วิกฤตการณ์วังหน้า (อังกฤษ: Front Palace Crisis) เป็นวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักรสยามตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2417 ถึงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2418 วิกฤตการณ์ดังกล่าวเป็นการแย่งชิงอำนาจระหว่างกลุ่มปฏิรูปนำโดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และกลุ่มอนุรักษ์นิยมนำโดยกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์พระราชโอรสองค์โตในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2411 พร้อมกับที่พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ กรมหมื่นบวรวิไชยชาญพระราชโอรสองค์โตในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รับสถาปนาให้เป็นวังหน้าโดยเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) สมุหพระกลาโหมผู้ทรงอำนาจและอิทธิพลในวันเดียวกัน
การปฏิรูปที่ก้าวหน้าของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวปลุกเร้าความเดือดดาลของกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญและขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่เห็นว่าอำนาจและอิทธิพลของตนถูกกัดเซาะอย่างช้า ๆ เหตุเพลิงไหม้ในพระบรมมหาราชวังทำให้เกิดการเผชิญหน้ากันอย่างเปิดเผยระหว่าง 2 ฝ่าย ส่งผลให้กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญต้องหลบหนีไปยังสถานกงสุลอังกฤษ ในที่สุดทางตันก็คลี่คลายได้ด้วยการปรากฏตัวของเซอร์แอนดรูว์ คลาร์ก ผู้ว่าการของสเตรตส์เซตเทิลเมนต์ ซึ่งสนับสนุนองค์กษัตริย์เหนือพระญาติของพระองค์ ต่อมาวังหน้าก็ถูกลดอำนาจและกำลังพลลง และหลังจากที่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทิวงคตในปี 2428 ปีต่อมาตำแหน่งวังหน้าก็ถูกยกเลิกไป
นับตั้งแต่การสถาปนาสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้เป็นพระเชษฐาเมื่อปี 2394 วังหน้าก็ได้รับอำนาจและบารมีเป็นจำนวนมาก เนื่องจากสยามไม่มีกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ ตำแหน่งวังหน้าจึงมีความเหมาะสมในตำแหน่งรัชทายาทโดยสันนิษฐานที่จะได้สืบราชบัลลังก์[1] วังหน้ายังมีกองทัพของตัวเองมากกว่า 2,000 นายที่ฝึกฝนและติดอาวุธแบบตะวันตก[2] พระองค์ยังมีกองทัพเรือของพระองค์เองด้วยประกอบด้วยเรือจักรไอน้ำหลายลำ วังหน้ายังมีส่วนแบ่งรายได้ของรัฐมากกว่า 1 ใน 3 ของแผ่นดินที่มอบให้กับพระองค์โดยตรงสำหรับการบำรุงดูแลเหล่าขุนนาง มหาดเล็ก ราชสำนัก และนางสนม[1][3][4]
ในเดือนสิงหาคม 2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวติดเชื้อมาลาเรียขณะทรงเสด็จไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่ตำบลหว้ากอเมืองประจวบคีรีขันธ์ พระองค์เสด็จสวรรคตในอีก 6 สัปดาห์ต่อมาคือในวันที่ 1 ตุลาคม เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานารถ พระราชโอรสองค์โตซึ่งมีพระชนมายุเพียง 15 พรรษาในขณะนั้น ได้เป็นกษัตริย์อย่างเป็นเอกฉันท์ท่ามกลางที่ประชุมของพระราชวงศ์อาวุโส, ขุนนางชั้นผู้ใหญ่และพระสงฆ์[5] โดยมีเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นประธานในการประชุม ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ด้วย[6][7]
ในระหว่างการประชุมเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ได้เสนอพระนามพระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ กรมหมื่นบวรวิไชยชาญเป็นวังหน้าองค์ต่อไปซึ่งเกือบทั้งหมดในที่ประชุมเห็นด้วยในการเสนอพระนาม ยกเว้นพระองค์เจ้าปราโมช กรมขุนวรจักรธรานุภาพที่ไม่เห็นด้วย[6] กรมขุนวรจักรธรานุภาพแย้งว่าการแต่งตั้งตำแหน่งที่สำคัญเช่นนี้เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์แต่เพียงพระองค์เดียว ไม่ใช่ของที่ประชุม และที่ประชุมควรรอจนกว่าองค์กษัตริย์จะบรรลุนิติภาวะสามารถแต่งตั้งได้ด้วยพระองค์เอง อีกทั้งตำแหน่งวังหน้าไม่สามารถสืบต่อทางสายพระโลหิตและการแต่งตั้งโอรสของอดีตวังหน้าอาจเป็นอันตรายได้[1] การเสนอพระนามกรมหมื่นบวรวิไชยชาญเสนอโดยเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ผู้มีอำนาจ โดยเสนอพระนามของพระบรมวงศานุวงศ์ผู้มีความสามารถและประสบการณ์เป็นวังหน้าองค์ใหม่ (เป็นลำดับแรกในการสืบราชบัลลังก์) เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ตัดสินใจโต้กลับโดยกล่าวหากรมขุนวรจักรธรานุภาพว่า ที่ไม่ยอมนั้น อยากจะเป็นเองหรือ กรมขุนวรจักรธรานุภาพตรัสตอบอย่างเบื่อหน่ายว่า ถ้าจะให้ยอมก็ต้องยอม ส่งผลให้กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ พระชนมายุ 30 พรรษา ได้รับสถาปนาให้เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลพระองค์ที่ 5
วันที่ 11 พฤศจิกายน 2411 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นพระญาติของกรมราชวังบวรวิไชยชาญ สวมมงกุฎเป็นพระมหากษัตริย์สยามในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 1 ณ พระบรมมหาราชวัง
เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2416 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวบรรลุนิติภาวะอย่างเป็นทางการเมื่อพระชนมายุ 20 พรรษา ส่งผลให้ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ต้องสิ้นสุดลง ในช่วง 5 ปีแห่งการสำเร็จราชการแทนพระองค์ กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญได้ตัดสินพระทัยจำกัดบทบาทและพระราชอำนาจของพระองค์เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่แต่งตั้งพระองค์ให้ดำรงตำแหน่ง ภายหลังการยุบตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญจึงได้ตัดสินพระทัยกลับคืนสู่พระราชอำนาจในพระราชสำนักอีกครั้ง โชคไม่ดีที่ในเวลาเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระอนุชาของพระองค์ (ในนามของกลุ่มสยามหนุ่ม) กำลังพยายามรวมพระราชอำนาจกลับคืนสู่องค์กษัตริย์ซึ่งสูญเสียไปตั้งแต่พระราชบิดาเสด็จสวรรคต[8] ด้วยแรงผลักดันจากการศึกษาแบบตะวันตก กลุ่มสยามหนุ่มจึงมุ่งหวังที่จะรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง และสร้างชาติให้เข้มแข็งภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจำเป็นต้องดำเนินการปฏิรูปที่รุนแรงในทุกส่วนของรัฐบาล[9]
ในปี 2416 หลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ (ปัจจุบันคือกระทรวงการคลัง) จัดตั้งขึ้นเพื่อลดความซับซ้อนและปรับปรุงระบบการจัดเก็บภาษีและรายได้ของรัฐเข้าสู่ท้องพระคลังให้ทันสมัย อย่างไรก็ตาม ในเวลาเดียวกัน มันก็กีดกันการควบคุมภาษีที่ดินของขุนนาง (ในฐานะเจ้าของที่ดิน) ซึ่งถือเป็นรายได้ส่วนใหญ่ของพวกเขามาหลายชั่วอายุคน
{{cite book}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date=
(help) Full text also at Google Books: The Kingdom and People of Siam