ฤดูพายุเฮอริเคนแอตแลนติก พ.ศ. 2563 | |
---|---|
แผนที่สรุปฤดูกาล | |
ขอบเขตฤดูกาล | |
ระบบแรกก่อตัว | 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 |
ระบบสุดท้ายสลายตัว | 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 |
พายุมีกำลังมากที่สุด | |
ชื่อ | ไอโอตา |
• ลมแรงสูงสุด | 160 ไมล์/ชม. (260 กม./ชม.) (เฉลี่ย 1 นาที) |
• ความกดอากาศต่ำที่สุด | 917 มิลลิบาร์ (hPa; 27.08 inHg) |
สถิติฤดูกาล | |
พายุดีเปรสชันทั้งหมด | 31 ลูก (สถิติสูงสุด, เท่ากับฤดู 2548) |
พายุโซนร้อนทั้งหมด | 30 ลูก (สถิติสูงสุด) |
พายุเฮอริเคน | 13 ลูก |
พายุเฮอริเคนขนาดใหญ่ (ระดับ 3 ขึ้นไป) | 6 ลูก |
ผู้เสียชีวิตทั้งหมด | ≥ 409 คน |
ความเสียหายทั้งหมด | > 4.103 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ค่าเงิน USD ปี 2020) |
ฤดูพายุเฮอริเคนแอตแลนติก พ.ศ. 2563 คือช่วงของฤดูกาลในอดีตที่เคยมีการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อนในซีกโลกเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นฤดูที่มีกิจกรรมของพายุหมุนเขตร้อนมากที่สุดและสร้างความเสียหายสูงเป็นอันดับที่เจ็ดของแอ่งแอตแลนติกเหนือ นับเป็นฤดูกาลที่ห้าติดต่อกันแล้ว ที่มีกิจกรรมของพายุหมุนเขตร้อนในแอ่งแอตแลนติกเหนือสูงกว่าค่าเฉลี่ยนับแต่ฤดู 2559 แต่นับเป็นฤดูแรกที่มีกิจกรรมของพายุเป็นอย่างมากนับแต่ฤดู 2560 โดยฤดูกาลนี้ประกอบด้วย พายุหมุนเขตร้อนและพายุหมุนกึ่งเขตร้อนรวม 31 ลูก ซึ่งพายุหมุนทุกลูกยกเว้นพายุดีเปรสชันเขตร้อนสิบ ทวีกำลังแรงขึ้นในลำดับถัดไปทั้งสิ้น ดังนั้นจึงมีพายุดีเปรสชันทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนทั้งสิ้น 30 ลูก ในจำนวนนี้ 13 ลูกได้ทวีกำลังแรงต่อเป็นพายุเฮอริเคน และในจำนวนนี้ 6 ลูกมีกำลังเป็นพายุเฮอริเคนขนาดใหญ่ โดยที่มีกำลังแรงที่สุดคือ ไอโอตา มีกำลังเป็นพายุระดับ 5 ตามมาตราเฮอริเคนแซฟเฟอร์–ซิมป์สัน[nb 1] และเป็นฤดูกาลที่สองที่มีการนำระบบการตั้งชื่อพายุด้วยชื่อของตัวอักษรกรีกมาใช้ (ครั้งแรกในฤดู 2548) ในบรรดาพายุที่ได้รับชื่อทั้ง 30 ลูก มีพายุอยู่จำนวน 12 ลูกที่พัดขึ้นฝั่งสหรัฐอเมริกาที่ติดกัน (รัฐที่อยู่ติดกันของสหรัฐ) ซึ่งทำลายสถิติของการพัดขึ้นฝั่ง 9 ลูกในฤดู 2459 นอกจากนี้ยังเป็นฤดูกาลที่ห้าติดต่อกันแล้วที่มีพายุเฮอริเคนระดับ 5 อย่างน้อยหนึ่งลูก ในระหว่างฤดูกาล พายุโซนร้อนจำนวน 27 ลูกได้ทำลายสถิติการก่อตัวแรกสุดไปตามจำนวนพายุ ฤดูกาลนี้ยังมีพายุหมุนเขตร้อนที่มีการทวีกำลังแรงขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นประวัติการณ์ที่ 10 ลูก เทียบเท่ากับฤดู 2538[2] โดยกิจกรรมที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนนี้เกิดจากลานีญา ที่ก่อตัวขึ้นในช่วงฤดูร้อนของปี 2563
