สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ | |
---|---|
กรมพระราชวังบวรสถานมงคล | |
ดำรงพระยศ | พ.ศ. 2318 - พ.ศ. 2325 |
รัชสมัย | สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี |
ก่อนหน้า | เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต (อาณาจักรอยุธยา) |
ถัดไป | สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท (อาณาจักรรัตนโกสินทร์) |
สวรรคต | พ.ศ. 2325 |
ราชวงศ์ | ธนบุรี |
พระราชบิดา | สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี |
พระราชมารดา | กรมหลวงบาทบริจา |
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์[1] พระนามเดิมว่า จุ้ย (ไม่ทราบ – พ.ศ. 2325) เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ประสูติแต่กรมหลวงบาทบริจา ดำรงพระอิสริยยศเป็นพระมหาอุปราชแห่งกรุงธนบุรี
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ มีพระนามเดิมว่า จุ้ย (ใน ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา ระบุว่าพระนามว่า "พระองค์เจ้าน้อย")[2] ประสูติแต่กรมหลวงบาทบริจา (สอน) ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีพระอนุชาหนึ่งพระองค์คือเจ้าฟ้าน้อย[3] ด้วยเหตุที่พระองค์ประสูติแต่พระอัครมเหสีที่มิได้เป็นเจ้ามาแต่เดิม เมื่อแรกประสูติจึงมีพระยศเป็น พระองค์เจ้า[4] ต่อมาทรงรับราชการได้รับความชอบชนะศึกพม่าในปี พ.ศ. 2318 จึงถูกยกเป็นเจ้าฟ้าทรงกรม ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ความว่า "จึงพระกรุณาโปรดตั้งพระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าจุ้ยเป็นกรมขุนอินทรพิทักษ์"[4]
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์มีพระปรีชาสามารถในการรบ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดเกล้าสถาปนาเป็นพระมหาอุปราช และโปรดให้เสด็จไปตีเมืองกัมพูชาพร้อมกับสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก[5] โดยมีพระราชดำริว่า เมื่อตีเขมรได้ก็ให้สมเด็จเจ้าพระยาฯ ทำพิธีสถาปนากรมขุนอินทรพิทักษ์ขึ้นเป็นเจ้าครองนครกัมพูชา แต่อย่างไรก็ตามกรมขุนอินทรพิทักษ์ถือว่ามีบทบาทด้านการศึกน้อยเมื่อเทียบกับกรมขุนอนุรักษ์สงคราม (เจ้ารามลักษณ์) พระนัดดา ที่มักปรากฏในพงศาวดารบ่อยครั้งกว่า[6]
ช่วงปี พ.ศ. 2323 เป็นช่วงที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีถูกกล่าวถึงว่ามีพระอารมณ์หงุดหงิดวิปริตไปเสียหมด ตามที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารพระราชหัตถเลขา ดังปรากฏว่า
"ครั้งถึง ณ วันเสาร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องใหญ่ ครั้งเสร็จแล้วส่องพระฉายทอดพระเนตรเห็นพระเกศาเหนือพระกรรณเบื้องซ้ายเหลืออยู่เส้นหนึ่ง ก็ทรงพิโรธเจ้าพนักงานชาวพระภูษามาลาซึ่งทรงเครื่องนั้น ว่าแกล้งทำประจานพระองค์เล่น จึงดำรัสถามพระเจ้าลูกเธอ กรมขุนอินทรพิทักษ์ว่า โทษคนเหล่านี้จะเป็นประการใด กรมขุนอินทรพิทักษ์กราบทูลว่า เห็นจะไม่พิจารณาดูทั่ว พระเกศาจึงหลอหลงอยู่เส้นหนึ่ง ซึ่งจะแกล้งทำประจานพระองค์เล่นนั้นเห็นจะไม่เป็น ๆ แท้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระพิโกรธพระเจ้าลูกเธอเป็นกำลัง ดำรัสว่ามันเข้ากับผู้ผิดกล่าวแก้กันแกล้งให้เขากระทำประจานพ่อดูเล่นได้ ไม่เจ็บแค้นด้วย จึงให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยนพระเจ้าลูกเธอ กรมขุนอินทรพิทักษ์ร้อยทีแล้วจำไว้ ให้เอาตัวชาวพระภูษามาลาซึ่งทรงเครื่องทั้งสองคน กับทั้งพระยาอุทัยธรรมจางวางว่าไม่ดูแลตรวจตรากำกับเอาไปประหารชีวิตเสียทั้งสามคน"[7]
