ฤดูกาล 2021–22 | ||||
---|---|---|---|---|
เจ้าของ | ไมค์ แอชลีย์ (จนถึง 7 ตุลาคม 2021) กองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะ RB Sports & Media PCP Capital Partners (จาก 7 ตุลาคม 2021) | |||
ประธาน | Lee Charnley (until 7 October 2021) Yasir Al-Rumayyan (from 7 October 2021) | |||
ผู้จัดการทีม | สตีฟ บรูซ (จนถึง 20 ตุลาคม 2021) แกรม โจนส์ (รักษาการ, จาก 20 ตุลาคม 2021 ถึง 8 พฤศจิกายน 2021) เอ็ดดี ฮาว (จาก 8 พฤศจิกายน 2021) | |||
สนาม | St James' Park | |||
Premier League | อันดับที่ 11 | |||
FA Cup | Third round | |||
EFL Cup | Second round | |||
ผู้ทำประตูสูงสุด | ลีก: แคลลัม วิลสัน (8) ทั้งหมด: แคลลัม วิลสัน (8) | |||
ผู้เข้าชมในบ้านสูงสุด | 52,281 (30 April 2022 v ลิเวอร์พูล) | |||
ผู้เข้าชมในบ้านเฉลี่ย | 51,443 | |||
ชนะสูงสุด | 3–0 (23 April 2022 v Norwich City, Premier League) | |||
แพ้สูงสุด | 0–5 (8 May 2022 v Manchester City, Premier League) | |||
| ||||
ฤดูกาล 2021-22 เป็นปีที่ 129 ของนิวคาสเซิลและเป็นฤดูกาลที่ห้าติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก พร้อมกับลีก สโมสรยังแข่งขันในเอฟเอคัพและอีเอฟแอลคัพ ฤดูกาลนี้ครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2021 ถึง 30 มิถุนายน ค.ศ. 2022
ก่อนเปิดฤดูกาล นิวคาสเซิล ตัดสินใจคว้าตัว 3 นักเตะดาวรุ่งเข้าสู่ทีมเยาวชนคือ คาเมรอน เฟอร์กูสัน กองหน้าจาก ทรานเมียร์โรเวอส์ แบบไม่เปิดเผยค่าตัว เมื่อวันพุธที่ 30 มิถุนายน เรมี่ ซาเวจ เซ็นเตอร์จาก ลิเวอร์พูล และ ชาร์ลี วิกเก็ตต์ แบ็คซ้ายจาก เชลซี ซึ่งทั้ง 2 คนมาแบบไม่มีค่าตัว เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม[1] โดยฤดูกาล 2021-22 เปิดฤดูกาลเมื่อวันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม ในวันนั้นนิวคาสเซิลได้จ่ายเงินค่าตัวจำนวน 25 ล้านปอนด์ เพื่อซื้อ โจ วิลล็อก มิดฟิลด์จาก อาร์เซนอล เป็นการถาวรหลังจากยืมตัวมาใช้งานเมื่อฤดูกาลที่แล้ว[2] จากนั้น นิวคาสเซิล เปิดบ้านแพ้ให้กับ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 2-4 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม[3] โดย 7 นัดก่อนการเทคโอเวอร์ นิวคาสเซิล แข่งไป 7 นัด เสมอ 3 แพ้ 4 ไม่ชนะใครเลย มี 3 แต้ม ในวันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม นิวคาสเซิล เปิดบ้านแพ้การดวลจุดโทษ 3-4 ต่อ เบิร์นลีย์ ตกรอบ 2 อีเอฟแอลคัพ[4]
กระทั่งวันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พรีเมียร์ลีก ได้ออกมาประกาศยืนยันว่า กลุ่มทุนซาอุฯ ที่นำโดย กองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะ หรือ พีไอเอฟ ได้เข้าทำการเทคโอเวอร์นิวคาสเซิลเรียบร้อยแล้วด้วยจำนวนเงิน 305 ล้านปอนด์[5] ต่อมาในวันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม ซึ่งเป็นการแข่งขันนัดที่ 8 ของฤดูกาล นิวคาสเซิลเปิดบ้านแพ้ 2-3 ให้กับ ทอตนัมฮอตสเปอร์ จมอยู่รองบ๊วยโดยยังคงมีแค่ 3 คะแนน[6]