ฤดูกาลอย่างเป็นทางการนั้นเริ่มนับในวันที่ 1 มิถุนายน และสิ้นสุดในวันที่ 30 พฤศจิกายน วันเหล่านี้เป็นขอบระยะเวลาตามประวัติศาสตร์ที่จะมีพายุก่อตัวขึ้นมากที่สุดในแอ่งแอตแลนติก อย่างไรก็ตามการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อนสามารถก่อตัวได้ทุกเวลาในปี ดังที่ปรากฏในฤดู 2563 จากการก่อตัวของพายุโซนร้อนอาร์เทอร์และพายุโซนร้อนเบอร์ทา ในวันที่ 16 และ 27 พฤษภาคม ตามลำดับ จึงถือว่าเป็นฤดูกาลที่หกติดต่อกันแล้วที่มีพายุก่อตัวในลักษณะก่อนฤดูกาล (pre-season systems) ต่อมาพายุกริสโตบัลได้ก่อตัวขึ้นในวันแรกของเดือนมิถุนายน และทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 15 คน ปลายเดือนกรกฎาคม พายุแฮนนา ได้เป็นพายุเฮอริเคนลูกแรกของฤดูกาล และพัดขึ้นฝั่งที่เซาท์เท็กซัส ตามด้วยพายุเฮอริเคนไอเซอัส ที่พัดขึ้นฝั่งที่บาฮามาสและรัฐนอร์ทแคโรไลนา โดยพายุทั้งสองมีความรุนแรงเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 1 และสร้างความเสียหายไว้รวม 4.725 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[nb 2] ปลายเดือนสิงหาคม พายุลอราพัดขึ้นฝั่งที่รัฐลุยเซียนา เป็นพายุเฮอริเคนระดับ 4 และกลายเป็นพายุหมุนเขตร้อนที่รุนแรงที่สุดในแง่ความเร็วลมที่พัดขึ้นฝั่งรัฐลุยเซียนา ควบคู่กับพายุเฮอริเคนลาสต์ไอส์แลนด์ในปี 2399[3] พายุลอราสร้างความเสียหาย 1.41 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีผู้เสียชีวิตจำนวน 77 คน เดือนกันยายนเป็นเดือนที่มีกิจกรรมของพายุหมุนเขตร้อนมากที่สุดในสถิติของแอ่งแอตแลนติก โดยมีพายุได้รับชื่อจำนวนสิบลูก เริ่มจาก พายุนานา ซึ่งมีอิทธิพลต่อประเทศเบลีซในฐานะพายุเฮอริเคนระดับ 1, พายุเฮอริเคนพอเลตต์พัดขึ้นฝั่งที่เบอร์มิวดา ซึ่งนับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดู 2557 ก่อนจะมีการเปลี่ยนผ่านไปเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อน จากนั้นได้มีการก่อตัวขึ้นใหม่ (reformed) ใกล้กับอะโซร์สและมีการเคลื่อนไหวอยากผิดปกติ ก่อนจะสลายตัวไปในวันที่ 23 กันยายน, พายุเฮอริเคนแซลลีส่งผลกระทบกับรัฐในชายฝั่งอ่าวของสหรัฐ ส่งผลให้เกิดอุทกภัยอย่างหนัก ขณะที่พายุเฮอริเคนเทดดีได้ส่งผลกระทบกับเบอร์มิวดา ก่อนจะส่งผลกระทบกับแอตแลนติกแคนาดา (ด้านมหาสมุทรแอตแลนติกของประเทศแคนาดา) ในฐานะพายุหมุนนอกเขตร้อน จากนั้นจึงได้เริ่มมีการนำชื่อตัวอักษรกรีกมาใช้เป็นชื่อพายุ เริ่มต้นด้วย พายุกึ่งโซนร้อนแอลฟาซึ่งพัดขึ้นฝั่งประเทศโปรตุเกส เดือนตุลาคมเริ่มต้นด้วยพายุโซนร้อนแกมมาและพายุเฮอริเคนเดลตา ซึ่งทั้งคู่ได้ส่งผลกระทบกับคาบสมุทรยูกาตันของประเทศเม็กซิโก โดยต่อมาพายุเดลตาได้ส่งผลกระทบกับรัฐลุยเซียนา จึงกลายเป็นพายุลูกที่ 10 ที่พัดเข้าสหรัฐในฤดูกาลนี้ นอกจากนี้ พายุเฮอริเคนเซตาก็เคลื่อนผ่านคาบสมุทรยูกาตันด้วย ก่อนจะทำลายสถิติเป็นพายุลูกที่ห้าที่พัดขึ้นฝั่งที่รัฐลุยเซียนา จากนั้นจึงกลายเป็นพายุหมุนเขตร้อนลูกแรกนับตั้งแต่พายุเฮอริเคนแซนดีในปี 2555 ที่สร้างหิมะ[4] ในวันสุดท้ายของเดืิอนตุลาคม พายุเฮอริเคนอีตาก่อตัวขึ้นและส่งผลกระทบกับอเมริกากลางเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 4 ในวันที่ 3 พฤศจิกายน[5] และในที่สุดแล้ว พายุอีตาได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 