ศาสนาพื้นเมืองมาเลเซีย (มลายู: Agama rakyat Malaysia) คือ ความเชื่อหรือปฏิบัติบูชาผีและเทวดาหลายองค์ของประเทศมาเลเซียซึ่งมีมาตั้งแต่ยุคก่อนรับศาสนาอิสลาม ด้วยเหตุนี้พิธีกรรมของศาสนาพื้นเมืองมาเลเซียอาจมีการจัดอย่างเปิดเผยหรือซ่อนเร้นตามแต่ประเภทของพิธีกรรม
รัฐบาลมาเลเซียไม่ยอมรับการมีอยู่ของศาสนาพื้นเมืองมาเลเซียในรูปแบบของศาสนาเพื่อวัตถุประสงค์ทางสถิติ ปัจจุบันศาสนาพื้นเมืองมาเลเซียมีปฏิสัมพันธ์ยิ่งกับศาสนาพื้นเมืองจีนในกลุ่มชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน
ศาสนาพื้นเมืองมาเลเซียมีรูปแบบการประกอบพิธีกรรมที่หลากหลาย มีคนทรงพื้นบ้านหลายแบบ ได้แก่ โบโมะฮ์ (ในไทยเรียก โต๊ะบอมอ), ปาวัง (ในไทยเรียก โต๊ะปะหวัง) และดูกุน ชนพื้นเมืองโอรังอัซลีส่วนใหญ่นับถือผีและเชื่อว่าวิญญาณสิงสถิตในวัตถุบางอย่าง ทว่าในยุคหลังมีการประกาศศาสนาของศาสนาอิสลาม และการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ของมิชชันนารี ทำให้ชาวโอรังอัซลีจำนวนไม่น้อยเปลี่ยนไปนับถือศาสนากระแสหลัก
ชนเผ่าบนเกาะบอร์เนียวเริ่มเลิกนับถือผี และคำว่า โบโมะฮ์ ใช้เรียกผู้ที่มีความรู้หรือมีอำนาจในการประกอบพิธีกรรมทางจิตวิญญาณตามจารีตประเพณี และใช้เรียกแทนคนทรงหรือหมอผีได้ ปัจจุบันชาวมาเลเซียยังมีความเชื่อเรื่องผีอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบชนบท ขณะที่ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนนับถือผีเจ้าที่แขก ในประเทศไทยเองก็มีความเชื่อเรื่องเจ้าที่แขกเช่นกัน เช่น โต๊ะแซะ พระแทว และโต๊ะรายาในจังหวัดภูเก็ต[1] ซึ่งบูชาโดยไม่ถวายเครื่องเซ่นที่ทำจากเนื้อหมู[2][3]
ในอดีตบริเวณคาบสมุทรมลายูนี้เคยเป็นที่ตั้งของอาณาจักรที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาฮินดู-พุทธและผีมาก่อน ต่อมามีการเผยแผ่ศาสนาอิสลามใน ค.ศ. 1409 เมื่อเจ้าชายปาราเมซวารา (หรือ ปรเมศวร) เจ้าผู้ครองรัฐสุลต่านมะละกา เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามหลังอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงแห่งรัฐสุลต่านซามูเดอราปาไซ หลังจากนั้นเป็นต้นมา ศาสนาอิสลามก็เป็นที่แพร่หลายและมีอิทธิพลสูงยิ่งต่อประเทศมาเลเซียในปัจจุบัน ขณะที่ชนเผ่าบนเกาะบอร์เนียวก็ยังนับถือผีกันอย่างแพร่หลาย ก่อนการเข้ามาของมิชชันนารีศาสนาคริสต์จากยุโรป เพราะฉะนั้นการล่าหัวมนุษย์เพื่อทำเป็นของขลังจึงมีอยู่แพร่หลาย[4]
ชาวกาดาซัน-ดูซุนในรัฐซาบะฮ์ นับถือศาสนาโมโมเลียน (Momolianisme) บูชาเทพกีโนอิงงัน (Kinoingan) เป็นเทพเจ้าแห่งข้าว และมีเทศกาลกาอามาตัน (Kaamatan) เป็นเทศกาลเก็บเกี่ยว มีโบโบฮีซัน (Bobohizan) ซึ่งเป็นคนทรงมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนา แต่ปัจจุบันชาวกาดาซัน-ดูซุนเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์เสียมาก ศาสนาโมโมเลียนก็แทบจะสูญไป[5]
