บทความนี้คล้ายโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์
วิกิพีเดียมิใช่ช่องทางการสื่อสารการตลาดของหน่วยธุรกิจใด ๆ กรุณาเขียนใหม่ด้วยมุมมองที่เป็นกลาง และนำแหล่งข้อมูลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องออก |
บทความนี้อาจต้องปรับปรุงให้มีมุมมองที่เป็นกลาง เนื่องจากนำเสนอมุมมองเพียงด้านเดียว ดูหน้าอภิปรายประกอบ โปรดอย่านำป้ายออกจนกว่าจะมีข้อสรุป |
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
วัง หมิงเฉฺวียน | |
---|---|
วัง หมิงเฉฺวียน อิริยาบถในการแสดงอุปรากรจีน | |
สารนิเทศภูมิหลัง | |
เกิด | 28 สิงหาคม พ.ศ. 2490 วัง หมิงเฉฺวียน เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน |
คู่สมรส | "หลิวชังหวา" (劉昌華) (พ.ศ. 2514-2526) "หลอเจียอิง" (羅家英) (พ.ศ. 2552-ปัจจุบัน) |
คู่ครอง | เหอโส่วซิ่น (何守信) (พ.ศ. 2523-2533) |
อาชีพ | -นักแสดง -นักร้อง -พิธีกร -นักการเมือง |
ปีที่แสดง | พ.ศ. 2511-ปัจจุบัน |
ผลงานเด่น | -บท เตี่ยเมี่ยง เรื่อง ดาบมังกรหยก (พ.ศ. 2521) -บท ซิมฮุ่ยซัง เรื่อง ชอลิ่วเฮียง ตอน สยบบ้อฮวย (พ.ศ. 2522) -บท ถานเสี่ยวถัง เรื่อง คมเฉือนคม ภาค 1 (พ.ศ. 2523) -บท เหอเยี่ยนชิว เรื่อง ฝันสลาย (พ.ศ. 2523) -ฮั่วซือหลิง ใน คมเฉือนคม ภาค 2 (พ.ศ. 2524) -บท มู่กุ้ยอิง เรื่อง 14 นางสิงห์เจ้ายุทธจักร (พ.ศ. 2524) -บท เจ้าแม่หัวซาน เรื่อง โคมวิเศษเจ้าแม่หัวซาน (พ.ศ. 2529) -บท ฟางเจี้ยนผิง เรื่อง เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ภาค1-2 (พ.ศ. 2542-2543) |
สังกัด | -สถานีโทรทัศน์อาร์ทีวี (พ.ศ. 2510-2513) -สถานีโทรทัศน์ทีวีบี (พ.ศ. 2514-ปัจจุบัน) |
ฐานข้อมูล | |
IMDb |
วัง หมิงเฉฺวียน (จีน: 汪明荃; พินอิน: Wāng Míngquán; กวางตุ้ง: wong1 ming4 cyun4 ว้อง เหม่งฉวิ่น; อังกฤษ :Liza Wang) เป็นนักแสดงหญิงชาวฮ่องกง เป็นนางเอกยุคแรกของทีวีบี ในกลุ่ม "สามยอดมณีแห่งทีวีบี" ร่วมกับ หวงซู่อี้ และ หลีซือฉี. วัง หมิงเฉฺวียนได้รับการยอมรับมาอย่างยาวนานว่าเป็นศิลปินหญิงที่มีทั้งพรสวรรค์และความสามารถในหลาย ๆ ด้าน เธอเป็นทั้งนักแสดง-นักร้อง และพิธีกรหญิง ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วทั้งเอเชีย โดยเฉพาะในช่วงยุค 70s-80s เธอจะได้รับความนิยมและโด่งดังในฮ่องกงมากเป็นพิเศษ อีกทั้งเธอเองก็อยู่ในวงการและมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมาอย่างยาวนานกว่า 50 ปี จนได้รับการขนานนามว่า พี่สาวใหญ่แห่งวงการบันเทิงฮ่องกง (The Big Sister)[1] เรียกได้ว่าเธอเป็นปูชนียบุคคลของวงการละครโทรทัศน์ฮ่องกงเลยก็ว่าได้ เพราะเธอเป็นที่เคารพนับถือของบรรดานักแสดงด้วยกันทั้งรุ่นพี่,รุ่นน้อง และรุ่นเดียวกันทั้งชายและหญิง ซึ่งต่างก็ยอมรับในความเก่งของเธอ ในอดีตเธอมีผลงานละครดังที่สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ชม มากมายหลายต่อหลายเรื่อง ซึ่งผลงานละครที่เธอรับบทแสดงนำหรือร่วมแสดง ก็ล้วนแล้วแต่ได้รับความนิยมอย่างสูง จนขึ้นมาเป็น 1 ใน 4 ดรุณีหยกรุ่นแรกและรุ่นสองแห่งยุคทศวรรษที่ 70 ของทางช่องสถานีโทรทัศน์ทีวีบี อีกทั้งบทเพลงประกอบละครที่แสนไพเราะหวานซึ้งตรึงใจมากมายที่เธอได้ขับขานลงในละครที่เธอเล่น ต่างก็ได้รับความนิยมอย่างมากจนทุกวันนี้บทเพลงเหล่านั้นได้กลายเป็นเพลงจีนกวางตุ้งอมตะขึ้นหิ้ง
วัง หมิงเฉฺวียน เกิดที่เซี่ยงไฮ้ ต่อมาครอบครัวของเธอได้ย้ายมาอยู่ที่ฮ่องกง หลังจากเรียนจบในชั้นมัธยมปลายแล้ว เธอได้เริ่มเข้าสู่วงการแสดงจากการเข้าเป็นนักเรียนการแสดงรุ่นแรกของสถานีโทรทัศน์อาร์ทีวี โดยเป็นคนแรกที่จบการศึกษาในรุ่นที่ 1 หมายเลขประกาศนียบัตรหมายเลข 001 จากนั้นจึงเริ่มแสดงละครโทรทัศน์ให้กับสถานีอาร์ทีวี เป็นเวลา 3 ปี โดยมีผลงานที่ทำให้เธอเป็นที่รู้จักในเฉพาะฮ่องกง อย่างเช่นละครเรื่อง 4ใบเถา (四千金 1968), ภาพยนตร์เรื่อง เพลงรัก...ดอกโบตั๋น (Singing Darlings 1969) และผลงานภาพยนตร์คอมเมดี้เรื่อง บ้านสาวโสด (小姐不在家 1970)
หลังจากหมดสัญญากับทางค่ายอาร์ทีวีในปีพ.ศ. 2513 เธอได้เดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อเรียนการร้องเพลงและการเต้นประมาณกว่าปี หลังจากเรียนจบครอส์ที่นั้นแล้วเธอก็ได้บินกลับมายังฮ่องกงและได้เข้าร่วมงานกับสถานีโทรทัศน์ทีวีบี (TVB) เนื่องจากพรสวรรค์ที่มีพร้อมทางด้านต่าง ๆ ของเธอทั้งการแสดง-ร้องเพลง และเต้น จึงทำให้เธอมักจะได้รับมอบหมายงานแสดงโชว์รวมถึงเป็นพิธีกรในงานสำคัญ ๆ ของทางช่องอยู่บ่อย ๆ เช่น งานครบรอบวันเกิดของทางช่องและงานแสดงโชว์ตามงานการกุศลต่าง ๆ รวมไปถึงกิจกรรมงานสำคัญ ๆ ของทางช่อง ซึ่งในช่วงแรก ๆ ที่ร่วมงานกับสถานีโทรทัศน์ทีวีบีเธอได้ทำงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังการผลิตรายการโทรทัศน์ ต่อมาก็ได้มีผลงานละครตามมาและได้เป็นสมาชิกในกลุ่มเกิร์ลกรุ๊ปภายใต้ชื่อ กลุ่ม 4 ดอกไม้สีทอง (Four Golden Flowers) และมีอัลบั้มที่ใช้ชื่อเดียวกับชื่อกลุ่มออกมา ซึ่งก็ได้รับความนิยมในฮ่องกงช่วงนั้นเป็นอย่างมาก แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ต้องแยกวงกันไปตามทางที่ตัวเองถนัด จนกระทั่งผลงานละครที่ทำให้เธอเริ่มเป็นที่รู้จักในระดับเอเชียคือเรื่อง จอมใจจอมยุทธ (The Legend Of The Book and the Sword 1976) ซึ่งเป็นละครที่สร้างมาจากนวนิยายเรื่อง ตำนานอักษรกระบี่ ของกิมย้ง โดยในเรื่อง วังหมิงเฉวียน ได้รับบทเป็น ฮั่วชิงถง ตามด้วยผลงานละครแนวสากลเรื่อง บ้านแตก (Homoe is not Home 1977) ที่ทำให้เธอมีชื่อเสียงในระดับเอเชียเพิ่มมากยิ่งขึ้นจากในเรื่องที่เธอได้สวมบทบาทเป็นหญิงสาวสมัยใหม่ที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้และมีความมั่นใจในตัวเองสูงซึ่งกลายเป็นภาพลักษณ์ที่ติดตัวของเธอนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และผลงานที่ทำให้เธอโด่งดังเป็นพลุแตกทั่วเอเชียกับบทบาท เตี๋ยเมี่ยง ในละครกำลังภายในจากบทประพันธ์ของกิมย้ง เรื่องดาบมังกรหยก (Heaven Sword and Dragon Saber 1978) ซึ่งความสำเร็จของละครเรื่องนี้ได้ทำให้เธอขึ้นมาเป็นนักแสดงหญิงเบอร์หนึ่งของทางช่องทีวีบี และดารายอดนิยมแถวหน้าของเอเชียโดยทันที ตามต่อด้วยผลงานที่ทำให้เธอยิ่งเพิ่มความดังขึ้นไปอีกกับผลงานสุดฮิต เรื่อง ชอลิ้วเฮียงจอมโจรจอมใจ (Chor Lau Heung 1979) ซึ่งเป็นละครที่สร้างมาจากบทประพันธ์ของโกวเล้ง โดยเธอรับบทเป็น ซิมฮุ่ยซัง ถึงแม้บทบาทของเธอในเรื่องนี้จะมีไม่มากนักก็ตามแต่ทุกครั้งที่ปรากฏตัวออกมาก็จะโดดเด่นมาก และนับได้ว่าเป็นอีกผลงานอมตะที่สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเธออีกเรื่อง