189 คน และมีความเสียหาย 6.68 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากนั้นไม่นาน พายุโซนร้อนทีตาได้ก่อตัวขึ้น และพายุลูกสุดท้าย พายุไอโอตา ได้ก่อตัวขึ้นในแคริบเบียน ก่อนจะทวีกำลังแรงอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 5 ในวันที่ 16 พฤศจิกายน นอกจากนี้ยังทำให้ฤดู 2563 นี้เป็นฤดูกาลเดียวที่มีพายุเฮอริเคนขนาดใหญ่ 2 ลูกในเดือนพฤจิกายน[6] โดยพายุไอโอตาทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงในอเมริกากลาง ซึ่งเพิ่งได้รับผลกระทบจากพายุอีตาไป
ก่อนหน้านั้น ทางการสหรัฐได้แสดงความกังวลว่าฤดูพายุเฮอริเคนจะส่งผลกระทบต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในกับประชากรในพื้นที่ชายฝั่งสหรัฐได้[7][8] ดังแสดงไว้ในหน้าความเห็นพิเศษ (op-ed) ของวารสารแห่งสมาคมการแพทย์อเมริกัน ความว่า "มีความขัดแย้งกันโดยธรรมระหว่างกลยุทธ์ในการปกป้องประชากรจากอันตรายจากพายุเฮอริเคน นั่นคือ การอพยพ และการหลบภัย (เช่น การขนส่งและการรวบรวมผู้คนเข้ากันเป็นกลุ่ม)" และ "แนวทางการชะลอการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพ นั่นคือ การเว้นระยะห่างทางกาย และการสั่งให้อยู่แต่บ้าน (เช่น การแยกและการกีดกันผู้คนออกจากกัน)"[9]
ข้อมูล | วันที่ | พายุที่ ได้รับชื่อ |
พายุเฮอริเคน | พายุเฮอริเคน ขนาดใหญ่ |
อ้างอิง |
ค่าเฉลี่ย (2524–2553[10]) | 12.1 | 6.4 | 2.7 | ||
สถิติสูงที่สุด | 28 ลูก | 15 ลูก | 7 ลูก | ||
สถิติต่ำที่สุด | 4 ลูก | 2† ลูก | 0† ลูก | ||
––––––––––––––––––––––––––––––––––––––––––––––––––––––– | |||||
TSR | 19 ธันวาคม 2562 | 15 ลูก | 7 ลูก | 4 ลูก | [11] |
CSU | 2 เมษายน 2563 | 16 ลูก | 8 ลูก | 4 ลูก | [12] |
TSR | 7 เมษายน 2563 | 16 ลูก | 8 ลูก | 3 ลูก | [13] |
UA | 13 เมษายน 2563 | 19 ลูก | 10 ลูก | 5 ลูก | [14] |
TWC | 15 เมษายน 2563 | 18 ลูก | 9 ลูก | 4 ลูก | [15] |
NCSU | 17 เมษายน 2563 | 18–22 ลูก | 8–11 ลูก | 3–5 ลูก | [16] |
SMN | 20 พฤษภาคม 2563 | 15–19 ลูก | 7–9 ลูก | 3–4 ลูก | [17] |
UKMO* | 20 พฤษภาคม 2563 | 13* ลูก | 7* ลูก | 3* ลูก | [18] |
NOAA | 21 พฤษภาคม 2563 | 13–19 ลูก | 6–10 ลูก | 3–6 ลูก | [19] |
ACCU | 25 พฤษภาคม 2563 | 14–20 ลูก | 7-11 ลูก | 4–6 ลูก | [20] |
TSR | 28 พฤษภาคม 2563 | 17 ลูก | 8 ลูก | 3 ลูก | [21] |
CSU | 4 มิถุนายน 2563 | 19 ลูก | 9 ลูก | 4 ลูก | [22] |
UA | 12 มิถุนายน 2563 | 17 ลูก | 11 ลูก | 4 ลูก | [23] |
CSU | 7 กรกฎาคม 2563 | 20 ลูก | 9 ลูก | 4 ลูก | [24] |
TSR | 7 กรกฎาคม 2563 | 18 ลูก | 8 ลูก | 4 ลูก | [25] |
TWC | 16 กรกฎาคม 2563 | 20 ลูก | 8 ลูก | 4 ลูก | [26] |
ACCU | 30 กรกฎาคม 2563 | 20-24 ลูก | 9-11 ลูก | 4–6 ลูก | [27] |
CSU | 5 สิงหาคม 2563 | 24 ลูก | 12 ลูก | 5 ลูก | [28] |
TSR | 5 สิงหาคม 2563 | 24 ลูก | 10 ลูก | 4 ลูก | [29] |
NOAA | 6 สิงหาคม 2563 | 19–25 ลูก | 7–11 ลูก | 3–6 ลูก | [30] |
