มีการแนะนำว่า บทความนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนควรย้ายไปโครงการวิกิตำรา (อภิปราย) เนื่องจากการจัดรูปแบบเนื้อหาไม่ตรงตามนโยบายของวิกิพีเดียที่เป็นสารานุกรม และอาจเข้ากับโครงการวิกิตำรามากกว่า |
รายการจัดตัวเอง (อังกฤษ: self-organizing list) เป็นรายการที่มีการจัดการลำดับความสำคัญขององค์ประกอบภายในรายการด้วยตัวเอง โดยที่อิงจากการวิเคราะห์พฤติกรรมในการจัดตัวเองเพื่อปรับปรุงเวลาในการเข้าถึงข้อมูลโดยเฉลี่ย
ซี่งมีจุดมุ่งหมาย ของรายการจัดตัวเอง คือ ปรับปรุงประสิทธิภาพของการค้นหาเชิงเส้นด้วยการย้ายรายการที่เข้าถึงบ่อยไปอยู่ที่บริเวณหัวของรายการ
กรณีที่ข้อมูลหรือโหนดที่ต้องการเข้าถึงนั้นเป็นส่วนหัวของข้อมูล ซึ้งจะทำให้มีความซับซ้อนเป็น
กรณีที่ข้อมูลหรือโหนดที่ต้องการเข้าถึงนั้นเป็นส่วนท้ายของข้อมูล หรือไม่มีอยู่ในรายการ ซึ้งจะทำให้มีความซับซ้อนที่มีการทำงานแบบเชิงเส้นเป็น
ไม่ว่าจะทำการเข้าถึงข้อมูลที่ตำแหน่งใดใด ก็จะทำการย้ายข้อมูลนั้นไปไว้ต้นรายการเสมอ
สามารถปรับรูปแบบการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
จะจัดลำดับความสำคัญของข้อมูลนั้นได้ยาก
def move2front(array,selectNode):
n = len(array)
for i in range(0,n):
if (selectNode == array[i]):
item = array.pop(i)
array.insert(0, item)
return array
return array
จากโค้ดในบรรทัดที่ 3 และ6 มีความซับซ้อนเป็น จึงทำให้ best case และ worst case โค้ดมีความซับซ้อน เหมือนกัน
ข้อมูลแต่ละตำแหน่งจะมีการเก็บค่าจำนวนครั่งในการเข้าถึงข้อมูลนั้นจากนั้นจะมีการเรียงลำดับข้อมูลใหม่ตามความถี่ที่เข้าถึงข้อมูล ซึ่งวิธีการนี้ต้องใช้พื้นที่เพิ่มเติมในการจัดเก็บข้อมูล
ท้อนให้เห็นถึงรูปแบบการเข้าถึงข้อมูลที่แท้จริงให้สมจริงมากขึ้น
ต้องมีพื้นที่เพิ่มในการเก็บจำนวนที่นับ และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ค่อนข้างยาก
def freqCount(array,user,memory):
n = len(array)
for i in range(0,n):
if (array[i] == user ):
itemL = array.pop(i)
itemC = memory.pop(i)
itemC += 1
for p in range(0,n):
if (memory[p] <= itemC):
array.insert(p, itemL)
memory.insert(p, itemC)
return [array, memory]
return [array, memory]
จากโค้ดในบรรทัดที่ 3 และ8 มีความซับซ้อนเป็น จึงทำให้ best case โค้ดมีความซับซ้อน และ worst case โค้ดมีความซับซ้อน เพราะมี 2-nested loop
ไม่ว่าจะทำการเข้าถึงข้อมูลที่ตำแหน่งใดใด ก็จะทำการย้ายข้อมูลนั้นปางหน้าเสมอ
ใช้งานง่ายและใช้หน่วยความจำน้อย
ต้องเข้าถึงหลายข้อมูลเพื่อที่จะย้ายเพียงครั้งเดียว และใช้เวลามากเมื่อข้อมูลที่ต้องการมีตำแหน่งอยู่ไกล
def transpose(array,user):
n = len(array)
for index in range(0, n):
if (index == 0 and user == array[index]):
return array
elif (user == array[index]):
temp = array[index-1]
array[index-1] = array[index]
array[index] = temp
return array
return array
จากโค้ดในบรรทัดที่ 2 มีความซับซ้อนเป็น จึงทำให้ best case และ worst case โค้ดมีความซับซ้อน เหมือนกัน