อ 22 May 2010.
  3. Gaspero Balbi. "Voyage to Pegu, and Observations There, Circa 1583" (PDF). SOAS, Autumn 2003. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-01-12. สืบค้นเมื่อ 2011-05-08.
  4. Pearn, Bertie Reginald (1939). A History of Rangoon. Rangoon: American Baptist Mission Press. สืบค้นเมื่อ 22 May 2010.
  5. Jim Burroughs (1997). Quest: Bell Beneath Sea - Burma's Sacred Bell. PBS Home Video, WinStar Home Video. amgworkid:V 176942. สืบค้นเมื่อ 22 May 2010.
  6. Donald Frederick Lach; Edwin J. Van Kley (1998). Asia in the Making of Europe, Volume III: A Century of Advance. Book 3: Southeast Asia. Chicago, Illinois: The University of Chicago Press. pp. 1126–1130. ISBN 978-0-226-46768-9. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 June 2011. สืบค้นเมื่อ 22 May 2010.