––––––––––––––––––––––––––––––––––––––––––––––––––––––– | |||||
เกิดขึ้นจริง |
30 ลูก | 14 ลูก | 7 ลูก | ||
* เฉพาะเดือนมิถุนายน–เดือนพฤศจิกายนเท่านั้น † ฤดูกาลล่าสุดของเหตุการณ์ลักษณะนี้ซึ่งขึ้นหลายครั้ง (ดูทั้งหมด) |
การพยากรณ์กิจกรรมพายุหมุนเขตร้อนถูกเผยแพร่ก่อนฤดูกาลเริ่มต้นขึ้นโดยฟิลิป เจ. คลอตซ์แบช, วิลเลียม เอ็ม เกรย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเฮอริเคน และผู้เกี่ยวข้องจากมหาวิทยาลัยรัฐโคโลราโด ซึ่งแยกจากนักพยากรณ์ของ NOAA
ทีมของคลอตซ์แบชระบุว่าจะมีพายุอยู่ในค่าเฉลี่ยต่อฤดูกาล (2524–2553) โดยมีพายุโซนร้อน 12.1, พายุเฮอริเคน 6.4, พายุเฮอริเคนขนาดใหญ่ 2.7 (มีความรุนแรงถึงระดับ 3 ตามมาตราเฮอริเคนแซฟเฟอร์–ซิมป์สัน) และดัชนีเอซีอีอยู่ที่ 96.1[31] ขณะที่องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ จะระบุว่าฤดูกาลนี้จะมีพายุมากกว่าค่าปกติ ใกล้เคียงค่าปกติ หรือน้อยกว่าค่าปกติ และรวมไปถึงจำนวนพายุที่ได้รับชื่อ, พายุที่มีกำลังถึงเฮอริเคน, พายุที่มีกำลังถึงเฮอริเคนขนาดใหญ่ และดัชนีเอซีอี[32]
วันที่ 19 ธันวาคม 2562 องค์กรความเสี่ยงพายุโซนร้อน (TSR) ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มสาธารณะกันของผู้เชี่ยวชาญด้านการประกันภัย การจัดการความเสี่ยง และการพยากรณ์ภูมิอากาศรายฤดูกาลที่มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน ได้ออกการคาดหมายระยะยาวโดยคาดว่าฤดูเฮอริเคนนั้นจะสูงกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย ในรายงานนั้นระบุว่า จะมีพายุที่ได้รับชื่อ 15 ลูก ในจำนวนนั้น 7 ลูกเป็นถึงพายุเฮอริเคน และในจำนวนพายุเฮอริเคนจะมี 4 ลูกที่เป็นพายุเฮอริเคนขนาดใหญ่ และมีดัชนีพลังงานพายุหมุนสะสมอยู่ที่ 105 หน่วย การพยากรณ์นี้อ้างอิงจากการพยากรณ์ลมค้าว่าจะใกล้เคียงค่าปกติ และประกอบกับอุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลที่จะอุ่นกว่าปกติเล็กน้อย ทั่วทั้งเขตร้อนของมหาสมุทรแอตแลนติก รวมไปถึงสภาพเอลนีโญที่เป็นกลางในเขตศูนย์สูตรของมหาสมุทรแปซิฟิกด้วย[33]
พายุดีเปรสชันเขตร้อน (≤62 กม./ชม.) | พายุเฮอริเคนระดับ 3 (178–208 กม./ชม.) |
พายุโซนร้อน (63–117 กม./ชม.) | พายุเฮอริเคนระดับ 4 (209–251 กม./ชม.) |
พายุเฮอริเคนระดับ 1 (118–153 กม./ชม.) | พายุเฮอริเคนระดับ 5 (≥252 กม./ชม.) |
พายุเฮอริเคนระดับ 2 (154–177 กม./ชม.) |
พายุโซนร้อน (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 16 – 19 พฤษภาคม | ||
ความรุนแรง | 60 ไมล์/ชม. (95 กม./ชม.) (1 นาที) 991 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.26 นิ้วปรอท) |