หลังจากนั้นเธอก็มีละครยอดนิยมตามมาอีกจำนวนมากมาย เช่นเรื่อง เหนือลิขิต (Over the Rainbow 1979), คมเฉือนคม (The Shell Game 1980) , ฝันสลาย (Yesterday's Glitter 1980), 14 นางสิงห์เจ้ายุทธจักร (Young's Female Warrior 1981), ความรักสี่ฤดู (Love Forever 1981), ฟ้ามิอาจกั้น (Love and Passion 1982) และ โคมวิเศษเจ้าแม่หัวซาน (The Lamp Lorc 1986) ทุกเรื่องทุกบทบาทที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่ทำให้เธอได้รับความนิยมถึงจุดสูงสุดจนกลายเป็นนักแสดงหญิงจอแก้วอันดับหนึ่งของชาวฮ่องกง
ด้วยความที่เธอประสบความสำเร็จอย่างสูงในอาชีพการแสดงในฮ่องกง ในปีพ.ศ. 2526 เธอได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในเพียงไม่กี่คนของคนในวงการบันเทิงที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีลงนามในงานแถลงการณ์เชื่อมความสัมพันธ์กระชับมิตรระหว่างจีน กับ สหราชอาณาจักร ซึ่งนำพาความภาคภูมิใจให้แก่ตัวเธอเป็นอย่างมาก ทำให้ต่อมาเธอได้ถูกเสนอชื่อให้เข้าเป็นสมาชิกสภาประชาชนแห่งชาติ (National People's Congress - NPC) ระหว่างปีพ.ศ. 2531-2540 (1988-1997) และทำให้เธอได้มีบทบาททางการเมืองมาตั้งแต่นั้น ถือได้ว่าเธอเป็นศิลปินไม่กี่คนในวงการบันเทิงที่ได้ทำงานทั้งในวงการบันเทิงควบคู่กับการทำงานด้านการเมืองไปด้วย อีกทั้งในอดีตเธอยังเคยเป็นนักแสดงอุปรากรจีน จนต่อมาได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานสมาพันธ์อุปรากร จีน–ฮ่องกง นอกจากบทบาทดังกล่าว เธอยังเคยทำงานด้านช่วยเหลือสังคม เช่น เป็นทูตของอ๊อกแฟม (Oxfam) สาขาฮ่องกง ซึ่งเป็นองค์กรช่วยเหลือเด็กยากจนทั่วโลก และ เธอยังเคยเป็นหนึ่งในคณะกรรมการต่อต้านโรคมะเร็งแห่งฮ่องกง ของสภาสมาคมโรคมะเร็งฮ่องกง รวมถึงเคยเป็นประธานสมาคมผู้ประกอบวิชาชีพด้านสื่อโทรทัศน์แห่งฮ่องกง ซึ่งในปีพ.ศ. 2545 เธอได้รับ เครื่องราชย์อิสริยาภรณ์ ขั้น Golden Bauhinia Star อันทรงเกียรติในฐานะที่เธอเป็นบุคคลผู้มุ่งมั่นในการพัฒนาทางด้านวัฒนธรรมของฮ่องกงอย่างจริงจัง และในปีพ.ศ. 2547 รัฐบาลฮ่องกงก็ได้มอบเครื่องราชย์อิสริยาภรณ์ขั้น Silver Bauhinia Star (銀紫荊星章) อันทรงเกียรติให้กับเธอในฐานะบุคคลผู้อุทิศตนในการช่วยเหลือผู้คนที่ยากไร้ทั่วโลก อีกทั้งเธอยังเคยได้รับ "ปริญญากิตติมศักดิ์ด้านวรรณกรรม" จาก มหาวิทยาลัยเมืองฮ่องกง (City University of Hong Kong), ได้รับ "ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางด้านมนุษยศาสตร์" จาก มหาวิทยาลัยการศึกษาฮ่องกง (The Education University of Hong Kong) และเข้ารับ "ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์" จาก สถาบันการแสดงศิลปะ ฮ่องกง (The Hong Kong Academy for Performing Arts)ส่วนบทบาททางการเมืองล่าสุดของเธอ คือ เป็นสมาชิกสภาที่ประชุมปรึกษาทางการเมืองแห่งประชาชนจีน (Chinese People's Political Consultative Conference - CPPCC)
ปัจจุบันเธออยู่กินฉันสามีภรรยากับนาย หลอเจียอิง ผู้ทำงานในแวดวงบันเทิงเดียวกันกับเธอ และเธอก็ยังคงโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงฮ่องกง และยังคงมีผลงานละครที่ได้รับความนิยมในหมู่ชาวฮ่องกงมาจนถึงทุกวันนี้เกินกว่า 5 ทศวรรษแล้ว[2][3][4]
วัง หมิงเฉฺวียนเกิดเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2490 (1947) ที่นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เธอมีพี่น้องทั้งหมด 3 คนรวมเธอด้วยโดยเธอเป็นลูกสาวคนที่สองของครอบครัวโดยมีพี่สาวคนโตและน้องชายคนเล็กอีกคน ตอนที่เธออายุได้ 1 ขวบพ่อกับแม่ของเธอได้แยกครอบครัวออกมาจากเดิมที่เคยอาศัยอยู่กับปู่ย่าตายายในเซี่ยงไฮ้ เธอได้ใช้ชีวิตในวัยเด็กอยู่ที่นครเซี่ยงไฮ้อยู่ช่วงหนึ่งต่อมาเมื่อเธออายุ 9 ขวบ เนื่องจากเกิดสงครามกลางเมืองอย่างรุนแรงขึ้นในประเทศจีน จึงทำให้ครอบครัวของเธอต้องหนีสงครามและอพยพไปตั้งรกรากถิ่นฐานอยู่ที่ฮ่องกง ในราวช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปีพ.ศ. 2499 (1956) และที่ฮ่องกงก็เป็นที่ที่เธอได้เรียนต่อจนจบในชั้นประถม ต่อมาเธอก็ได้เข้าศึกษาต่อในชั้นมัธยม และในช่วงนี้เองที่เธอมีความสนใจอยากจะเป็นนางพยาบาลขึ้นมา เพราะเธอมองว่าเป็นอาชีพที่มีอนาคตและมั่นคง แต่ทว่า...ด้วยผลการเรียนที่ไม่ค่อยดีนักในวิชาวิทยาศาสตร์ อีกทั้งเธอยังเป็นคนกลัวเลือด เพราะทุกครั้งที่เธอเห็นเลือดเธอจะรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาทันที ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เธอล้มเลิกความคิดที่จะเป็นนางพยาบาล และหันไปสนใจทางด้านศิลปะวรรณกรรมที่เธอชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก
หลังจากเรียนจบในระดับชั้นมัธยมปลายเมื่อปีพ.ศ. 2509 (1966) วัง หมิงเฉฺวียนในวัย 19 ปี ได้เริ่มต้นอาชีพแรกเป็นพนักงานบริษัท แต่เพียงไม่นานเธอก็รู้ตัวว่าไม่เหมาะกับอาชีพนี้ จึงได้สมัครเรียนศิลปะการแสดงที่ สถาบันสอนการแสดงแห่งหนึ่ง ด้วยการแสดงที่เยี่ยมยอดของเธอ จึงได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ที่สอนในชั้นเรียนให้ไปสมัครเป็นนักแสดงกับทางค่ายของสถานีโทรทัศน์อาร์ทีวี ที่กำลังประกาศรับสมัครหานักแสดงอยู่พอดี ในช่วงปลายปีพ.ศ. 2519 (1966)- 2510 (1967) วัง หมิงเฉฺวียนในวัยใกล้ 20 ปีได้ผ่านการคัดเลือกเข้าอบรมเป็นนักแสดงกับทางช่อง อาร์ทีวี (เอทีวี) ซึ่งในตอนนั้นมีผู้สนใจเข้าสมัครเป็นจำนวนหลายพันคนด้วยกัน แต่เธอก็สามารถผ่านการคัดเลือกและติดหนึ่งในเก้าคนเท่านั้น ที่ได้มีโอกาสเรียนหลักสูตรการแสดงกับทางค่ายอาร์ทีวี ด้วยพื้นฐานที่เธอเรียนการแสดงมาก่อน จึงทำให้เธอเรียนจบคอร์สเรียนการแสดงในรุ่นที่ 1 ก่อนคนอื่น ๆ ใน 9 คนและได้รับประกาศนียบัตรหมายเลข 001 หลังจากจบคอร์สเธอได้ทำสัญญากับสถานีโทรทัศน์อาร์ทีวีเป็นเวลา 3 ปีและเริ่มต้นชีวิตการเป็นนักแสดงที่นั้น โดยประเดิมผลงานละครชิ้นแรกในปีพ.ศ. 2511 คือเรื่อง 4ใบเถา (四千金 1968) ซึ่งเป็นผลงานที่ทำให้เธอเริ่มเป็นที่รู้จักในฮ่องกง และกลายเป็นดาวรุ่งมาแรงของทางค่ายอาร์ทีวี
