บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
บทความนี้อาจต้องการตรวจสอบต้นฉบับ ในด้านไวยากรณ์ รูปแบบการเขียน การเรียบเรียง คุณภาพ หรือการสะกด คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ |
รีวอิจิ คาวามูระ 河村隆一 | |
---|---|
ข้อมูลพื้นฐาน | |
ชื่อเกิด | คาวามูระ ริวอิจิ |
เกิด | 20 พ.ค. 2513 (อายุ 46) |
ที่เกิด | คานางาว่า ญี่ปุ่น |
แนวเพลง | ป็อป, ร็อก ,บัลลาด |
อาชีพ | นักดนตรี, นักร้อง ,นักประพันธ์ |
เครื่องดนตรี | ร้อง กีตาร์ เปียโน |
ช่วงปี | พ.ศ. 2532-ปัจจุบัน |
ค่ายเพลง | Avex Entertainment |
อดีตสมาชิก | Tourbillion |
เว็บไซต์ | http://www.kawamura-fc.com |
รีวอิจิ คาวามูระ (ญี่ปุ่น: 河村隆一; โรมาจิ: Kawamura Ryuichi) เป็นนักร้อง โปรดิวเซอร์ และนักประพันธ์ของญี่ปุ่นในเครือ เอเว็กซ์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ริวอิจิสร้างชื่อเสียงในฐานะนักร้องนำวงร็อกญี่ปุ่น ลูน่าซี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 จนถึงปี พ.ศ. 2543 ก่อนจะผันตัวเองเป็นศิลปินเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จมากคนหนึ่งของญี่ปุ่นจนถึงปัจจุบัน
รีวอิจิ คาวามูระ เริ่มเล่นดนตรีขณะเป็นนักเรียนและเป็นนักร้องนำของวง Slaughter ต่อมาได้รับการชักชวนจากอิโนะรันให้ไปร่วมตั้งวงดนตรีใหม่กับสุงิโซ เจ และชินยะ โดยทั้งห้าได้ใช้ชื่อวง "ลูนาซี่" (Lunacy) ที่มีความหมายว่า "ความบ้าคลั่ง" และเริ่มเล่นดนตรีตามผับ ขณะนั้น Lunacy เริ่มผลิตงานเพลงเป็นของตัวเองในรูปแบบเทปเดโมวางขายหน้าผับที่พวกเขาไปแสดงและร่วมกันขายบัตรเข้าชมด้วยตัวเองซึ่งสามารถเรียกผู้ชมและเกิดแฟนคลับกลุ่มเล็กๆ คอยติดตามชมการแสดงสดของพวกเขาในเวลาต่อมา กระทั่งปี 1991 Lunacy เปลี่ยนชื่อเป็น "Luna Sea" (ลูนาซี) และออกอัลบั้มแรกใช้ชื่อเดียวกันกับวง ฝีมือดนตรีของลูนาซีประทับใจ ฮิเดะโตะ มัทซึโมะโตะ มือกีตาร์วงร็อกชื่อดัง เอ็กซ์ เจแปน จนทั้งห้าคนได้เซ็นสัญญาเป็นวงดนตรีสังกัดเอ็กสเตซี่ย์ เร็คคอร์ดส์ (Exstasy Records) ของ โยะชิกิ ฮะยะชิ มือกลองวงเอ็กซ์ เจแปนในปี 1992 ก่อนจะย้ายมาอยู่สังกัด Sweet Child และออกผลงานอัลบั้มอีก 5 ชุดจนถึงปี 2000 ซึ่งได้รับความนิยมล้นหลามจนสามารถก้าวขึ้นเป็นวงร็อกที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดวงหนึ่งของญี่ปุ่นในทศวรรษ 90