วันที่ 12 พฤษภาคม ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติสหรัฐ ระบุว่ามีบริเวณความกดอากาศต่ำที่คาดว่าน่าจะก่อตัวในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ตั้งอยู่บริเวณทางตะวันออกเฉียงเหนือของบาฮามาส[34] ช่วงต้นวันที่ 14 พฤษภาคม ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติเริ่มติดตามบริเวณของกลุ่มฝนและพายุฟ้าคะนองบริเวณช่องแคบฟลอริดา[35] ระบบได้เคลื่อนตัวไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเข้าสู่พื้นที่ประเทศบาฮามาส ขณะที่การจัดระเบียบยังคงที่อยู่ โดยถือเป็นพายุดีเปรสชันลูกแรกของฤดูกาล ณ เวลา 21:00 UTC วันที่ 16 พฤษภาคม[36] การตรวจสอบโดยอากาศยานลาดตระเวน พบหลักฐานที่สนับสนุนให้ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติปรับให้ระบบเป็นพายุโซนร้อน ให้ชื่อว่า อาร์เทอร์ (Arthur) ณ เวลา 03:00 UTC วันที่ 17 พฤษภาคม[37] โดยถือเป็นพายุโซนร้อนก่อนฤดูกาล เนื่องจากฤดูอย่างเป็นทางการกำลังจะเริ่มต้นในวันที่ 1 มิถุนายน[38] ระบบพายุมีการทวีกำลังเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ภาพถ่ายดาวเทียมจะแสดงให้เห็นการเริ่มอ่อนกำลังลง ใกล่กับชายฝั่งของรัฐนอร์ทแคโรไลนาเนื่องจากอุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลบริเวณขอบ อากาศแห้ง และลมเฉือนระดับปานกลาง[39] อย่างไรก็ตาม พายุอาร์เทอร์กลับมีทวีกำลังขึ้นอีกเล็กน้อย และดูมีลักษณะเป็นพายุเขตร้อนมากขึ้นในช่วงเช้าของวันที่ 18 พฤษภาคม[40] หลังจากนั้น พายุอาร์เทอร์ได้เคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่ที่มีลมเฉือนสูงขึ้น ทำให้ศูนย์กลางการไหลเวียนถูกเปิดออก และทำให้ตัวพายุเริ่มมีการเปลี่ยนผ่านไปเป็นพายุนอกเขตร้อน[41] ซึ่งกระบวนการนี้เสร็จสิ้นในเวลา 15:00 UTC ของวันที่ 19 พฤษภาคม ขณะที่ตัวระบบอยู่ทางตะวันออกของตอนใต้ของรัฐเวอร์จิเนีย[42]
พายุโซนร้อน (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 27 – 28 พฤษภาคม | ||
ความรุนแรง | 50 ไมล์/ชม. (85 กม./ชม.) (1 นาที) 1004 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.65 นิ้วปรอท) |
พายุโซนร้อน (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 1 – 10 มิถุนายน | ||
ความรุนแรง | 60 ไมล์/ชม. (95 กม./ชม.) (1 นาที) 994 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.35 นิ้วปรอท) |
พายุโซนร้อน (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 22 – 24 มิถุนายน | ||
ความรุนแรง | 45 ไมล์/ชม. (75 กม./ชม.) (1 นาที) 1002 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.59 นิ้วปรอท) |
พายุโซนร้อน (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 4 – 6 กรกฎาคม | ||
ความรุนแรง | 45 ไมล์/ชม. (75 กม./ชม.) (1 นาที) 1007 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.74 นิ้วปรอท) |
พายุโซนร้อน (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 9 – 11 กรกฎาคม | ||
ความรุนแรง | 60 ไมล์/ชม. (95 กม./ชม.) (1 นาที) 998 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.47 นิ้วปรอท) |
พายุโซนร้อน (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 21 – 25 กรกฎาคม | ||
ความรุนแรง | 65 ไมล์/ชม. (100 กม./ชม.) (1 นาที) 997 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.44 นิ้วปรอท) |