ในปีถัดมาพ.ศ. 2512 ทางค่ายอาร์ทีวีก็ให้เธอได้มีโอกาสเล่นภาพยนตร์ เรื่อง เพลงรัก...ดอกโบตั๋น (Singing Darlings 1969) ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ฮิตในฮ่องกง พอสิ้นปีเธอก็ได้รับรางวัล 10 นักแสดงยอดนิยมสูงสุดประจำปีมาครอง ด้วยความสำเร็จทางด้านภาพยนตร์ทำให้ต่อมาในปีพ.ศ. 2513 เธอได้มีผลงานภาพยนตร์ตามมาอีกเรื่อง คือ บ้านสาวโสด(小姐不在家 1970) หลังจากเรื่องนี้เธอก็หมดสัญญากับทางค่ายอาร์ทีวีในราวกลางปีพ.ศ. 2513 และตัดสินใจเดินทางไปเรียนทักษะการร้องเพลงและการเต้นเพิ่มเติมที่ประเทศญี่ปุ่น โดยที่เธอหวังจะได้นำทักษะเหล่านี้ที่ได้ไปเรียนมาใช้กับวงการบันเทิงในอนาคต ซึ่งเธอเป็นคนออกค่าใช้จ่ายในการไปเรียนเองทั้งหมด เธอใช้เวลาเรียนที่ญี่ปุ่นนานถึง 1 ปีโดยที่เธอไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลยแม้แต่น้อยแต่เธอก็สามารถจบออกมาด้วยเกรดที่ยอดเยี่ยม
ในราวเดือนเมษายนของปีพ.ศ. 2514 หลังจากที่ได้เรียนจบด้านการร้องเพลงและการเต้นที่ญี่ปุ่นแล้ว เธอได้เดินทางกลับมาที่ฮ่องกง แต่การกลับมาในครั้งนี้เธอไม่ได้กลับไปเป็นนักแสดงให้กับทางค่ายอาร์ทีวีเหมือนเคย แต่เธอตัดสินใจไปเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงให้กับทางค่ายสถานีโทรทัศน์ทีวีบี แทน และเป็นกฎของทางช่องทีวีบี ที่ต้องเข้าเรียนทักษะการแสดงกับทางช่อง อีก 1 ปี ทำให้เธอกว่าจะมีผลงานออกมาก็ปาเข้าไปในปีพ.ศ. 2516 และประเดิมผลงานชิ้นแรกกับทางค่ายทีวีบีเป็นละครสากลดราม่าเรื่อง เร้น...รักซ่อน...อารมณ์ (私戀 1973) กลายเป็นผลงานที่แจ้งเกิดในฮ่องกงให้กับเธอกลับมาเป็นที่พูดถึงกันอีกครั้ง หลังจากที่เธอได้ห่างหายจากวงการไปประมาณ 2 ปี ซึ่งบทบาทที่เธอเล่นในเรื่องนี้ได้รับคำชมจากผู้ชมในฮ่องกงเป็นอย่างมาก จนทำให้ถัดมาในปีพ.ศ. 2517 ทางช่องทีวีบีได้ป้อนงานละครให้เธอติด ๆ กันมากมาย จนเธอมีผลงานเด่น ๆ ตามมาอีกหลายเรื่อง เช่นเรื่อง ฤดูใบไม้ผลิ...รักนี้นิรันดร์ (永恆的春天 1974) ในบท "เหมาเจียงหยวน" ตามด้วยการแสดงของเธอในผลงานละครสากลแนวสงครามดราม่าเรื่อง ศึกรัก ศึกรบ (The Blue and the Black 1974) ซึ่งละครเรื่องนี้เคยถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วเมื่อปีพ.ศ. 2509 ในชื่อเรื่องเดียวกัน คือ ศึกรัก ศึกรบ ภาค 1 และ 2 (The Blue and the Black 1-2 1966) โดยเวอร์ชันภาพยนตร์ นำแสดงโดย กวนซาน และ หลินไต้ อีกผลงานละครแนวสากลย้อนยุคเรื่อง "บีโกเนีย" (Begonia 1974) ในบทสาวผู้รอคอยรักแท้ และผลงานละครแนวตลกสุดดังของปีนั้นเรื่อง 4 สุวรรณบุปผา (四朵金花 1974) ที่เธอได้ร่วมแสดงกับนักแสดงตลกหญิงชื่อดังแห่งยุคนั้น อย่าง เจ๊อ้วน เสิ่นเตี้ยนเสีย และอีกสองสาวนักร้อง-นักแสดงที่ได้รับความนิยมในขณะนั้นคือ หวังอ้ายหมิง (王愛明) กับ จางเต๋อหลัน (張德蘭) จากความสำเร็จของละครเรื่องนี้ที่พวกเธอทั้งสี่คนได้แสดงร่วมกันทำให้ในปีถัดมาพ.ศ. 2518 (1975) ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบีเลยนำพวกเธอทั้งสี่คนมารวมตัวก่อตั้งเป็นเกิร์ลกรุ๊ป ภายใต้ชื่อ กลุ่ม 4 ดอกไม้สีทอง ซึ่งเป็นการรวมตัวกันในระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อมาออกอัลบั้ม ที่ใช้ชื่อว่า สี่ดอกไม้สีทอง (Four Golden Flowers) และตัวของวัง หมิงเฉฺวียน เองที่เป็นคนคิดชื่อกลุ่มนี้ขึ้นมา ซึ่งเกิร์ลกรุ๊ปวงนี้ก็ได้รับความนิยมในช่วงนั้นเป็นอย่างมาก แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ต้องแยกวงกันไปตามทางที่ตัวเองถนัด ส่วนผลงานละครที่เด่น ๆ ในปีพ.ศ. 2518 มีมากมายหลายเรื่อง เช่นเรื่อง ซูสีไทเฮา โดยในเรื่องเธอสวมบทบาทเป็น สนมเจิน, เรื่อง ความฝันในหอแดง (Dream of the Red Chamber 1975) เธอได้รับบทเด่นเป็น หลินไต้อวี้ โดยมีดาราชาย อู่เว่ยกว๋อ มารับบทเป็น เจียเป่าอวี้ นอกจากนี้ยังมีดาราสาว หวง ซิ่งซิ่ว รับบท ฉิงเหวิน และ โจวเหวินฟะ มารับบทตัวประกอบเป็น เจียงอวี้ฮั่น ตามต่อด้วยเรื่อง ละครตำนานรักพื้นบ้าน เช่นตอน "ดอกพิษเบญจมาศ", ตอน "สามยิ้มพิมพ์ใจ", ตอน "เทพธิดาลำน้ำลก" และตอน "ห้องรักหอสวาท" นอกจากนี้ยังมีละครสากลเรื่อง ปลายทางแห่งรัก เป็นต้น
ในปีก่อน ๆ ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบี มักจะนิยมหยิบเอาพวกตำนานรักพื้นบ้านมาสร้างเป็นละครตอนสั้น ๆ เช่น สามยิ้มพิมพ์ใจ, เทพธิดาลำน้ำลก และ ห้องรักหอสวาท เป็นต้น แต่ในปีพ.ศ. 2519 (1976) ถือเป็นปีแรกที่ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบี ได้เริ่มหันมาสร้างละครแนวกำลังภายใน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการเปิดศักราชใหม่ ที่ทางค่ายได้สร้างละครแนวกำลังภายในขึ้นมาโดยหยิบมาจากนวนิยายชื่อดังต่าง ๆ เช่นละครเรื่อง เล็กเซียวหงส์ และผลงานแนวกำลังภายในที่เธอได้ร่วมแสดงนำในเรื่อง จอมใจจอมยุทธ (The Legend Of The Book and the Sword 1976) ซึ่งเป็นละครที่สร้างมาจากนวนิยายเรื่อง ตำนานอักษรกระบี่ ของกิมย้ง โดยในเรื่อง วัง หมิงเฉฺวียน ได้รับบทเป็น ฮั่วชิงถง (ขนนกเขียวเสื้อเหลือง) และยังมีดาราดังมากมายมาร่วมแสดง เช่น เจิ้งเส้าชิว ซึ่งในเรื่องเขาต้องรับเล่นถึง 3 บทด้วยกันคือ ฟู่คังอัน, เฉินเจียลั่ว (ประมุขพรรคดอกไม้แดง) และ ฮ่องเต้เฉียนหลง, หวีอันอัน มารับบท เซียงเซียงกงจู้, หลี่ซือฉี รับบทเป็น ลั่วปิง (ดาบนกเป็ดน้ำ) และ อู่เว่ยกว๋อ ได้รับบท ฉีเทียนหง ซึ่งถือได้ว่าละครเรื่องนี้ได้ทำให้ วัง หมิงเฉฺวียน เริ่มเป็นที่รู้จักในระดับเอเชียมากขึ้นแต่ยังไม่ถึงกับโด่งดังมาก นอกจากนี้เธอยังมีผลงานที่ดังเฉพาะในฮ่องกง อย่างเรื่อง ละครตำนานรักเพลงพื้นบ้าน ตอน โคมวิเศษเจ้าแม่หัวซาน (民間傳奇》之寶蓮燈 1976) โดยเธอได้ร่วมแสดงนำกับเยิ่นต๊ะหัว โดยเรื่องนี้ทางช่องทีวีบีได้นำมาสร้างเป็นละครเพลงที่เธอร้องเองทั้งเรื่อง แถมยังมีอัลบั้มเพลงประกอบละครของเรื่องนี้ออกวางขายในฮ่องกงอีกด้วย