สโมสรจึงตัดสินใจปลด บรูซ ออกจากตำแหน่งเมื่อวันพุธที่ 20 ตุลาคม โดยได้แต่งตั้ง แกรม โจนส์ มือขวาของบรูซทำหน้าที่คุมทีมรักษาการไปก่อน[7] ซึ่งโจนส์คุมทีมทั้งสิ้น 3 นัดแบ่งเป็น เสมอ 2 แพ้ 1 ทำให้นิวคาสเซิลมี 5 แต้มยังคงอยู่ในโซนท้ายตาราง โดยเฉพาะนัดสุดท้ายเมื่อวันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นนัดที่ 11 ของฤดูกาล ที่นิวคาสเซิลออกไปเสมอ 1-1 กับ ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน เอ็ดดี ฮาว ว่าที่กุนซือคนใหม่ของทีมได้เข้ามานั่งชมเกมอยู่บนอัฒจันทร์ด้วย[8]
ในวันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน นิวคาสเซิลได้เปิดตัว เอ็ดดี ฮาว เป็นกุนซือคนใหม่อย่างเป็นทางการด้วยสัญญา 2 ปีครึ่ง[9] โดยนัดแรกอย่างเป็นทางการของฮาวในฐานะผู้จัดการทีม นิวคาสเซิล คือเกมที่เปิดบ้านเสมอ 3-3 กับ เบรนต์ฟอร์ด เมื่อวันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน แต่ในนัดนั้นฮาวไม่สามารถลงคุมทีมข้างสนามได้เนื่องจากติดเชื้อ โควิด-19 โดยมี เจสัน ทินดัลล์ มือขวาของฮาวและ แกรม โจนส์ คุมทีมรักษาการไปก่อน[10]
ซึ่งชัยชนะนัดแรกของทีมในฤดูกาลเกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม ตรงกับนัดที่ 15 ของฤดูกาลเมื่อเปิดบ้านชนะ 1-0 ต่อ เบิร์นลีย์ จากประตูชัยของ แคลลัม วิลสัน ในนาทีที่ 40 หลังจากนั้นพวกเขาก็แพ้ 3 นัดรวดต่อ เลสเตอร์ซิตี, ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ซิตี ก่อนจะเปิดบ้านเสมอ 1-1 ต่อ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เมื่อวันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม[11] หลังจากนัดนี้พวกเขาก็ไร้พ่ายอีก 8 นัดรวมทั้งสิ้น 9 นัดแบ่งเป็น ชนะ 6 เสมอ 3 เก็บได้ 21 คะแนนขยับขึ้นมาอยู่อันดับที่ 14
ตลาดซื้อขายนักเตะเดือนมกราคม วันศุกร์ที่ 7 มกราคม นิวคาสเซิลจ่ายค่าตัว 12 ล้านปอนด์เพื่อคว้าตัวกองหลังของ อัตเลติโกเดมาดริด และ ทีมชาติอังกฤษ คีแรน ทริปเปียร์ ทำให้เขากลายเป็นนักเตะคนแรกในยุคกลุ่มทุนซาอุฯ[12] วันรุ่งขึ้น นิวคาสเซิลเปิดบ้านแพ้ 0-1 ต่อ เคมบริดจ์ยูไนเต็ด ทีมจาก ลีกวัน ตกรอบ 3 เอฟเอคัพ แบบหักปากกาเซียน[13]
อีก 5 วันต่อมาคือวันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม นิวคาสเซิลจ่ายค่าฉีกสัญญาจำนวน 25 ล้านปอนด์เพื่อคว้าตัวกองหน้าเบิร์นลีย์และทีมชาตินิวซีแลนด์ คริส วูด มาร่วมทีม[14] จากนั้นในวันจันทร์ที่ 30 มกราคม พวกเขาจ่ายค่าตัว 33 ล้านปอนด์ให้กับ โอลิมปิกลียง เพื่อคว้าตัวกองกลางทีมชาติบราซิล บรูนู กีมาไรส์ มาร่วมทีม[15] ต่อมาในวันอังคารที่ 31 มกราคม นิวคาสเซิล จ่ายค่าตัว 13 ล้านปอนด์เพื่อคว้าตัวเซ็นเตอร์ร่างยักษ์จาก ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน แดน เบิร์น มาร่วมทีม[16] และเซ็นสัญญายืมตัว แมตต์ ทาร์เก็ตต์ จาก แอสตันวิลลา[17]
ก่อนหน้านั้นในวันสุดท้ายของตลาดซัมเมอร์ นิวคาสเซิล ตัดสินใจยืมตัว ซานติอาโก มูนญอซ กองหน้าดาวรุ่งชาวเม็กซิโกจากสโมสร ซานโตสลากูนา มาร่วมทีมเยาวชนของสโมสรเป็นระยะเวลา 18 เดือน[18][19] จากนั้นพวกเขาเก็บชัยชนะ 4 นัดรวดทำให้รอดพ้นการตกชั้นโดยจบในอันดับที่ 11