หลังจากลูนาซีออกอัลบั้มสไตล์ "STYLE" พร้อมคอนเสิร์ตใหญ่ในปี 1996 แล้ว สมาชิกทั้งห้าได้ลงความเห็นที่จะพักงานของวงในปี 1997 เพื่อหาประสบการณ์ใหม่ๆทางดนตรี ริวอิชิปรับสไตล์การร้องเพลงใหม่จากร็อกดุดันเป็นป็อบและบัลลาด เริ่มเป็นศิลปินเดี่ยวและออกมินิอัลบั้มแรก "Cranberry Soda" ตามด้วยอัลบั้ม "Love" ในช่วงปลายปีซึ่งชุดนี้ได้รับความนิยมสูงเนื่องจากทำยอดขายทั้งประเทศได้ถึง 1,021,000 ก๊อปปี้ติด Oricon Chart สูงสุดในสัปดาห์แรกที่วางจำหน่าย กลายเป็นศิลปินชายคนแรกของญี่ปุ่นที่ทำยอดขายอัลบั้มเกินหนึ่งล้านก๊อปปี้ในสัปดาห์แรกที่วางจำหน่ายเลยทีเดียว ขณะเดียวกันอัลบั้ม "Love" สามารถทำยอดขายโดยรวมถึง 2,788,000 ก๊อปปี้กับซิงเกิลยอดนิยมมากมายอาทิ "I Love You" ,"Glass" ,"Beat" ,"Love Is" และ "SET,SU,NA" นอกจากงานเพลงแล้ว ริวอิชิยังได้แสดงละครญี่ปุ่นเรื่อง "Futari" ในบทนักเขียนด้วย กระทั่งปลายปีลูนาซีกลับมารวมตัวอีกครั้ง ริวอิชิและสมาชิกวงอีก 4 คนที่เหลือจึงพักงานเดี่ยวไว้ชั่วคราว ในปี 1999 ริวอิชิได้ไปรับงานโปรดิวเซอร์ช่วยผลิตงานเพลงให้กับศิลปินหลายคนไม่ว่าจะเป็น Azumaya Toga, Hideki และ Izam
หลังลูนาซียุติกิจกรรมของวงในปี 2000 ปลายปีถัดมาริวอิชิย่อชื่อเต็มของตัวเองเป็นนิคเนม "RK" ออกอัลบั้มเดี่ยวชุดที่สอง "Shin'ai -Only One-" กับซิงเกิลติดหูอย่าง "Ne" ,"Shizukana Yoru wa Futari de Iyou" ,"Julia" ,"Koi wo Shiyouyo" และเริ่มเดินสายออกรายการทีวีโปรโมตอัลบั้มมากมายอาทิ Music Station ,CDTV ,Hey Hey Hey ฯลฯ โดยซิงเกิล "Ne" ถูกใช้เป็นเพลงประกอบละครภาคค่ำทางสถานีโทรทัศน์ NTV ในเดือนมีนาคมปี 2001 ริวอิชิเปิดค่ายเพลงเป็นของตัวเองใช้ชื่อว่า "RKM Family" ขณะเดียวกันอีก 3 เดือนถัดมาริวอิชิก็ตั้ง "RKF" ซึ่งเป็นกลุ่มแฟนคลับอย่างเป็นทางการด้วย จากนั้นริวอิชิมีผลงานทำเพลงประกอบภาพยนตร์ "So Faraway" และได้เล่นภาพยนตร์เรื่อง "Picaresque" (ปิคาเรส) ในบทบาทของโอซามุ ดาซาอิ ต่อมาในปี 2002 ริวอิชิมีบทบาทอีกครั้งในละครซีรีส์โทรทัศน์ "Kowloon de Aimashou" และยังเป็นคนแต่งเพลง "Sugar Lady" เป็นเพลงจบของเรื่องซึ่งต่อมาซิงเกิลนี้ก็ทำยอดได้ดี นอกจากนั้นนี่ยังถือเป็นปีแรกที่ริวอิชิได้จัดคอนเสิร์ตเดี่ยวของตัวเองกับแฟนๆต่างประเทศโดยไปเปิดคอนเสิร์ตที่เกาหลี ซึ่งต่อมาเขาตัดสินใจออกหนังสือรวมภาพถ่ายจากทัวร์คอนเสิร์ตครั้งนี้ในปี 2003 ระหว่างนั้นก็ได้เป็นโปรดิวเซอร์ให้กับศิลปินอย่าง Memory Cats และ Kiyoshi ก่อนที่จะออกซิงเกิล "Spoon" และงานเพลงชุดใหม่ "Vanilla" ในช่วงปลายปี 2004 ซึ่งริวอิชิได้เชิญอิโนะรัน อดีตมือกีตาร์เพื่อนร่วมวงลูนาซีมาเป็นแขกรับเชิญด้วย