แต่เรื่องราวดังกล่าวไม่ปรากฏในหลักฐานอื่น เป็นต้นว่า พระราชพงศาวดารฉบับบริติชมิวเซียม, พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ, ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๕ รวมไปถึงจดหมายเหตุกรมหลวงนรินทรเทวี ซึ่งมักจะมีการบันทึกเรื่องราวทำนองนี้แต่กลับไม่ปรากฏไว้[8]
แต่หลังจากนั้นอีก 6 วัน กรมขุนอินทรพิทักษ์ก็ถูกถอดพระอิสริยยศ ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ความว่า "ถึง ณ วันศุกร์ แรม ๖ ค่ำ เดือน ๗ ดำรัสสั่งให้รื้อตำหนักพระเจ้าลูกเธอ กรมขุนอินทรพิทักษ์แล้วริบเครื่องยศ ให้ถอดเสียจากยศ ครั้นนานมาหายพระโกรธแล้ว จึงโปรดให้พ้นโทษ พระราชทานเครื่องยศแล้วให้คงยศดังเก่า"[9] ซึ่งสอดคล้องกับจดหมายเหตุโหรความว่า "ปีชวด จ.ศ. ๑๑๔๒ วัน ๖ แรม ๖ ค่ำ เดือน ๗ ริบเครื่องยศเจ้าวังนอก"[10] และเหตุดังกล่าวได้พาลไปถึงพระราชมารดาของพระองค์ ถึงกับออกคำสั่งขับกรมหลวงบาทบริจาออกจากวังไปประทับกับลูก ดังปรากฏในจดหมายเหตุของกรมหลวงนรินทรเทวีคือ "ขับเจ้าหอกลางไปอยู่ที่วังนอก"[10]
ช่วงที่ถูกริบเครื่องยศ พระองค์ได้ตัดสินใจออกผนวช เพื่อเลี่ยงพระราชอาญา[8] เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงหายพิโรธแล้ว ก็พระราชทานยศศักดิ์คืนตามเดิม ทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้เป็นทัพหนุนเข้าตีเมืองพุทไธเพชร สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ได้หมายพระทัยที่จะรั้งพระโอรสพระองค์นี้ครองกรุงกัมพูชาสืบไป[11]
เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2325 ขณะกรมขุนอินทรพิทักษ์ และพระยากำแหงสงคราม (บุญคง) ตั้งทัพอยู่ที่เมืองพุทไธเพชร (บันทายเพชร ราชธานีของกัมพูชา) สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และเจ้าพระยาสุรสีห์ ได้ยกทัพกลับกรุงธนบุรี และปราบดาภิเษกเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พร้อมกับสำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และพระบรมวงศานุวงศ์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินที่เป็นชาย [12] ได้ส่งทหารตามจับกุมตัวกรมขุนอินทรพิทักษ์ พร้อมด้วยพระยากำแหงสงคราม และทหารองครักษ์จำนวน 5 คน ได้ในป่าตำบลเขาน้อย สระบุรี [12]
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกตรัสถามกรมขุนอินทรพิทักษ์ว่าทรงยินดีที่จะไว้พระชนม์ให้ แต่กรมขุนอินทรพิทักษ์ทรงยืนยันที่ขอตายตามสมเด็จพระเจ้าตากสิน สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงโปรดเกล้าฯ ให้นำตัวเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ไปสำเร็จโทษพร้อมกับพระยากำแหงสงคราม[12] และพระอนุชา คือเจ้าฟ้าน้อย เมื่อวันเสาร์ เดือน 6 แรม 8 ค่ำ พ.ศ. 2325[13]
เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์มีพระโอรส-ธิดาจำนวนหนึ่ง ปรากฏสำคัญเพียง 4 พระองค์ คือ[14]
ดังนั้นกรมขุนอินทรพิทักษ์เป็นต้นสกุลสินสุข และอินทรโยธิน[16]
ก่อนหน้า | สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต (กรุงศรีอยุธยา) |
![]() |
พระมหาอุปราชแห่งกรุงธนบุรี |
![]() |
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท (กรุงรัตนโกสินทร์) |