ผลงานเด่นถัดมาในปีพ.ศ. 2520 เธอมีผลงานมากมายหลายเรื่อง แต่ที่ดังมาก ๆ คือละครสากลเรื่อง บ้านแตก (Homoe is not Home TVB 1977) ซึ่งนำแสดงโดย จูเจียง, วัง หมิงเฉฺวียน, โจวเหวินฟะ และ เยิ่นต๊ะหัว เป็นละครที่ฮิตมากเรื่องหนึ่งในปีนั้นด้วยเรตติ้งตอนอวสานที่สูงถึง 95% ในตอนนั้น(ต่อมาโดนเรื่อง มังกรหยก ภาค 1 (1983) ทำลายเรตติ้งตอนจบที่ได้มากกว่า 99%) จากความดังในการสวมบทบาทเป็นหญิงสาวสมัยใหม่ที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้และมีความมั่นใจในตัวเอง ของเธอในเรื่องนี้ กลายเป็นภาพลักษณ์ที่ติดตัวของเธอไปเลย นอกจากนั้นผลงานอื่นที่เด่น ๆ ยังคงเป็นพวกละครตำนานรักพื้นบ้าน ต่าง ๆ เช่น ตอน ธิดาฮ่องเต้ (The Legend of Princess Chang Ping 1977) มี 7 ตอนจบ ซึ่งวัง หมิงเฉฺวียน รับบทเป็น องค์หญิงฉางผิง และดาราชาย หวงอวิ๋นไฉ มารับบทเป็นราชบุตรเขยโจวซื่อเสียน
และในปีพ.ศ. 2521 ผลงานที่ทำให้เธอโด่งดังเป็นพลุแตกไปทั่วเอเชีย คือเรื่อง ดาบมังกรหยก (Heaven Sword and Dragon Saber 1978) ซึ่งเป็นดาบมังกรหยกเวอร์ชันแรกทางจอแก้ว ที่มีความยาวทั้งหมด 25 ตอนจบ โดยเธอรับบทเป็น เตี๋ยเมี่ยง นอกจากนี้ยังมีดาราดังมากมาย อย่าง เจิ้งเส้าชิว รับบท เตียบ่อกี้, เจ้าหย่าจือ รับบท จิวจี้เยียก, เฉิน อวี้เหลียน รับบท เสี่ยวเจียว, หยาง พ่านพ่าน รับสองบทคือ กีเฮียวพู้ (คนรักของเอี้ยเซียว) และบท เอี้ยปุ๊กหุ่ย (ลูกสาว เอี้ยเซียว-กีเฮียวพู้) และเฉินฟู่เซิง รับบทเป็น จูเก้าจิน หลังจากที่ได้นำออกฉายทั้งในฮ่องกงและทั่วเอเชีย ผลปรากฏว่านักแสดงนำทั้งสามคนของเรื่องนี้ คือ เจิ้งเส้าชิว เจ้าหย่าจือ และวัง หมิงเฉฺวียน ต่างโด่งดังเป็นพลุแตกขึ้นมาทันที อีกทั้งยังเป็นผลงานที่แจ้งเกิดให้กับสามสาวดาราหน้าใหม่ อย่าง เฉินอวี้เหลียน, หยาง พ่านพ่าน และ เฉินฟู่เซิง ให้เริ่มเป็นที่รู้จักในฮ่องกงอีกด้วย และจากความโด่งดังกับบทบาท "เตี๋ยเมี่ยง" ของเธอในผลงานละครเรื่องนี้ทำให้ วัง หมิงเฉฺวียน ก้าวขึ้นมาเป็นนางเอกเบอร์หนึ่งของสถานีโทรทัศน์ทีวีบีโดยทันที
ตามด้วยผลงานที่ทำให้เธอยิ่งเพิ่มความดังขึ้นไปอีก กับผลงานสุดฮิต เรื่อง ชอลิ้วเฮียง จอมโจรจอมใจ (Chor Lau Heung 1979) ซึ่งเป็นละครที่สร้างมาจากบทประพันธ์ของโกวเล้ง ออกฉายในปีพ.ศ. 2522 มีความยาว 65 ตอนจบ โดยแบ่งออกเป็นตอนย่อย ๆ ประกอบด้วย ชอลิ้วเฮียงตอนสยบบ่อฮวย และ ชอลิ้วเฮียงตอนเผด็จศึก นำแสดงโดย เจิ้งเส้าชิว รับบท ชอลิ้วเฮียง, เจ้าหย่าจือ รับบท โซวย่งย้ง, หลี่ซือฉี รับบท ลิ่วบ้อไบ๊, หวงซิ่งซิ่ว รับบท เก็งน่ำอี่, โอวหยังเพ่ยซัน รับบท ไข่มุกทะเลทราย เห็กเตียงจู และวัง หมิงเฉฺวียน รับบท ซิมฮุ่ยซัง ถึงแม้บทบาทของเธอในเรื่องนี้จะน้อยแต่ทุกครั้งที่ปรากฏตัวออกมาก็จะโดดเด่นมาก และนับได้ว่าเป็นอีกผลงานอมตะที่สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเธออีกเรื่อง และผลงานละครดังถัดมาในปีเดียวกัน อย่างเรื่อง เหนือลิขิต (Over the Rainbow 1979) มีความยาว 85 ตอนจบ โดยเธอร่วมนำแสดงกับ เซี่ยเสียน, เจิ้งเส้าชิว, อลัน ทัม และนักแสดงหญิงน้องใหม่ที่เพิ่งย้ายค่ายมาจากบริษัท เจียซื่อ อย่าง เจิ้งอวี้หลิง ก็เป็นผลงานละครที่ประสบความสำเร็จมากอีกเรื่องในปีนั้น
ต่อมาปีพ.ศ. 2523 ถือได้ว่าเป็นปีทองของเธอเลยก็ว่าได้ ด้วยทั้งผลงานละครเรื่อง คมเฉือนคม (The Shell Game 1980) ที่มีความยาว 25 ตอนจบ ที่เธอนำแสดงกับ เซี่ยเสียน, เยิ่นต๊ะหัว, และ เซียะหลี และเรื่อง ฝันสลาย (Yesterday's Glitter 1980) ที่มีความยาว 25 ตอนจบ ที่เธอนำแสดงกับ หลิวสงเหยิน ทั้งสองเรื่องนี้นั้นต่างโด่งดังและประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากทั่วเอเชีย ถือได้ว่าเธอขึ้นมายืนอยู่ในจุดสูงสุดในอาชีพการแสดงของเธอ อีกทั้งตัวเพลงประกอบละครทั้ง 2 เรื่อง ที่เธอเป็นคนขับร้องเองออกมาได้อย่างไพเราะกินใจก็ต่างโด่งดัง และกลายมาเป็นเพลงจีนอมตะจนถึงทุกวันนี้ และจากการสวมบทบาทเป็นหญิงสาวที่มีเลือดรักชาติอยู่เต็มตัวในละครเรื่อง คมเฉือนคม และบทเพลงประกอบละครที่มีชื่อว่า ชาวจีนที่กล้าหาญ《勇敢的中國人》 ซึ่งเธอเป็นผู้ขับร้องเอง จึงเป็นครั้งแรกที่เธอได้รับการเสนอชื่อจากชาวมณฑลกวางตุ้งให้เข้าเป็นสมาชิกสภาผู้แทนประชาชนของเกาะฮ่องกง ซึ่งขณะนั้นฮ่องกงยังไม่สามารถเลือกตั้งผู้แทนที่จะเข้าประชุมกับรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ได้โดยตรง
ในปีพ.ศ. 2524 ความสำเร็จยังคงต่อเนื่อง กับผลงานละครเรื่อง คมเฉือนคม ภาค 2 (The Shell Game II 1981) เป็นละครที่มีการต่อเนื่องจากภาคแรกอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะตัวละครหลักอย่าง เซี่ยเสียน และ วัง หมิงเฉฺวียน ต้องเปลี่ยนบทเป็นตัวละครอื่นไป แต่ยังคงไว้กับตัวละครเดิมที่เยิ่นต๊ะหัวแสดงไว้ในภาคหนึ่งที่นำมาเชื่อมโยงสู่ภาคสอง โดยในภาคนี้ใช้ดาราจากภาคก่อนเกือบทั้งชุด คือ เซี่ยเสียน, วัง หมิงเฉฺวียน, เยิ่นต๊ะหัว และ หวงอวิ่นไฉ แต่มีดาราดังอย่าง โจวเหวินฟะ เข้ามาร่วมแสดงนำด้วยในบทอาหลง ซึ่งก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแต่ไม่เท่า "คมเฉือนคม ภาค1" เพราะเนื้อหาของบทละครที่เข้มข้นน้อยกว่าภาคแรกนั้นเอง ตามด้วยละครฟอร์มใหญ่แห่งปีที่หยิบยกเรื่องราวในหน้าประวัติศาสตร์จีน นำมาสร้างเป็นละครทาง โทรทัศน์ในเรื่อง 14 นางสิงห์เจ้ายุทธจักร (Young's Female Warrior 1981 TVB) ที่มี 30 ตอนจบ โดย วัง หมิงเฉฺวียน รับบทเป็น มู่กุ้ยอิง สะใภ้ตระกูลหยาง ร่วมนำแสดงกับ ฝงเป๋าเป่า รับบทเป็น หยางเหวินกว่าง ลูกชายคนเดียวของหยางจงเป่า-มู่กุ้ยอิง, สือซิว รับบทเป็น เจียงซ่างฟง, หยางพ่านพ่าน รับบทเป็น องค์หญิงเฟยหงแห่งซีเซี่ย ซึ่งบทบาทของเธอในเรื่องนี้ได้รับคำชมเป็นอย่างมากว่าเธอสวมบทบาทเป็น มู่กุ้ยอิง ที่ดูสง่างามเป็นอย่างมาก ส่วนผลงานละครอื่นที่เด่น ๆ คือเรื่อง ความรักสี่ฤดู (Love Forever 1981) มี 30 ตอนจบ เธอร่วมนำแสดงกับ หลินจื่อเสียง, หวงจิ่นเซิน, เอี้ยเต๋อเสียน และ เฉินซิ่วจู จากความสำเร็จในปีนี้ทำให้ในเดือนธันวาคม เธอได้รับเลือกให้เป็น หนึ่งในสิบคนหนุ่มสาวที่โดดเด่นที่สุดแห่งปี โดยเธอเป็นศิลปินหญิงคนแรกของฮ่องกงที่ได้รับเกียรตินี้