ช่วงต้นปี 2005 ริวอิชิพักงานชั่วคราวและไปพักผ่อนที่ยุโรปก่อนจะกลับมาอีกครั้งพร้อมประกาศตั้งวง "Tourbillion" (ตูบิยอง) กับสมาชิกอีก 2 คนคือ อิโนะรัน (มือกีตาร์วงลูนาซ๊) และฮิโรอากิ ฮายาม่า มือคีย์บอร์ด/เปียโนจากวง D-LOOP ซึ่งเคยแต่งเพลงให้ w-inds ,hiro และนามิเอะ อามูโระ มาแล้ว ซึ่งอิโนะรันก่อนจะมาร่วมงานกับริวอิชิอีกครั้งก็ไปตั้งวงร็อกดูโอ้กับเคน ลอยด์ ใช้ชื่อ "FAKE?" มาก่อน โดย Tourbillion เป็นโปรเจกต์ชั่วคราวที่มีระยะเวลาทำเพลงแค่ 3 ปีก่อนจะยุบวงไป ทั้งสามออกผลงานอัลบั้มทั้งหมด 2 ชุดคือ HEAVEN (2005) และ A Tide of New Era (2006) ก่อนจะมีซิงเกิลสุดท้าย "Break The Chain" ในปี 2008 ซึ่งถูกใช้เป็นเพลงประกอบซีรีส์แอคชั่นฮีโร่ "Kamen Rider" อีกด้วย
ปี 2007 ถือว่าครบรอบ 10 ปีกับการทำงานในฐานะศิลปินเดี่ยวของคาวามูระ ริวอิจิ จึงตัดสินออกงานเพลงใหม่ 2 ชุดคือ "Orange" และอัลบั้มคัฟเวอร์ชุดที่สอง "Evergreen The Anniversary Edition" โดยเป็นการคัฟเวอร์เพลงเก่าของตัวเองและเพลงยอดนิยมในอดีตของศิลปินญี่ปุ่นมากมายอาทิ "I LOVE YOU" ของยูทากะ โอซากิ ,"Dakishimetai" ของ Mr. Children ,"Yuki no Hana" ของ Mika Nakashima รวมไปถึง "SERAFINE" ของวงร็อก DEAD END ซึ่งเคยเป็นแรงบันดาลใจและอิทธิพลของริวอิจิมาก่อน งานชุดนี้ริวอิจิยังคัฟเวอร์ "AMAPOLA" เพลงภาษาสเปนที่มีชื่อเสียงอีกด้วย จากการวางแผง 2 อัลบั้มใหม่ริวอิจิได้เปลี่ยนสไตล์การร้องเพลงฟังดูเป็นผู้ใหญ่เน้นพลังเสียงมากขึ้นเมื่อเทียบกับงานชุดก่อนๆ นอกจากนี้ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2008 ริวอิจิได้จัดคอนเสิร์ตใหญ่ใช้ชื่อว่า "Yuki no Budokan ~70 Stories~" โดยร้องเพลงทั้งหมด 71 เพลงนาน 4 ชั่วโมงครึ่งเพื่อฉลองครบรอบ 10 ปีในฐานะศิลปินเดี่ยว ซึ่งดีวีดีของการแสดงคราวนี้ถูกวางขายเฉพาะแฟนคลับทางการทางเว็บไซต์ส่วนตัวของริวอิจิเท่านั้น สำหรับงานอื่นๆ ริวอิจิกับวงลูนาซีกลับมาเล่นคอนเสิร์ตด้วยกันอีกครั้งในงาน "Hide Memorial Summit" เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคมเพื่อร่วมรำลึกถึงการจากไป 10 ปีของฮิเดะโตะ มัทซึโมะโตะ มือกีตาร์วงเอ็กซ์ เจแปนที่ล่วงลับไปแล้ว โดยลูนาซีเล่นกับบรรดาวงร็อกที่มีความเกี่ยวพันและชื่นชมฮิเดะมากมาย อาทิ เอ็กซ์ เจแปน ,T.M.Revolution ,MUCC ,Dir en Grey ,Oblivion Dust ในช่วงเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ริวอิจิร่วมแสดงละครเวทีบรอดเวย์ "CHICAGO The Musical" เป็นครั้งแรกรับบททนายความ Billy Flynn โดยร่วมงานกับนักแสดงมีชื่อเสียงของญี่ปุ่น โยกะ วาโอะ และเรียวโกะ โยเนะฮาร่า ขณะเดียวกันก็มีทัวร์คอนเสิร์ตทั่วประเทศรายการ "Tour 2008 Unchangable Songs" นอกจากนั้นริวอิจิยังได้รับเชิญให้ไปร้องเพลงชาติเปิดการแข่งขันรถแข่งรายการ 7th Grand Prix D1 Series รวมไปถึงการแข่งขันฟุตบอลเจลีกของทีมคาชิม่า แอนท์เลอร์มาแล้ว