ขณะที่การนับถือผีของชาวอีบันในรัฐซาราวัก มีการพัฒนา ซับซ้อน และทรงปัญญามากที่สุดศาสนาหนึ่ง[6] มีการปฏิบัติคล้าย ๆ กับกาฮารีงัน (Kaharingan) ศาสนาพื้นเมืองของประเทศอินโดนีเซีย แต่พิธีกรรมต่างกันโดยสิ้นเชิง และขึ้นอยู่กับพิธีกรรมในแต่ละชาติพันธุ์ที่ปฏิบัติ
ในอดีต ความเป็นมลายูและความเป็นมุสลิมไม่ได้เป็นปัจจัยเชื่อมโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน บางท้องที่ของชุมชนเชื้อสายมลายูมีการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อพื้นเมือง อย่างเช่น พิธีปูยาปาตาหรือพิธีบูชาชายหาดของเมืองยะหริ่ง จะมีการก่อทรายคล้ายรูปพระเจดีย์กลางลานริมทะเล ประดับประดาด้วยดอกไม้ ผลไม้ และอาหาร ผู้คนทั้งชาวสยาม จีน และมลายูต่างหยุดงานเพื่อเข้าร่วมพิธีกรรมและต่างนำอาหารมาฉลองด้วยกัน ซึ่งจะมีการจัดมหรสพต่าง ๆ คือ มะโย่ง มโนราห์ และวายังกูลิต (หนังตะลุง) ครั้นวันที่หกของพิธีกรรม จะมีการนำควายเผือกวัยหนุ่มมาเดินรอบเจดีย์ทรายสามรอบ แล้วทำการเชือดพลีบูชาโดยไม่ได้เลือดตกถึงพื้น ก่อนผ่าร่างควายเป็นสองส่วนและแยกอวัยวะภายในออกมา จากนั้นเอาฟางยัดใส่ร่างควายเผือกแล้วไปตั้งไว้บนแพ ต่อมาในวันที่เจ็ด รายอยะหริ่งจะแต่งกายเต็มยศ นำผู้คนร่ายรำและแห่แพควายเผือกรอบเจดีย์ทรายสามรอบ จากนั้นให้เก็บทรายคนละถุง แล้วเริ่มปล่อยเรืออกนอกฝั่ง เมื่อถึงจุดหมายมโนราห์จะเริ่มร่ายรำรอบ ๆ ซากควายเผือก อวัยวะภายในของควายจะถูกทิ้งลงทะเล แพควายเผือกจะถูกปล่อยให้ลอยทะเลไปตามกระแสคลื่น เมื่อเสร็จการลอยแพ เรือของชาวมลายูกลับเข้าใกล้ฝั่ง ก็จะนำทรายที่กรอกไว้ก่อนหน้านี้ปาใส่คนจีนและสยามบนชายหาดซึ่งก็โต้ตอบด้วยวิธีเดียวกันจนทรายหมด จากนั้นองค์รายอก็เชื้อเชิญให้ทุกคนรับประทานอาหารร่วมกัน[8]
ปัจจุบันโบโมะฮ์ยังมีผู้ประพฤติปฏิบัติอยู่ โบโมะฮ์ทั้งหมดเข้าร่วมศาสนาอิสลามและไม่ได้เป็นสิ่งต้องห้าม[9] พวกเขาเป็นที่รู้จักในฐานะหมอพื้นบ้านหรือการรักษาทางเลือก อย่างไรก็ตามผู้คนในสังคมบางส่วนก็มองพวกเขาในแง่ลบ เช่น พวกเขาเชื่อว่าโบโมะฮ์สามารถร่ายคาถาสาปสรรคนอื่นให้ฉิบหายได้ และผู้ที่จะเป็นโบโมะฮ์ก็ลดจำนวนลงด้วยเช่นกัน[9] ส่วนในไทย บรรดาโต๊ะครูก็มีชื่อเสียงด้านการรักษาอาการเจ็บป่วยหรือแก้คุณไสย พวกเขามีสถานะเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ และกล่าวว่าการกระทำนั้นไม่ผิดหลักศาสนา[10] กระนั้น ฮันตู หรือผี กลับเป็นสัญลักษณ์แห่งความงมงายและล้าหลัง[11]
ไม่นานมานี้ มีข้อเสนอเรื่องความจำเป็นและความสำคัญจากการรักษาด้วยโบโมะฮ์หรือหมอผีอื่น ๆ ในฐานะแพทย์แผนโบราณเพื่อเสริมหรือทดแทนแพทย์แผนปัจจุบัน[5][12]
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate=
(help)
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate=
(help)
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate=
(help)