บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา | |
---|---|
ประสูติ | 5 มีนาคม พ.ศ. 2381 อาณาจักรรัตนโกสินทร์ |
พิราลัย | 13 เมษายน พ.ศ. 2447 (66 ปี) อาณาจักรสยาม |
พระสวามี | พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว |
พระบุตร | |
ราชวงศ์ | จักรี (สถาปนา) |
พระบิดา | หลวงอาสาสำแดง (แตง) |
พระมารดา | ท้าวสุจริตธำรง (นาค) |
สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา พระนามเดิม เปี่ยม (สกุลเดิม สุจริตกุล; 5 มีนาคม พ.ศ. 2381 – 13 เมษายน พ.ศ. 2447) เป็นพระสนมเอก[1]ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชชนนีของพระอัครมเหสีในรัชกาลที่ 5 ถึงสามพระองค์คือ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นพระอัยยิกาฝ่ายพระชนนีในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นพระปัยยิกาในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร[2]
เจ้าจอมมารดาเปี่ยม ได้รับการสถาปนาเป็น เจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยม เจ้าคุณพระอัยยิกาเปี่ยม และหลังจากพิราลัยได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเจ้า ทรงพระนามว่า สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา[3] โดยสร้อยพระนาม "ศรีพัชรินทรมาตา" มีความหมายว่า เป็นพระมารดาของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา ประสูติเมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2381 เป็นธิดาหลวงอาสาสำแดง (แตง) และท้าวสุจริตธำรง (นาค) ต้นราชินิกูลสุจริตกุล พระองค์สืบเชื้อสายจีนมาแต่ฝ่ายบิดาและมารดา[4][5] ในบันทึกของแอนนา ลีโอโนเวนส์ระบุว่าเจ้าจอมมารดาเปี่ยมนั้นมีเชื้อสายจีนจากบิดา และไม่มีชาติกำเนิดสูงส่งอย่างใด[6]
เบื้องต้น เปี่ยมเข้าเป็นนางฟ้อนในคณะละครหลวง[7] ก่อนได้รับการแต่งตั้งเป็นบาทบริจาริกาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จากการที่เจ้าจอมมารดาเปี่ยมไม่ได้เป็นเจ้า พระราชบุตรจึงมีฐานันดรศักดิ์เป็นพระองค์เจ้า[7] แม้นางจะไม่มีชาติกำเนิดสูงส่ง ทว่าฉลาด สามารถชักพาญาติพี่น้องรับราชการ และนำคนจีนจำนวนมากให้ไปรู้จักกับกษัตริย์สยาม ดังปรากฏในหนังสือของแอนนา ลีโอโนเวนส์ ความว่า[6]
"สตรีเพียงหนึ่งเดียวซึ่งเป็นที่ยอมรับว่ามัดใจพระองค์ [พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว] ได้สำเร็จคือคุณจอมเปี่ยม แม้จะไม่ใช่คนสวยอะไร แต่วางตัวดีและมียุทธวิธีเยี่ยมยอด เธอมิได้มีการศึกษาและชาติกำเนิดสูงส่งเลย ทั้งยังมีเชื้อสายจีนทางฝั่งบิดา กระนั้นกลับมีคุณลักษณะที่น่าชื่นชมโดยเนื้อแท้ เมื่อรู้สึกได้ว่าตนเริ่มมีอิทธิพลเหนือกษัตริย์ เธอวางแผนจะรักษาและใช้ประโยชน์จากอำนาจดังกล่าวอยู่นานหลายปี โดยใช้วิธีบอกปัดบ้างเป็นครั้งคราว ถ่อมตนเกินเหตุจนน่ารำคาญบางครั้งถึงกับถูกกล่าวหาว่าดัดจริต เธอมักหาข้ออ้างไม่ไปเข้าเฝ้าฯ กษัตริย์อยู่เป็นประจำ โดยอ้างว่าป่วยบ้าง ต้องดูแลลูก ๆ บ้าง อยู่ระหว่างไว้ทุกข์ญาติบ้าง และจะเต็มใจไปเข้าเฝ้าฯ ถวายงานเองเป็นช่วง ๆ ในช่วงเวลา 6 ปีที่ถวายตัวรับใช้ เธอสะสมทรัพย์สมบัติไว้เป็นจำนวนไม่น้อย ทั้งยังจัดการให้สมาชิกในครอบครัวเธอได้รับราชการตำแหน่งดี ๆ ตลอดจนช่วงชักนำชาวจีนอีกมากมายให้ได้รู้จักกษัตริย์ ในขณะเดียวกันเธอก็ใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวตลอดเวลา ต้องยอมอ่อนน้อมถ่อมตนและประนีประนอมกับบรรดาสตรีคู่แข่งซึ่งออกจะสมเพชเธอมากกว่าอิจฉา และต้องอยู่ในอาณัติของเหล่าสตรีผู้ทรงอำนาจแห่งวังหลวง"
เจ้าจอมมารดาเปี่ยมได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสนมเอกในรัชกาล[1][8] จากการที่เจ้าจอมมารดาเปี่ยมเป็นที่สนิทสวาทของพระสวามี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดพระราชบุตรที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเปี่ยมเป็นพิเศษ ดังจะพบการตั้งพระนามอันแสดงถึงความศิวิไลซ์ ลูกหลวงและบาทบริจาริกาเหล่านี้สวมฉลองพระองค์อย่างยุโรปและเล่าเรียนภาษาอังกฤษจากพระอาจารย์ต่างชาติในวังหลวง[9] และท่านเป็นบาทบริจาริกาที่ถวายการดูแลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในช่วงปลายพระชนม์ชีพ[10]
หลังการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และการเสวยราชย์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชธิดาสามพระองค์ในรัชกาลก่อนที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเปี่ยมได้ถวายตัวเป็นพระภรรยาเจ้าในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้แก่ พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา และพระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี ตามกฎมนเทียรบาลว่าด้วยความบริสุทธิ์ของเชื้อสายหรืออุภโตสุชาติสังสุทธเคราหณี พระภรรยาร่วมสายเลือดเหล่านี้ถือเป็นพระภรรยาชั้นสูง พระราชโอรสที่เกิดจากพระภรรยาเจ้ามีสิทธิธรรมในการสืบราชสันตติวงศ์สูงกว่าพระราชโอรสที่ประสูติแต่เจ้าจอมสามัญชน[11]
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็น เจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยม เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2428 ในพระราชวโรกาสมงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา 20 กันยายน ศกนั้น ด้วยเหตุที่เป็นพระชนนีในสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ซึ่งเป็นสมเด็จพระอัครมเหสีในขณะนั้น พร้อมทั้งพระราชทานเครื่องยศ[12] ได้แก่
เจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยมได้บริจาคเงินจำนวน 100 ชั่ง หรือ 8,000 บาทสำหรับสร้างถาวรวัตถุเพื่อสาธารณะประโยชน์ อุทิศพระกุศลถวายพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอุณากรรณอนันตนรไชย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ จัดสรรงบประมาณสมทบเงินจำนวนดังกล่าว ตัดถนนเส้นหนึ่งระหว่างถนนเจริญกรุงกับถนนบำรุงเมือง กรมโยธาธิการสร้างถนนเสร็จในปี พ.ศ. 2443 แล้วถวายเป็นถนนหลวง จึงพระราชทานนามถนนเส้นดังกล่าวว่าถนนอุณากรรณ[13][14]
เจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยมถึงแก่พิราลัยเมื่อวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2447 ณ วังสะพานถ่าน ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการในขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้มีพิธีพระเมรุ ณ เมรุผ้าขาว ภายในสวนมิสกวัน พระอัฐิถูกบรรจุไว้ ณ ศาลาพระอัยกาในวัดราชาธิวาสราชวรวิหาร[15] ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระอัฐิขึ้นเป็นเจ้านายในราชวงศ์จักรี ถวายพระนามาภิไธยว่า สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา เนื่องด้วยในรัชกาลนั้นมีพระฐานะเป็นพระอัยยิกา (ยาย) เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2466[16]
โดยพระนาม "ปิยมาวดี" นั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแปลจากพระนามเดิมว่า "เปี่ยม" ซึ่งเป็นคำไทย แปลงรูปสระเอียเป็นเอ กลายเป็นคำบาลีว่า "เปม" แปลว่า "ความรัก" แล้วแปลงเป็นอิยะ เป็น "ปิยมา" มีวนฺตุเป็นปัจจัย รวมเป็นคำว่า "ปิยมาวดี" (บาลี: ปิยมาวตี) ส่วนสร้อยพระนาม "ศรีพัชรินทรมาตา" มาจากพระนามของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง กับคำว่ามาตา แปลว่าแม่ รวมกันมีความหมายว่า "พระราชชนนีของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง"[17]
เข้าถวายตัวเป็นเจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นพระชนนีในพระราชโอรส พระราชธิดา จำนวน 6 พระองค์ คือ
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate=
(help)
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate=
(help)
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate=
(help)