อักษรลายตัย | |
---|---|
ศัพท์ "ไทญ้อ" เขียนด้วยอักษรลายตัย | |
ชนิด | |
ช่วงยุค | คริสต์ศตวรรษที่ 16[1] – ปัจจุบัน |
ทิศทาง | บนลงล่าง ซ้ายไปขวา |
ภาษาพูด | ภาษาญ้อ |
อักษรที่เกี่ยวข้อง | |
ระบบแม่ | |
ระบบพี่น้อง | สุโขทัย, ขอมไทย |
ISO 15924 | |
ISO 15924 | Tayo (380), Tai Yo |
อักษรลายตัย หรือ อักษรท้ายลายตัย (เวียดนาม: Chữ Thái Lai Tay) เป็นระบบการเขียนของชาวไทญ้อในจังหวัดเหงะอาน ประเทศเวียดนาม[2] ที่ใช้เขียนภาษาญ้อ รูปร่างคล้ายอักษรไทยฝักขามที่เคยใช้ในล้านนา
อักษรนี้มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น อักษรญ้อลายตัย,[3] อักษรเหงะอาน, อักษรไทญ้อ, อักษรท้ายลายตัย, อักษรกวี่เจิว[4]
เบื้องต้นมีแชล แฟร์ลุส (Michel Ferlus) นักวิชาการชาวฝรั่งเศสจัดให้อักษรลายตัยอยู่ในกลุ่มอักษรเขมร โดยแยกออกเป็นสองกลุ่ม คือ อักษรสุโขทัยและฝักขาม (ซึ่งพัฒนาไปเป็นอักษรไทยและลาว) และอีกกลุ่มคือ อักษรไทเวียด ลายตัย และลายปาว ของชาวไทในเวียดนาม[4] แฟร์ลุสกล่าวอีกว่าชาวไทรับรูปแบบอักษรเขมรทั้งหมดไปใช้โดยขาดการเรียนรู้อย่างเหมาะสม ในเวลาต่อมาเมื่อชาวไทกระจายทั่วภาคพื้นทวีปอุษาคเนย์ พวกเขาก็ยังคงรักษาลักษณะดั้งเดิมของอักษรเขมรยุคก่อนพระนครไว้ได้ หากแต่ไม่มีการเรียงลำดับอักษร หรือการใช้ตัวเลข[4] อย่างไรก็ตาม ชาวไทในเวียดนามมีอักษรใช้ครั้งแรกตั้งแต่ช่วงต้นคริสต์ศวรรษที่ 16 เป็นต้นมา[1]
อักษรลายตัยมี 29 พยัญชนะ โดยมี 8 ตัวที่สามารถพบในตำแหน่งท้ายพยางค์ และมีสัญลักษณ์สระ 13 แบบ ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งใต้พยัญชนะ หรือบางส่วนตั้งอยู่ทางขวาของพยัญชนะ[4][3] อักษรลายตัยยังคงเป็นอักษรสระประกอบแท้ และพยัญชนะที่ไม่มีรูปสระจะออกเสียงด้วยสระลดรูป <o>, [ɔ] ซึ่งต่างจากระบบการเขียนอักษรไทอื่น ๆ[3] อักษรนี้ยังมีตัวแฝดสำหรับสระและตัวผสมพยัญชนะท้ายอีก 9 ตัว[3]
อักษรนี้เขียนจากบนลงล่างและจากขวาไปซ้าย แบบเดียวกับอักษรจีน เพราะชาวไทเหล่านี้เคยใช้อักษรจีนเขียนภาษาของตนมาก่อนที่จะรับรูปแบบการเขียนอักษรฝักขามจากล้านนาและลาว
อักษรลายตัยไม่มีวรรณยุกต์ ส่วนใหญ่มักเขียนโดยไม่มีเครื่องหมายวรรคตอน แต่อาจพบในเอกสารตัวเขียนบางอันที่มีเครื่องหมายวรรคตอนเหมือนกับของจีน อักษรนี้ไม่มีตัวเลข โดยจะเขียนตัวเลขเป็นรูปตัวอักษร[3]
ปัจจุบันไม่ค่อยมีการใช้งานอักษรนี้แล้ว แต่มีเอกสารตัวเขียนมากพอที่จะให้นักภาษาศาสตร์ศึกษาได้ นักวิชาการไทญ้อที่มีอายุมากบางคนสามารถอ่านเอกสารเหล่านี้ได้[4] ชุมชนไทญ้อในปัจจุบันมีการสอนและศึกษาอักษรนี้ โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลท้องถิ่นและบรรดาครู[3]
ทางยูนิโคดเสนอให้ลงรหัสอักษรนี้ลงไป[3]