พายุเฮอริเคนระดับ 1 (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 23 – 27 กรกฎาคม | ||
ความรุนแรง | 90 ไมล์/ชม. (150 กม./ชม.) (1 นาที) 973 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 28.73 นิ้วปรอท) |
พายุเฮอริเคนระดับ 1 (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 30 กรกฎาคม – 5 สิงหาคม | ||
ความรุนแรง | 85 ไมล์/ชม. (140 กม./ชม.) (1 นาที) 987 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.15 นิ้วปรอท) |
พายุดีเปรสชันเขตร้อน (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 31 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม | ||
ความรุนแรง | 35 ไมล์/ชม. (55 กม./ชม.) (1 นาที) 1007 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.74 นิ้วปรอท) |
พายุโซนร้อน (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 11 – 16 สิงหาคม | ||
ความรุนแรง | 45 ไมล์/ชม. (75 กม./ชม.) (1 นาที) 1004 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.65 นิ้วปรอท) |
พายุโซนร้อน (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 14 – 16 สิงหาคม | ||
ความรุนแรง | 50 ไมล์/ชม. (85 กม./ชม.) (1 นาที) 1000 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.53 นิ้วปรอท) |
พายุเฮอริเคนระดับ 1 (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 20 สิงหาคม – ปัจจุบัน | ||
ความรุนแรง | 80 ไมล์/ชม. (130 กม./ชม.) (1 นาที) 990 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.23 นิ้วปรอท) |
พายุเฮอริเคนระดับ 1 (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 20 – 25 สิงหาคม | ||
ความรุนแรง | 75 ไมล์/ชม. (120 กม./ชม.) (1 นาที) 991 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.26 นิ้วปรอท) |
พายุโซนร้อน (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 31 สิงหาคม – 5 กันยายน | ||
ความรุนแรง | 40 ไมล์/ชม. (65 กม./ชม.) (1 นาที) 1003 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.62 นิ้วปรอท) |
พายุเฮอริเคนระดับ 1 (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 1 – 4 กันยายน | ||
ความรุนแรง | 75 ไมล์/ชม. (120 กม./ชม.) (1 นาที) 994 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.35 นิ้วปรอท) |
พายุเฮอริเคนระดับ 2 (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 7 – 16 กันยายน | ||
ความรุนแรง | 105 ไมล์/ชม. (165 กม./ชม.) (1 นาที) 965 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 28.5 นิ้วปรอท) |
พายุโซนร้อน (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 7 – 14 กันยายน | ||
ความรุนแรง | 50 ไมล์/ชม. (85 กม./ชม.) (1 นาที) 1000 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.53 นิ้วปรอท) |
พายุเฮอริเคนระดับ 2 (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 11 – 17 กันยายน | ||
ความรุนแรง | 105 ไมล์/ชม. (165 กม./ชม.) (1 นาที) 965 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 28.5 นิ้วปรอท) |