ปีพ.ศ. 2525 เธอก็ยังคงมีผลงานละครดังุล่มทลายในฺฮ่องกง อย่างเรื่อง ฟ้ามิอาจกั้น (Love and Passion 1982) ที่มี 30 ตอนจบ ซึ่งเธอได้นำแสดงกับ เซี่ยเสียน, หลี่เหลียงเหว่ย และดาราชายดาวรุ่ง กวนหลี่เจี๋ย โดยทำเรตติ้งคะแนนเฉลี่ยสูงถึง 45 คะแนน ทำให้ติด 10 อันดับละครทีวับี ที่มีเรตติ้งสูงสุดในประวัติศาตาร์ กลายเป็นละครที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในช่วงชีวิตของเธอ (และละครเรื่องนี้ยังทำสถิติยอดผู้ชมดูละครทางทีวีทั่วโลกได้ถึง 233,670,040 ล้านคน จนติด สิบอันดับละครทีวีบีที่มีเรตติ้งมากที่สุดทั่วโลก ในอันดับที่ 5)
และผลงานละครดังในปีนั้นอีกเรื่องคือ รอยฝันรอยสลาย (Lady Sings the Blues 1982) ที่มี 10 ตอนจบ โดยเธอนำแสดงกับ อวี๋หยาง, โอวหยังเพ่ยซัน และ กัวฟง และในปีนี้ที่เกิดกระแสฮือฮาอย่างมากเมื่อ วัง หมิงเฉฺวียน ร่วมเล่นละครเวที เรื่อง นางพญางูขาว (White Snake 1982) กับนางเอกยอดนิยมชื่อดังอย่าง หมีเซียะ โดยเธอรับบทเป็นงูขาว ส่วนหมีเซียะรับบทเป็นงูเขียว
เมื่อถึงจุดสูงสุดของชีวิต ก็ย่อมต้องมีวันลงมาเช่นกัน ถือได้ว่าเป็นสัจธรรมที่ทุกคนต้องเจอ ไม่เว้นแม้แต่ดาราดังอย่างเธอก็ต้องเจอแบบนั้นเช่นกัน
ในปีพ.ศ. 2526 ด้วยกระแสความโด่งดังสุด ๆ ของละครชุดกำลังภายในฟอร์มใหญ่แห่งปีเรื่อง มังกรหยก 1983 ภาค1-4 ที่นำพาชื่อเสียงอันโด่งดังเปรี้ยงปร้างเป็นพลุแตก มาให้กับดารารุ่นน้อง อย่าง เฉินอวี้เหลียน ในบท เซียวเหล่งนึ่ง และดาราสาวดาวรุ่งหน้าใหม่ อย่าง องเหม่ยหลิง ในบท อึ้งย้ง ที่ว่ากันว่าทั้งสองต่างโด่งดังขึ้นมาแซงหน้าดารารุ่นพี่ ๆ กันเลยทีเดียว อีกทั้งในปีนี้ยังมีดาราเกิดใหม่ตามขึ้นมาอีกหลายคน อย่างเช่น หลันเจี๋ยอิง, หลิวเจียหลิง, ซังเทียนเอ๋อ และ เจิงหัวเชี่ยน เป็นต้น ซึ่งทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบี เองก็ได้มีนโยบายหันไปผลักดันส่งเสริมและป้อนงานละครให้กับนักแสดงรุ่นน้องเหล่านี้มากกว่า และแน่นอนว่าย่อมที่จะส่งผลกระทบต่อนักแสดงชื่อดังรุ่นพี่ระดับเบอร์ต้น ๆ ของทางช่อง อย่างวัง หมิงเฉฺวียน, เจ้าหย่าจือ, เจิ้งอวี้หลิง และ หวงซิ่งซิ่ว โดยในปีนี้ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบี ได้หันไปมอบหมายให้เธอเน้นไปทาง รับทำหน้าที่เป็นพิธีกรในรายการสำคัญ ๆ ของทางช่องมากกว่างานทางด้านละคร เพื่อเป็นการหลีกทางให้ดาราสาวรุ่นหลัง ๆ สามารถขึ้นมาได้ และเธอก็มีผลงานเพียงแค่เรื่องเดียว คือละครเรื่อง ฮ่องกง83 (香港八三83) แต่อย่างไรก็ตามด้วยผลงานละครที่ผ่าน ๆ มาของเธอล้วนแล้วแต่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในฮ่องกงและทำให้เธออยู่ในจุดสูงสุดของอาชีพการแสดง จึงทำให้วัง หมิงเฉฺวียนได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในเพียงไม่กี่คนของคนในวงการบันเทิงที่ได้รับเชิญให้เข้าพิธีร่วมลงนามในงานแถลงการณ์เชื่อมความสัมพันธ์กระชับมิตรระหว่างจีน กับ สหราชอาณาจักร
ปีพ.ศ. 2527 ยังคงเหมือนเดิม เธอยังคงมีบทบาทที่เน้นไปในทางรับหน้าที่เป็นพิธีกร เพราะทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบี เน้นไปปลุกปั้นนักแสดงหน้าใหม่ ๆ ให้ขึ้นมามีชื่อเสียงมากกว่า และตัวเธอเองก็มีผลงานแค่เรื่องเดียว คือ ผลงานละครอิงอัตชีวประวัติ เรื่อง "วีรสตรีชิวจิ่น" (A Woman to Remember 1984) ที่มีดาราสาวหน้าใหม่ อย่าง กง ฉือเอิน ที่ทางค่ายปลุกปั้นขึ้นมา ร่วมแสดงเป็นเรื่องแรกอีกด้วย
ในปีพ.ศ. 2528 ในขณะที่เธอยังคงโลดแล่นอยู่ในวงการอยู่นั้น ในช่วงต้นปีเธอกลับตรวจพบว่าตัวเธอเองเป็นมะเร็งต่อมไทรอยด์ขั้นต้น และผลวินิจฉัยออกมาว่าสาเหตุนั้นเกิดมาจากความผิดปกติในร่างกาย (ซึ่งร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน) รวมไปถึงการที่เธอรับประทานอาหารไม่สม่ำเสมอและยังไม่เป็นเวลาอีกด้วย ในช่วงเวลานั้นมีผู้คนมากมายแนะนำให้เธอถอนตัวออกจากวงการบันเทิง เพื่อจะได้มีเวลาเต็มที่ในการไปรักษาตัวเอง แต่เธอกลับเลือกที่จะทำงานในวงการบันเทิงที่เธอรักต่อไปควบคู่กับทำการรักษาโรคมะเร็งไปด้วย โดยเธอให้เหตุผลที่ซึ้งกินใจว่า
ถ้าเธอตายในขณะที่เธอยังได้ทำในสิ่งที่เธอรัก ถึงตายไปเธอก็ไม่เสียใจ
หลังจากเข้ารับการผ่าตัดและเคมีบำบัด พร้อมทั้งดูแลรักษาตัวอย่างระมัดระวัง ทำให้วัง หมิงเฉฺวียนฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และกลับมาแข็งแรงพร้อมที่จะลุยงานในวงการบันเทิง อีกครั้ง
ต่อมาในปีเดียวกันเธอได้มีโอกาสเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ได้ร่วมเล่นในละครฟอร์มใหญ่แห่งปี เรื่อง ขุนศึกตระกูลหยาง (The Yang’s Saga 1985) ซึ่งละครเรื่องนี้เป็นโปรเจกต์ยักษ์ที่รวมสุดยอดดาราดังเกือบทั้งหมดของสถานีโทรทัศน์ทีวีบี มาแสดงร่วมกันโดยมี 5 พยัคฆ์ทีวีบี เป็นตัวเอก และได้ระดมทัพดาราแถวหน้าทั้งค่ายมาเล่นเป็นดารารับเชิญ ละครเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นมาเนื่องในโอกาสพิเศษเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 18 ปี ทางช่องTVB ซึ่งถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ครั้งแรกและครั้งเดียวแห่งวงการจอแก้วฮ่องกงที่สามารถเอานักแสดงชื่อดังเกือบทั้งหมดของทางช่องมาเล่นในเรื่องเดียวกันได้
ในปีพ.ศ. 2529 ผลงานละครแนวอภินิหาร เรื่อง โคมวิเศษเจ้าแม่หัวซาน (The Lamp Lorc 1986) ที่ทำให้เธอกลับมาโด่งดังอย่างมากอีกครั้งกับบทบาท เจ้าแม่หัวซาน ที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในตอนที่ออกฉายทางทีวี เพราะเธอสวมบทบาทนี้ได้อย่างสง่างาม และดูมีเมตตามาก ละครเรื่องนี้มี 30 ตอนจบ โดยเธอร่วมนำแสดงกับ เยิ่นต๊ะหัว, หยางพ่านพ่าน และ หลูไห่เผิง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วละครเรื่องนี้เคยถูกทางช่องทีวีบีสร้างมาก่อนแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ 10 ปีที่แล้วในปีพ.ศ. 2519 โดยในตอนนั้นทางช่องได้สร้างเป็นละครเพลงขึ้นมาโดยมีชื่อละครว่า ละครตำนานรักพื้นบ้าน ตอน โคมวิเศษเจ้าแม่หัวซาน (民間傳奇》之寶蓮燈 1976) ซึ่งวัง หมิงเฉฺวียน ก็คือดารานำในบทเดียวกันของทั้งสองเวอร์ชันนั้นเอง นอกจากนี้เธอยังมีผลงานละครในปีเดียวกันอีกเรื่อง คือ ชวีหยวน กวีผู้รักชาติ (屈原1986)