ต้นปี 2009 ริวอิจิเดินทางไปจัดคอนเสิร์ตเดี่ยวที่ประเทศฮ่องกง ก่อนจะกลับมาออกซิงเกิลใหม่ "Heroine" ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์โดยงานชุดนี้ได้เท็ตสึโระ โอดะ นักร้องนักแต่งเพลงชื่อดังของญี่ปุ่นมาร่วมทำเพลงด้วย จนกระทั่ง 1 เมษายน ริวอิจิปล่อยอัลบั้มใหม่ในรอบสองปี ใช้ชื่อว่า "Piano" สู่ตลาดเพลงอีกครั้งโดยเป็นงานเพลงที่เน้นธีมการใช้เปียโนเป็นเครื่องดนตรีประกอบทุกเพลง ต่อมาในเดือนกรกฎาคมริวอิจิออกหนังสือรวมภาพของเขาเองในชุดกิโมโน ใช้ชื่อว่า "Japanesque" โดยเป็นธีมรักชาติซึ่งริวอิจิกล่าวในบทสัมภาษณ์โปรโมตหนังสือเล่มนี้ว่า "การได้ใส่ชุดกิโมโนถือเป็นความภาคภูมิใจมากที่สุดของผม ผมสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณความเป็นนักสู้" และในเดือนเดียวกัน ริวอิจิได้เดินทางไปเปิดคอนเสิร์ตอีกครั้งที่ประเทศไต้หวัน ต่อมาในช่วงเดือนกันยายน ริวอิจิย้ายสังกัดจาก Columbia Music Entertainment ประกาศเซ็นสัญญากับค่าย Avex Entertainment พร้อมปล่อยซิงเกิลใหม่ "Brilliant Stars" โดยเพลงนี้ถูกใช้ประกอบโฆษณาจิลเวลรี่ใหม่ของแบรนด์ GemCeree ซึ่งริวอิจิมีส่วนร่วมออกแบบด้วย ช่วงปลายปีริวอิจิได้ขึ้นเวที Hard na Yaon ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตรวมศิลปินค่าย Avex เปิดตัวเป็นศิลปินใหม่อย่างเป็นทางการ
ริวอิจิปล่อยซิงเกิลใหม่ "Dakishimete" ในเดือนกุมภาพันธ์เพื่อโปรโมตเครื่องประดับชิ้นใหม่ที่เขาออกแบบเอง โดยเพลงนี้สามารถไต่ถึงอันดับ 5 ใน Oricon Charts เพียงสัปดาห์แรกที่วางจำหน่าย จากนั้นริวอิจิออกอัลบั้มชุดที่ 12 "Sora" และเริ่มเดินสายจัดคอนเสิร์ตโปรโมตอัลบั้มดังกล่าว ในเดือนมิถุนายน 2010 ริวอิจิได้ร่วมแสดงในละครเวทีบรอดเวย์ "Chicago The Musical" อีกเป็นครั้งที่สอง และในเดือนสิงหาคม-กันยายนได้จัดคอนเสิร์ต "No Mic ,No Speakers" ครั้งที่สามโดยเป็นคอนเสิร์ตร้องเพลงไม่ใช้ไมโครโฟนที่ริวอิจิร้องเพลงร่วมกับวงดนตรีออเคสตร้าของญี่ปุ่นซึ่งมีการถ่ายทอดทางสถานีโทรทัศน์ ต่อมาในวันที่ 16 ตุลาคม สถานี BS Fuji เผยแพร่สารคดี Kawamura Ryuichi x Garyuu ซึ่งริวอิจิเดินทางไปถ่ายทำที่นครวัดในประเทศกัมพูชา โดยเป็นการชมทัศนียภาพ การใช้ชีวิตและการเดินทางด้วยกีต้าร์ตัวเดียวพร้อมร่วมกิจกรรมกับทีมงานสถานี โดยริวอิจิแสดงเจตจำนงอยากเปิดการแสดงคอนเสิร์ตครั้งแรกในชีวิตที่นครวัดเนื่องจากประทับใจในทัศนียภาพและความสวยงามของวัด โดยเป็นการร้องเพลงไม่ใช้ไมโครโฟนซึ่งต่อมาสารคดีดังกล่าวได้ถูกวางจำหน่ายเป็นดีวีดีในช่วงต้นปี 2011 แล้ว