พายุเฮอริเคนระดับ 4 (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 12 – 23 กันยายน | ||
ความรุนแรง | 140 ไมล์/ชม. (220 กม./ชม.) (1 นาที) 945 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 27.91 นิ้วปรอท) |
พายุโซนร้อน (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 14 – 17 กันยายน | ||
ความรุนแรง | 50 ไมล์/ชม. (85 กม./ชม.) (1 นาที) 1000 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.53 นิ้วปรอท) |
พายุโซนร้อน (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 17 – 23 กันยายน | ||
ความรุนแรง | 60 ไมล์/ชม. (95 กม./ชม.) (1 นาที) 994 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.35 นิ้วปรอท) |
พายุโซนร้อน (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 18 – 21 กันยายน | ||
ความรุนแรง | 40 ไมล์/ชม. (65 กม./ชม.) (1 นาที) 1007 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.74 นิ้วปรอท) |
พายุกึ่งโซนร้อน (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 18 – 19 กันยายน | ||
ความรุนแรง | 50 ไมล์/ชม. (85 กม./ชม.) (1 นาที) 996 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.41 นิ้วปรอท) |
พายุโซนร้อน (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 2 – 6 ตุลาคม | ||
ความรุนแรง | 70 ไมล์/ชม. (110 กม./ชม.) (1 นาที) 980 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 28.94 นิ้วปรอท) |
พายุเฮอริเคนระดับ 4 (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 5 – 10 ตุลาคม | ||
ความรุนแรง | 145 ไมล์/ชม. (230 กม./ชม.) (1 นาที) 953 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 28.14 นิ้วปรอท) |
พายุเฮอริเคนระดับ 3 (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 13 – 26 ตุลาคม | ||
ความรุนแรง | 115 ไมล์/ชม. (185 กม./ชม.) (1 นาที) 951 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 28.08 นิ้วปรอท) |
พายุเฮอริเคนระดับ 2 (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 24 – 29 ตุลาคม | ||
ความรุนแรง | 110 ไมล์/ชม. (175 กม./ชม.) (1 นาที) 970 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 28.64 นิ้วปรอท) |
พายุเฮอริเคนระดับ 4 (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 31 ตุลาคม – 13 พฤศจิกายน | ||
ความรุนแรง | 150 ไมล์/ชม. (240 กม./ชม.) (1 นาที) 923 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 27.26 นิ้วปรอท) |
พายุโซนร้อน (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 10 – 15 พฤศจิกายน | ||
ความรุนแรง | 70 ไมล์/ชม. (110 กม./ชม.) (1 นาที) 989 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.21 นิ้วปรอท) |
พายุเฮอริเคนระดับ 5 (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 13 – 18 พฤศจิกายน | ||