ในขณะที่เธอกลับมาได้รับความนิยมกับผลงานละครทีวีอีกครั้ง แต่แล้วในปีพ.ศ. 2530 เธอกลับหยุดพักงานแสดงละครทีวี 1 ปี เพื่อหันไปทุ่มเทให้กับทางด้านการเล่นละครงิ้วกวางตุ้ง ที่เธอได้แสดงนำในเรื่อง มู่กุ้ยอิง ยอดหญิงตระกูลหยาง (Mu Guiying-穆桂英) และก็ถือได้ว่าเธอได้พบรักแท้จากการที่ได้ร่วมแสดงละครงิ้วในครั้งนี้กับนักแสดงงิ้วกวางตุ้งชายอันดับหนึ่งของฮ่องกงในยุคนั้นอย่าง "หลอเจียอิง" (羅家英) ผู้ซึ่งมีอายุแก่กว่าเธอแค่ 1 ปี จากความใกล้ชิดสนิทสนิมกันในตอนฝึกซ้อมนานหลายเดือน และด้วยวัยที่ใกล้เคียงกันอีกทั้งยังมีมุมมองการใช้ชีวิตที่คล้าย ๆ กันอีก ทำให้ต่อมาทั้งคู่ตัดสินใจลองคบหากันดูอย่างเปิดเผย และจากการสวมบทบาทเป็น "มู่กุ้ยอิง" ในละครงิ้วเรื่องนี้ของเธอ ก็ได้รับคำชื่นชมอย่างมากจากผู้คนในฮ่องกงที่ได้มีโอกาสไปดูการแสดงงิ้วของเธอบนเวทีการแสดง และก็เป็นละครงิ้วกวางตุ้งที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในปีนั้น จนทำให้ในปีถัดมาพ.ศ. 2531 (1988) เธอและแฟนของเธอ "หลอเจียอิง" ได้ร่วมกันก่อตั้งคณะละครงิ้วกวางตุ้งฟู่เซิง (Fusheng) ขึ้นมา ภายใต้ บริษัท ฟูกูซูมิ เรียวจู (Fukuzumi Ryojuu) ที่เธอร่วมเปิดกับครอบครัวของหลอเจียอิง ประจวบกับที่เธอถูกเสนอชื่อให้เข้าสู่การเมือง และก็ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนฮ่องกงในสภาผู้แทนราษฎรแห่งชาติโดยเธอจะต้องทำหน้าที่นี้เป็นระยะเวลาโดยประมาณ 10 ปี และในช่วงที่อยู่ในตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ เธอยังได้ทำงานด้านช่วยเหลือสังคมควบคู่ไปด้วย เช่น งานด้านมูลนิธิเกี่ยวกับเด็กและสตรี โดยเธอมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือเกี่ยวกับคดีที่เกี่ยวกับเด็กและสตรีกว่า 40 คดี ในช่วงที่เธอมีบทบาททางการเมือง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เธอไม่มีเวลาว่างพอที่จะรับเล่นละครได้เหมือนแต่ก่อน แต่ถึงกระนั้นเธอก็พยายามเจียดเวลามาเล่นละครให้แฟน ๆ ได้หายคิดถึงเป็นช่วง ๆ ผลงานที่ตามมาได้แก่ ละครตอนสั้น เรื่อง คนบาป (Behind Silk Curtains 1988) ซึ่งนำแสดงโดย เจิ้งเส้าชิว, ชีเหม่ยเจิน, โจวซิงฉือ, เหลียงเฉาเหว่ย และ หลิวเจียหลิง, ละครแนวสากลเรื่อง แดดจ้า (朝阳 1990) แสดงร่วมกับ หลีซือฉี และ เหมาซุ่นจวิน (毛舜筠) และละครโบราณเรื่อง ฤทธิ์กระบี่ฟ้าคำรณ (The Sword of Conquest 1991) นำแสดงโดย กวนหลี่เจี๋ย, โจวไห่เม่ย และ เส้าจงเหิง
จนกระทั่งดำรงตำแหน่งครบวาระในปีพ.ศ. 2539 (1997) เธอก็ได้ถอนตัวจากการเมืองและกลับเข้าสู่วงการบันเทิงในปีพ.ศ. 2541 (1998) เพื่อมารับงานแสดงเหมือนเดิมกับทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบี โดยประเดิมผลงานที่ทำให้เธอกลับเข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งกับบทบาทอาหญิง ฟางเจี้ยนผิง ในละครสากลสุดฮิตเรื่อง เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด (At the Threshold of an Era 1999) เป็นละครโทรทัศน์ที่ออกอากาศในปีพ.ศ. 2542 กล่าวถึงเรื่องราวของเพื่อนรักทั้งสองคนที่ต้องหักเหลี่ยมเฉือนคมกันอย่างถึงพริกถึงขิง นำแสดงโดย หลอเจียเหลียง, ก๊วะจิ้งอัน, เฉินจิ้งหง และ กู่เทียนเล่อ ถือได้ว่าการปรากฏตัวของเธอในเรื่องนี้ได้สร้างชื่อเสียงและความนิยมให้กับเธออย่างมากอีกครั้ง และจากความโด่งดังของละครชุดนี้ทำให้มีการสร้างภาคสองตามออกมาในปีถัดมา เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ภาค 2 ในปีพ.ศ. 2543 (At the Threshold of an Era 2000) โดยมีนักแสดงบางคนจากภาคแรกมาแสดงนำต่อ ตามต่อด้วยละครสากลในปีเดียวกันอย่างเรื่อง ทีมพยัคฆ์ล่าทรชน (A Matter Of Custom 2000) ที่เธอรับบทเป็น หลี่ฟุหมิง และยังมีนักแสดงที่ร่วมแสดงนำอย่างเช่น หลี่ชิวเสียน, หวังสี่ และ ซวนซวน
หลังจากที่ฮ่องกงได้เปลี่ยนแปลงการปกครองกลับคืนสู่ประเทศจีนเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 (1997) วงการบันเทิงฮ่องกงก็ค่อย ๆ เริ่มเข้าสู่ยุคตกต่ำในตลาดเอเชียมาตั้งแต่นั้น โดยถูกส่วนแบ่งการตลาดเอเชียกับละครซีรีส์จากประเทศอื่น ๆ เช่น ไต้หวัน, จีน และเกาหลี โดยเฉพาะซีรีส์เกาหลี ในตอนนั้นสามารถไปตีตลาดนอกประเทศเกาหลีได้สำเร็จและไปดังในหลาย ๆ ประเทศในแถบเอเชีย และเกิดกระแสฟีเวอร์ซีรีส์เกาหลีขึ้นมาแทนละครชุดฮ่องกงโดยเฉพาะในประเทศไทย เป็นผลทำให้ละครดังในฮ่องกงหลายเรื่องไม่ได้ไปแพร่หลายตามตลาดเอเชีย และถึงแม้จะมีละครดังในฮ่องกงบางเรื่องได้นำออกสู่ตลาดเอเชีย แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมหรือประสบความสำเร็จเหมือนดั่งในอดีตอีกเลย
ถึงแม้เข้าสู่ยุคตกต่ำของละครชุดฮ่องกงในตลาดต่างประเทศก็ตาม แต่สำหรับในฮ่องกงเองแล้วความนิยมในละครของบ้านเกิดตัวเองก็ยังคงเหมือนเดิม และตัวของวัง หมิงเฉฺวียนเองก็ยังคงมีผลงานที่ดัง ๆ และได้รับความนิยมในประเทศฮ่องกงอยู่ตลอด ซึ่งความนิยมชมชอบในตัวเธอของผู้ชมชาวฮ่องกง ยังคงเหมือนเดิมและไม่เปลี่ยนแปลงกว่า 50 ปีจนเธอกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ ดาวค้างฟ้า ตลอดกาลของชาวฮ่องกง มาจนถึงทุกวันนี้
ผลงานละครดัง ๆ ในยุคหลัง ๆ ที่ทำให้เธอได้ทั้งรางวัลและความนิยมมากมายในประเทศฮ่องกง แต่ไม่ได้ไปดังในตลาดต่างประเทศ ได้แก่:-
ปัจจุบันเธอยังคงทำงานทั้งในวงการบันเทิงและยังคงมีบทบาททางการเมืองควบคู่ไปกับอุทิศตนในองค์กรช่วยเหลือสังคม ทางด้านต่าง ๆ โดยมีสามี หลอเจียอิง อยู่เคียงข้าง
วัง หมิงเฉฺวียนมีบุคลิกส่วนตัวที่ดูแล้วสง่างามดุจนางพญามาตั้งแต่เธอเพิ่งเข้าวงการมาใหม่ ๆ เลยทีเดียว จึงไม่น่าแปลกใจที่ทางช่องสถานีโทรทัศน์ทีวีบี จะเห็นแววและผลักดันส่งเสริมเธอเรื่อยมาไม่ขาดจนทุกวันนี้เกินกว่า 50 ปีแล้วที่เธอได้ยืนหยัดอยู่ในวงการละครโทรทัศน์ฮ่องกงจนกลายเป็น "นางพญาเบอร์หนึ่งตลอดกาล" ของชาวฮ่องกง เพราะเธอไม่เคยห่างหายไปจากความนิยมของผู้ชมละครฮ่องกงเลย
ด้านนิสัยส่วนตัวของเธอในยุคแรก ๆ นั้นตอนที่เธอเพิ่งจะเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังใหม่ ๆ ก็มักมีข่าวจากสื่อหลายสำนักว่าเธอเป็นคนหยิ่งทะนง ไม่ค่อยยิ้มและเข้าถึงได้ยากมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี จึงเป็นที่รู้กันดีว่าตัวของวัง หมิงเฉฺวียนเองจริง ๆ แล้วเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีมากและเป็นคนยิ้มง่ายเมื่อได้พบเจอกับแฟนคลับ และเธอก็พิสูจน์ตัวเธอเองได้ว่าเธอไม่ใช่คนหยิ่งเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่เวลาที่เธอไม่ได้อยู่ในจอและใช้ชีวิตปกติเธอก็ต้องการพื้นที่ส่วนตัวเท่านั้นเอง