คาวามูระ ริวอิจิออกผลงานชุดแรกในปี 2011 ใช้ชื่อ "The Voice" เป็นอัลบั้มคัฟเวอร์ชุดที่สามและเป็นงานคัฟเวอร์เพลงสากลชุดแรกของริวอิจิ โดยมีเพลงโอเปร่าร่วมสมัยมากมายอาทิ "How Deep Is Your Love" ของ Bee Gees ,"Over The Rainbow" ของ Judy Garland ,"My Way" โดย Frank Sinatra ,"Ave Maria" ซึ่งริวอิจิปรับเนื้อร้องใหม่เป็นภาษาญี่ปุ่น ในวันเดียวกัน ริวอิจิยังมีผลงานซิงเกิลใหม่กับวง m.o.v.e ที่ญี่ปุ่นที่ชื่อ "oVertakers" โดยริวอิจิร้องดูเอ็ทในเพลงคู่กับยูริ มัทสึดะ นักร้องของวงและมีสุงิโซ จากวงลูนาซีมาเล่นกีตาร์ประกอบด้วย
ริวอิจิปล่อยซิงเกิลใหม่ "YO GA YONARA…" เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งจะอยู่ในอัลบั้มใหม่ชุดที่ 14 "Fantasia" ที่กำหนดวางจำหน่าย 31 สิงหาคมนี้ ริวอิจิขึ้นคอนเสิร์ตการกุศล "SMILE AGAIN II〜SONG OF HOPE" ในวันที่ 11 สิงหาคมโดยรายได้ทั้งหมดนำไปบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบเหตุแผ่นดินไหวและสีนามิเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
Cranberry Soda | 21 มิถุนายน 2540 |
Love | 22 พฤศจิกายน 2540 |
Shin'ai (深愛 ~Only One~) | 19 ธันวาคม 2544 |
Ningen Shikkaku (人間失格) | 17 กรกฎาคม 2545 |
Very Best of Songs... | 26 กันยายน 2545 |
Dear | 24 มีนาคม 2547 |
Vanilla | 7 เมษายน 2547 |
Evergreen | 24 พฤษภาคม 2549 |
Orange | 20 มิถุนายน 2550 |
Evergreen ~Anniversary Edition~ | 5 ธันวาคม 2550 |
Piano | 4 มกราคม 2552 |
Sora | 24 กุมภาพันธ์ 2553 |
The Voice | 9 มีนาคม 2554 |
Fantasia | 31 สิงหาคม 2554 |
The Voice 2 | 8 สิงหาคม 2555 |
Life | 11 กันยายน 2556 |
Concept RRR -never fear- | 1 ตุลาคม 2557 |
Magic Hour | 28 ตุลาคม 2558 |
Colors of time | 28 กันยายน 2559 |
ริวอิชิมีความสามารถในการแต่งกลอนบทกวีตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนและเป็นสมาชิกหลักในการแต่งเนื้อร้องเพลงของวงลูนาซี ริวอิชิชื่นชอบกีฬามวย กอล์ฟ แข่งรถและเล่นกระดานโต้คลื่นเป็นงานอดิเรก ในการให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร ริวอิชิแสดงความเห็นว่าอาจเปิดธุรกิจขายกระดานโต้คลื่นหากเกษียณจากอาชีพนักร้อง ริวอิชิเริ่มคบหากับซาโน คุมิ นางงามญี่ปุ่นเจ้าของตำแหน่ง "มิส แจแปน ปี 2002" จากคำแนะนำของเพื่อนก่อนที่จะแต่งงานกันในเดือนมกราคม 2549 กระทั่งวันที่ 19 มิถุนายน 2552 ทั้งคู่มีบุตรชายด้วยกัน 1 คน