ความรุนแรง | 160 ไมล์/ชม. (260 กม./ชม.) (1 นาที) 917 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 27.08 นิ้วปรอท) |
ชุดรายชื่อต่อไปนี้ใช้เป็นชื่อสำหรับพายุที่ก่อตัวขึ้นในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือในปี พ.ศ. 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 21 รายชื่อ หากมีพายุก่อตัวขึ้นมากกว่านั้นหลังจากใช้ชื่อสุดท้ายแล้ว จะใช้ชื่อของตัวอักษรกรีกมาเป็นรายชื่อพายุตามลำดับตัวอักษร โดยฤดูกาล 2563 นี้ถือเป็นหนึ่งในสองฤดูพายุเฮอริเคนแอตแลนติกเท่านั้นที่ต้องนำนโยบายการตั้งชื่อดังกล่าวมาใช้ หากมีรายชื่อใดถูกถอนจากชุด จะได้รับการประกาศในช่วยฤดูใบไม้ผลิปี พ.ศ. 2564 ระหว่างการประชุมวาระที่ 42 และ 43 ของคณะกรรมการเฮอริเคนโดยองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (พร้อมกับรายชื่อที่จะมาแทนในวาระการถอนชื่อจากฤดูกาล 2562)[43][44] ถ้ารายชื่อที่ถูกถอนเป็นชื่อของตัวอักษรกรีก ชื่อดังกล่าวจะถูกจัดเป็นรายชื่อถูกถอนด้วย แต่จะยังคงไว้ใช้ในชุดรายชื่อเพิ่มเติมต่อไป เช่น หากพายุเดลตาในฤดูกาล 2563 ถูกถอน จะมีการระบุในรายการรายชื่อถูกถอนเป็น "เดลตา 2020" ขณะที่ชื่อพายุเดลตาก็จะยังคงอยู่ในชุดรายชื่อเพิ่มเติมต่อไป[45] ส่วนชื่อที่ไม่ถูกถอนจากชุดรายชื่อดังกล่าวนี้ จะถูกนำมาใช้อีกครั้งในฤดูกาล 2569 โดยรายชื่อชุดนี้เป็นรายชื่อชุดเดียวกับที่เคยใช้ในฤดูกาล พ.ศ. 2557 ซึ่งไม่มีชื่อใดที่ถูกถอนเลยในปีดังกล่าว ชื่อไอเซอัสและทุกชื่อตั้งแต่พอเลตต์ถึงวิลเฟรดถูกใช้เป็นครั้งแรกในฤดูกาลนี้
ในฤดูกาล 2563 ชื่อในชุดรายชื่อถูกนำมาใช้ทั้งหมด 21 ชื่อ กับรายชื่อจากชุดรายชื่อเพิ่มเติม (ตัวเอียง) อีก 9 ชื่อ รวมแล้วมีชื่อถูกใช้เป็นชื่อพายุ 30 ชื่อ
รายชื่อพายุหมุนเขตร้อนของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือในฤดูกาล 2563 | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
รหัสพายุ | ชื่อพายุ | รหัสพายุ | ชื่อพายุ | รหัสพายุ | ชื่อพายุ | รหัสพายุ | ชื่อพายุ | รหัสพายุ | ชื่อพายุ | ||||||
01L | อาร์เทอร์ (Arthur) |
07L | กอนซาโล (Gonzalo) |
14L | มาร์โก (Marco) |
20L | เทดดี (Teddy) |
26L | เดลตา (Delta) | ||||||
02L | เบอร์ทา (Bertha) |
08L | แฮนนา (Hanna) |
15L | โอมาร์ (Omar) |
21L | วิกกี (Vicky) |
27L | เอปซิลอน (Epsilon) | ||||||
03L | กริสโตบัล (Cristobal) |
09L | ไอเซอัส (Isaias) |
16L | นานา (Nana) |
22L | เบตา (Beta) |
28L | เซตา (Zeta) | ||||||
04L | ดอลลี (Dolly) |
11L | โจเซฟีน (Josephine) |
17L | พอเลตต์ (Paulette) |
23L | วิลเฟรด (Wilfred) |
29L | อีตา (Eta) | ||||||
05L | เอดัวร์ (Edouard) |
12L | ไคล์ (Kyle) |
18L | เรเน (Rene) |
24L | แอลฟา (Alpha) |
30L | ทีตา (Theta) | ||||||
06L | เฟย์ (Fay) |
13L | ลอรา (Laura) |
19L | แซลลี (Sally) |
25L | แกมมา (Gamma) |
31L | ไอโอตา (Iota) |
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ LastIsland
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Dec11TSR