บทบาททางด้านการแสดงในละครที่เธอได้รับนั้นมีหลากหลายมาก แต่บทดราม่าหนัก ๆ นั้นเธอสามารถจะแสดงสีหน้าและแววตาที่สื่ออารมณ์นั้น ๆ ออกมาได้ดีมาก ๆ ส่วนใหญ่บทที่เธอได้รับมักจะเป็นผู้หญิงเก่งที่แกร่งและเข้มแข็งใจเด็ดทระนง รักศักดิ์ศรี
วัง หมิงเฉฺวียน เธอได้พบรักตั้งแต่เพิ่งเข้าวงการได้ไม่นานกับนาย หลิวชังหวา ซึ่งเป็นนักธุรกิจในวงการอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มฮ่องกง ทั้งคู่เจอกันในตอนที่เธอใกล้จะหมดสัญญาการเป็นนักแสดงกับทางค่าย "สถานีโทรทัศน์อาร์ทีวี" (RTV) ในราวปีพ.ศ. 2513 (1970) ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่เธอจะตัดสินใจบินไปเรียนการร้องเพลงและการเต้นที่ประเทศญี่ปุ่น
1 ปีให้หลังในปีพ.ศ. 2514 (1971) หลังจากเรียนจบจากประเทศญี่ปุ่นและบินกลับมายังฮ่องกง ฝ่ายชายก็รีบขอเธอแต่งงานทันที โดยที่เธอเองก็ใช้เวลาตัดสินใจไม่นานนัก แต่เธอมีข้อแม้ว่าเขาจะต้องยินยอมให้เธอมีอิสรภาพในการทำงานในวงการบันเทิงได้อย่างเต็มที่และเขาก็ตอบตกลงกับเงื่อนไขนี้ของเธอ ทำให้เธอได้ตกลงปลงใจแต่งงานกับเขาในเดือนธันวาคมปีพ.ศ. 2514 ก่อนที่เธอจะไปทุมเทให้กับการแสดงอีกครั้ง ชีวิตรักของคนทั้งสองนั้นดูเหมือนจะหวานชื่นมากเพราะทั้งคู่ดูรักกันมาก แต่แล้วก็มีเรื่องราวอื้อฉาวเกิดขึ้นในราวต้นปีพ.ศ. 2518 (1975) ในงานโชว์ตัวการกุศลแห่งหนึ่งที่อยู่ในโปรแกรมรายการของสถานีโทรทัศน์ทีวีบี เมื่อมีนักข่าวสามารถถ่ายภาพตอนที่เธอเดินจับมือแนบแน่นกับดารา-พิธีกรตลกอารมณ์ดี อย่างนาย เหอโส่วซิ่น (何守信) จนกลายเป็นข่าวซุบซิบในวันถัดมาเมื่อภาพดังกล่าวถูกตีพิมพ์ลงทางหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งในตอนนั้นเป็นประเด็นข่าวที่ร้อนแรงและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก เพราะนาย "เหอโส่วซิ่น" คนนี้เป็นที่รู้กันดีว่าเขามีภรรยาที่ชื่อ "อู่เจียฮุย" (Ou Jia Hui) อยู่แล้วซึ่งก็เป็นศิลปินนักแสดงที่อยู่ในสังกัดทีวีบีเช่นกัน และตัวของ อู่เจียฮุย เองก็เป็นเพื่อนของวัง หมิงเฉฺวียน ซึ่งตัวของวัง หมิงเฉฺวียนเองก็มีสามีผู้แสนดีอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นข่าวอื้อฉาวหนักมาก จนทำให้นาย เหอโส่วซิ่น ต้องรีบออกมาปฏิเสธถึงเรื่องรูปภาพที่เป็นข่าวฉาวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับวัง หมิงเฉฺวียนเป็นแค่เพื่อนธรรมดาเท่านั้น เพื่อเป็นการสยบข่าวฉาวเรื่องนี้ แต่ต่อมา...หลังจากเกิดข่าวลือได้ไม่นาน ฝ่ายชายก็ได้ฟ้องหย่ากับภรรยาของเขาทำให้เกิดข่าวฉาวขึ้นมาอีกว่า วัง หมิงเฉฺวียน คือมือที่สาม ที่ทำให้ความรักของคนทั้งสองนั้นมีอันต้องอับปาง ข่าวนี้ยังส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างวัง หมิงเฉฺวียนและสามี เช่นกัน หลังจากนั้นก็มีข่าวที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนักระหว่างเธอกับสามีออกมาเป็นข่าวเป็นช่วง ๆ
จนในปีพ.ศ. 2523 วัง หมิงเฉฺวียน ได้มีโอกาสทำหน้าที่เป็นพิธีกรในรายการหนึ่งของสถานีโทรทัศน์ทีวีบี โดยได้ร่วมงานกับเพื่อนเก่าซึ่งเป็นดารา-พิธีกรพ่อหม้าย อย่างนาย เหอโส่วซิ่น (何守信) ที่หลังจากหย่ากับภรรยาเก่าเขาก็ครองโสดมานานหลายปี เมื่อทั้งสองได้ทำงานและเป็นพิธีกรร่วมกัน ปรากฏว่าเข้าขากันได้ดีมากจนมีข่าวว่าทั้งสองตกหลุมรักกันขึ้นมาจริง ๆ และกลายเป็นข่าวฉาวขึ้นมาอีกครั้ง เพราะตอนนั้นทางวัง หมิงเฉฺวียน เองก็ยังคงใช้ชีวิตคู่อยู่กับสามี ทำให้ในปีต่อมาพ.ศ. 2524 วัง หมิงเฉฺวียน ได้ทำการยื่นต่อศาลเพื่อทำการขอหย่ากับสามี โดยให้เหตุผลถึงหลาย ๆ สาเหตุที่ทำให้ชีวิตคู่ครั้งนี้ของเธอล่ม รวมไปถึงนิสัยบ้างานของเธอก็มีส่วนที่เป็นหนึ่งในเหตุผลเหล่านั้น หลังจากที่ได้ทำการยื่นเรื่องขอหย่ากันแล้วทั้งคู่ต้องแยกกันอยู่อีก 2 ปีถึงจะสามารถหย่ากันได้สมบูรณ์ตามกฎหมายของฮ่องกง และในช่วงนี้เธอก็คบกับนาย "เหอโส่วซิ่น" อย่างเปิดเผยโดยไม่แคร์ต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ใด ๆ
ต่อมาเธอก็สามารถหย่ากับสามีเก่าได้สำเร็จอย่างสมบูรณ์ถูกต้องตามกฎหมายของฮ่องกงในปีพ.ศ. 2526 (1983) ส่วนความรักระหว่างเธอกับนาย "เหอโส่วซิ่น" ดูหวานชื่นมากจนหลายคนก็นึกว่าเธอจะลงเอยกับพ่อหม้ายหนุ่ม เหอโส่วซิ่น คนนี้แน่นอน แต่ต่อมา...หลังจากนั้นฝ่ายชายก็มักจะมีข่าวคาวด้านลบปรากฏทางหน้าหนังสือพิมพ์กับสาว ๆ หลายต่อหลายคน เช่น เวิ่นหลิวเม่ย (溫柳媚) หรือแม้กระทั่งนักแสดงสมทบรุ่นน้องชื่อดัง อย่าง จิ้งไต้อิ่ง (景黛音) ก็เคยมีข่าวเข้าไปพัวพันกับฝ่ายชายอยู่พักหนึ่ง จนทำให้ในช่วงเวลานั้นเธอคิดมากถึงขนาดน้ำหนักลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด จนในปีพ.ศ. 2528 เธอได้ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งต่อมไทรอยด์ระยะแรก ซึ่งเป็นช่วงที่มืดมนที่สุดในชีวิตของเธอ แต่ด้วยอายุที่ยังไม่มากเธอจึงตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดและฉายแสงจนเธอสามารถกลับมาหายได้เป็นปกติในระยะเวลาอันสั้น หลังจากที่เธอรับการรักษาจนหายแล้ว เธอได้ออกมาเปิดเผยว่าสาเหตุที่ร่างกายของเธอทรุดลงไปและกลายเป็นมะเร็งต่อมไทรอยด์นั้น ส่วนหนึ่งมาจากเธอตรอมใจในความรักกับนาย "เหอโส่วซิ่น" นั่นเอง
ในช่วงที่ความรักของเธอยังคงมีปัญหาคาราคาซัง กลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับนาย "เหอโส่วซิ่น" อยู่นั้นแต่แล้วในปีพ.ศ. 2530 (1987) เธอได้มีโอกาสร่วมงานแสดงละครงิ้วกวางตุ้งกับนาย หลอเจียอิง ซึ่งในตอนนั้นเขาเป็นนักแสดงอุปรากรจีนกวางตุ้งชื่อดังแถวหน้าของชาวฮ่องกงและได้มองหานางเอกคนใหม่เพื่อมาขึ้นเวทีแสดงงิ้วกวางตุ้งด้วยกันกับเขาและเขาเป็นคนเลือก วัง หมิงเฉฺวียนให้มาสวมบทบาทเป็น มู่กุ้ยอิง ในละครงิ้วกวางตุ้งเรื่อง มู่กุ้ยอิงถล่มเมืองหังโจว ที่จะทำการเปิดรอบแสดงบนเวทีในปีพ.ศ. 2531 (1988) จากการที่ได้ใกล้ชิดกันในตอนซ้อมละครนานหลายเดือน อีกทั้งวัยวุฒิและมุมมองการใช้ชีวิตที่คล้าย ๆ กัน ทำให้นับแต่นั้นความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ก็เริ่มเบ่งบานและกลายเป็นความรู้สึกดี ๆ ขึ้นมาโดยฝ่ายชายตกหลุมรักเธอเข้าอย่างจังและขอเธอเป็นแฟน แต่ทว่าวัง หมิงเฉฺวียนยังไม่เปิดใจ เพราะเธอเห็นเขาเสมือนเพื่อนคู่คิดมากกว่าและยังไม่รับปากว่าจะคบเขาในฐานะแฟนทันที เพียงแต่ให้ลองคบหากันไปก่อน เพราะปัญหาความรักของเธอกับนาย "เหอโส่วซิ่น" นั้นก็ยังไม่มีบทสรุปว่าจะจบลงอย่างไร แต่นาย หลอเจียอิง บอกเธอว่า เขารอเธอได้เสมอ
จนกระทั่งในราวต้นปีพ.ศ. 2533 (1990) ได้เกิดข่าวฉาวว่านาย "เหอโส่วซิ่น" ไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับศิลปินนักร้อง-นักแสดงและพิธีกรสาวรุ่นน้อง อย่าง เฉินลี่ซือ (陈丽斯) เมื่อเธอได้ข่าวและรับรู้ถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสองถึงกับหมดความอดทน จนเป็นสาเหตุให้ต่อมาเธอได้ตัดความสัมพันธ์รักครั้งนี้ลงไปถึงขนาดประกาศเลยว่า เธอจะไม่มีวันให้เขาคนที่ทำเธอเจ็บปวดได้เห็นหน้าของเธออีก ต่อมาได้มีการเปิดเผยอีกว่าในช่วง 10 ปีที่เธอรักกับนาย "เหอโส่วซิ่น" อยู่นั้น 6 ปีหลังเป็นช่วงที่เธอต้องทนทุกข์กับความรักครั้งนี้เป็นอย่างมากถึงขนาดต้องเข้าพบกับจิตแพทย์ เพื่อรักษาเยียวยาทางด้านจิตใจกันเลยทีเดียว
หลังจากประสบความรักที่ผิดหวังในครั้งนั้นแล้ว วัง หมิงเฉฺวียน ได้ตัดสินคบกับนาย หลอเจียอิง ในฐานะคนรู้ใจ อย่างเปิดเผยต่อสาธารณชนและมิได้ปิดปังอันใด จนเวลาผ่านไปนานหลายปีทั้งคู่ก็ยังคงไม่ได้แต่งงานกันเลย ซึ่งที่จริงแล้วในแต่ละปีพอครบรอบวันเกิดของเธอในทุก ๆ ครั้ง ฝ่ายชายก็จะซื้อดอกกุหลาบช่อโตมาขอเธอแต่งงานทุกครั้งไป แต่ทว่า...ในทุก ๆ ครั้งเธอก็ตอบปฏิเสธเขามาโดยตลอด และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ วัง หมิงเฉฺวียนเคยให้สัมภาษณ์ถึงความรู้สึกที่เธอได้ปฏิเสธเขาไปทุกครั้ง เพราะเธอเห็นว่า
"พวกเราทั้งสองคนต่างก็มีอายุที่มากแล้ว ต่างคนต่างก็ชินกับการอยู่คนเดียวมานาน เขาเองก็ไม่เคยแต่งงานมาก่อนเลยไม่รู้ว่าชีวิตคู่นั้นเป็นอย่างไร ส่วนตัวของฉันเองก็เคยผ่านการหย่าร้างมาและใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมานานจนชินแล้วเช่นกัน การที่ต้องมาใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันเกือบทุกวันในบ้านหลังเดียวกันนั้น เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและลึกซึ้งมาก ฉันกลัวว่าตัวเองจะอยู่ร่วมกับเขาแบบนั้นไม่ได้ แล้วอีกอย่างการที่พยายามจะจับคนสองคนมาขังอยู่ในบ้านเดียวกัน ฉันรู้สึกว่ามันไม่จำเป็นเลย"
จนกระทั่งในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2547 (2004) นาย "หลอเจียอิง" เกิดมีปัญหาสุขภาพอย่างหนักขึ้นมา ต่อมาได้รับการตรวจพบว่าเป็นมะเร็งตับระยะขั้นสาม และเมื่อวัง หมิงเฉฺวียน ทราบข่าวร้ายถึงกับนอนร้องไห้ทั้งคืน พอรุ่งเช้าเธอก็รีบเดินทางไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล ต่อมาต้นปีพ.ศ. 2548 (2005) เขาได้เข้าทำการรักษา ว่ากันว่าช่วงเวลานั้น วังหมิงเฉวียนยอมรับงานในวงการบันเทิงน้อยลงเพื่ออยู่ดูแลเขากันเลยทีเดียว จนกระทั่ง 3 ปีต่อมาในขณะที่ฝ่ายชายยังคงทำการรักษามะเร็งอยู่นั้น ทั้งเธอและเขาต่างตระหนักถึงความไม่แน่นอนในชีวิต จึงตัดสินใจแต่งงานกันในวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 (2009) ซึ่งครบปีที่ 21 พอดีที่คนทั้งคู่ได้ตัดสินใจคบหากัน วังหมิงเฉวียนในวัย 61 ปี ได้เข้าพิธีแต่งงานกับ "หลอเจียอิง" ในวัย 62 ปีโดยทั้งคู่จดทะเบียนสมรสและแต่งงานกันที่เมืองลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ได้แต่งงานกันแล้ว เขาก็กลับไปรักษาตัวเหมือนเดิม โดยมีวังหมิงเฉวียน อยู่เคียงข้างเสมอ จนในที่สุดนาย หลอเจียอิง ก็สามารถเอาชนะโรคมะเร็งที่เป็นอยู่ได้สำเร็จในปีพ.ศ. 2558 (2015) ซึ่งครบ 10 ปีที่ทำการรักษาพอดี
ปัจจุบัน วังหมิงเฉวียนก็ยังคงรับงานแสดงเหมือนเดิมและยังคงอุทิศตนให้กับงานทางการเมืองอีกด้วย โดยมีนายหลอเจียอิง ผู้เป็นสามีอยู่เคียงข้างให้กำลังใจเสมอมา ทั้งคู่ไม่มีบุตรด้วยกันแต่อย่างใด แต่ วังหมิงเฉวียน มีบุตรสาวสองคนที่เธอรับอุปการะตั้งแต่เด็ก คือเซียะถิงถิง และ นิโคลัส เติ้ง ซึ่งทุกวันนี้ทั้งคู่โตเป็นสาวและมีชื่อเสียงในแวดวงฮ่องกง[5][6][7][8][9][10]
เป็นที่รู้กันดีว่านอกจากบทบาทการแสดงอันโด่งดังของเธอแล้ว การเป็นนักร้องก็เป็นอีกบทบาทหนึ่งในวงการบันเทิงที่เธอก็พบกับความสำเร็จเช่นกัน เธอเคยออกผลงานเพลงมาแล้ว 40 กว่าอัลบั้มทั้งที่เป็นผลงานเดี่ยวและเป็นบทเพลงที่ใช้ประกอบละคร โดยเฉพาะบทเพลงในละครที่เธอเล่นต่างได้รับความนิยมอย่างสูงไม่แพ้ผลงานละครที่เธอแสดงเลย ซึ่งบทเพลงประกอบละครที่แสนไพเราะหวานซึ้งตรึงใจมากมายที่เธอได้ขับขานลงในละครที่เธอเล่นนั้น ต่างก็ได้รับความนิยมอย่างมากจนทุกวันนี้บทเพลงเหล่านั้นได้กลายเป็นเพลงจีนกวางตุ้งอมตะขึ้นหิ้ง ในประเทศไทยบทเพลงที่เธอได้ขับขานจนได้รับความนิยมนั้นมีหลายเพลงด้วยกัน เช่นเพลงจากละครเรื่อง "ฝันสลาย" (京华春梦) ที่วงดนตรี " ฮอตเปปเปอร์" ของชาวไทยนำทำนองมาใส่เนื้อไทยโดยใช้ชื่อเพลงว่า "หัวใจสลาย" และบทเพลงประกอบละครเรื่อง "คมเฉือนคม ภาค 2" ที่วงดนตรี "ดอกไม้ป่า" ของชาวไทยนำทำนองมาใส่เนื้อไทยโดยใช้ชื่อเพลงว่า "ทุยใจดำ" รวมทั้งบทเพลงประกอบในละครเรื่อง "คมเฉือนคม ภาค1" ที่ได้นำทำนองมาใส่เนื้อไทยโดยใช้ชื่อเพลงว่า "โลกของผึ้ง" ที่ขับร้องโดยราชินีลูกทุ่งเมืองไทย อย่าง คุณพุ่มพวง ดวงจันทร์ ซึ่งทั้งหมดก็เป็นเพลงในอดีตที่เคยฮิตถล่มทลายในประเทศไทยมาแล้วทั้งนั้น
นอกจากงานในวงการบันเทิงแล้ว วังหมิงเฉวียน เคยดำรงตำแหน่งเป็น สส.ฮ่องกง นานหลายสมัย ประมาณ 10 ปี และยังทำงานทางด้านช่วยเหลือสังคม เช่น งานด้านมูลนิธิเกี่ยวกับ เด็ก, ,สตรี, คนยากจนและผู้ป่วยโรคมะเร็ง
อีกทั้งเธอยังได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนประชาชนของเกาะฮ่องกง และอุทิศตัวให้แก่งานการกุศลด้วย เช่น การเป็นทูตของอ๊อกแฟม (Oxfam) สาขาฮ่องกง ซึ่งเป็นองค์กรเกี่ยวกับการช่วยเหลือในแหล่งยากจนทั่วโลก เป็นหนึ่งในสมาชิกคณะกรรมการต่อต้านโรคมะเร็งแห่งฮ่องกง รวมถึงเป็นประธานสมาคมผู้ประกอบวิชาชีพด้านสื่อโทรทัศน์แห่งฮ่องกง
รางวัลสำคัญที่ได้รับ
รางวัลทางด้นดนตรี