รัฐบาลของจักรวรรดิเยอรมันและนาซีเยอรมนีได้ออกคำสั่งให้จัดตั้งและยอมให้มีการก่ออาชญากรรมสงครามจำนวนมากมาย เป็นครั้งแรกในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวฮีรีโรและนามาควาและจากนั้นก็ก่อกระทำไว้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสอง เป็นที่น่าจดจำมากที่สุดคือฮอโลคอสต์ซึ่งมีชาวยิวและชาวโรมานีหลายล้านคนถูกสังหารอย่างเป็นระบบ พลเรือนและเชลยศึกหลายล้านคนล้วนเสียชีวิต เนื่องจากเยอรมนีได้ละเมิด การปฏิบัติอย่างไม่ดี และนโยบายที่ปล่อยให้อดอยากโดยเจตนาในช่วงสองความขัดแย้งนั้น หลักฐานส่วนใหญ่ล้วยถูกทำลายโดยผู้กระทำผิดโดยเจตนา เช่น ใน Sonderaktion 1005 ได้พยายามที่จะปกปิดการก่ออาชญากรรม
ถือเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งแรกในศตวรรษที่ 20 การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวฮีรีโรและนามาควาได้ถูกกระทำโดยจักรวรรดิเยอรมันในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1904 และ 1907 ในดินแดนอาณานิคมแอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้ของเยอรมนี (ปัจจุบันคือประเทศนามิเบีย) ในช่วงการล่าอาณานิคมในทวีปแอฟริกา[1][2][3][4][5] เมื่อวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1904 ชาวฮีรีโร ภายใต้การนำโดยซามูเอล มาฮาฮีโร ได้ก่อกบฏต่อต้านการล่าอาณานิคมของเยอรมนี ในเดือนสิงหาคม นายพล โลธาร์ ฟอน ทรอธา แห่งกองทัพบกจักวรรดิเยอรมันได้กำจัดชาวฮีรีโรในยุทธการที่วอเตอร์แบร์กและขับไล่พวกเขาไปยังทะเลทรายโอมาเฮเก ซึ่งส่วนใหญ่เสียชีวิตจากความกระหายน้ำ ในเดือนตุลาคม ชาวนามายังได้ก่อกบฏต่อต้านเยอรมนีเท่านั้นที่จะประสบพบชะตากรรมที่คล้ายกัน
ในทั้งหมด ชาวฮีรีโรตั้งแต่ 24,000 คน ถึง 100,000 คน และชาวนามา 10,000 คนล้วนเสียชีวิต การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนี้มีลักษณะโดยการเสียชีวิตอย่างกว้างขวาง เนื่องจากความอดอยากและกระหายน้ำ เพราะชาวฮีรีโรที่หลีกหนีจากความรุนแรงได้ถูกขัดขวางไม่ให้กลับจากทะเลทรายนามิบ แหล่งข้อมูลบางแห่งยังอ้างว่ากองทัพอาณานิคมของเยอรมนีได้วางยาพิษลงในบ่อทะเลทรายอย่างเป็นระบบ[6][7]
เอกสารเกี่ยวกับการก่ออาชญากรรมสงครามของเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้ถูกนาซีเยอรมันยึดและทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ภายหลังจากที่ฝรั่งเศสถูกยึดครอง พร้อมกับอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงเหยื่อของพวกเขา[8]
แก๊สพิษได้ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในฐานะอาวุธโดยจักรวรรดิเยอรมันและต่อมาได้ถูกใช้โดยคู่สงครามที่สำคัญทั้งหมด โดยฝ่าฝืนสนธิสัญญากรุงเฮกว่าด้วยแก๊สที่ทำให้ขาดอากาศหายใจ ปี ค.ศ. 1899 และสนธิสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการทำสงครามทางบก ปี ค.ศ. 1907 ซึ่งได้มีการห้ามเอาไว้อย่างชัดเจนว่ามิให้ใช้"อาวุธที่ทำด้วยพิษหรือมีพิษ"ในการทำสงคราม[9][10]
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 ส่วนหนึ่งของแผนชลีเฟิน กองทัพเยอรมันได้รุกรานเข้ายึดประเทศเบลเยียมทื่วางตัวเป็นกลางโดยไม่มีการเตือนอย่างแจ่มแจ้ง ซึ่งเป็นการละเมิดสนธิสัญญา ปี ค.ศ. 1839 ที่นายกรัฐมนตรีเยอรมันได้ยกเลิกให้กลายเป็น "เศษกระดาษ" และสนธิสัญญากรุงเฮก ปี ค.ศ. 1907 ว่าด้วยการเปิดทำสงคราม ภายในสองเดือนแรกของสงคราม เยอรมนีผู้ยึดครองได้คุกคามชาวเบลเยียม สังหารพลเรือนหลายพันคนและปล้นสะดมและเผาเมืองต่าง ๆ รวมทั้งเลอเฟิน ซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ ส่วนใหญ่เป็นการตอบโต้จากการทำสงครามกองโจรของชาวเบลเยียม การกระทำครั้งนี้ถือเป็นการละเมิดสนธิสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการทำสงครามทางบก ปี ค.ศ. 1907 ที่มีการห้ามมิให้มีการลงโทษร่วมกันต่อพลเรือนและการปล้นสะดมและทำลายทรัพย์สินของพลเรือนในดินแดนที่ถูกยึดครอง
การโจมตีโฉบฉวยที่สการ์เบอร์โร ฮาร์ตลีพูล และวิตบี ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1914 เป็นการโจมตีโดยกองทัพเรือจักรวรรดิเยอรมันที่ท่าเรือของอังกฤษในเมืองสการ์เบอร์โร ฮาร์ตลีพูล และวิตบี การโจมตีดังกล่าวส่งผลทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 137 คน และเสียชีวิต 592 คน การโจมตีดังกล่าวเป็นการละเมิดมาตราที่ 9 ของสนธิสัญญากรุงเฮก ปี ค.ศ. 1907 ซึ่งได้ห้ามมิให้มีการโจมตีด้วยการระดมยิงปืนใหญ่จากทางเรือในเมืองที่ไม่มีการป้องกันโดยปราศจากการเตือนล่วงหน้า[11] เพราะมีเพียงเมืองฮาร์ลีพลูเท่านั้นที่ได้รับการป้องกันโดยกองปืนใหญ่ชายฝั่ง[12] เยอรมนีเป็นผู้ลงนามในสนธิสัญญากรุงเฮก ปี ค.ศ. 1907[13] การโจมตีอีกครั้งที่ตามมาในวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1916 บนเมืองชายฝั่งของยาร์เมาท์และโลเวสตอฟ แต่ทั้งสองเมืองต่างเป็นฐานทัพเรือที่สำคัญและได้รับการป้องกันโดยกองปืนใหญ่ชายฝั่ง
สงครามเรือดำน้ำอย่างไม่จำกัด ถูกก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1915 เพื่อเป็นการตอบโต้การปิดล้อมทางทะเลต่อเยอรมนีของบริติช กฎแห่งรางวัลซึ่งกำหนดไว้ภายใต้สนธิสัญญากรุงเฮก ปี ค.ศ. 1907 เช่น กฎระเบียบที่กำหนดให้ผู้โจมตีเรือพาณิชย์ทำการเตือนเป้าหมายของตนและให้เวลาสำหรับลูกเรือในการขึ้นเรือชูชีพ -แต่กลับถูกเพิกเฉยและเรือพาณิชย์ถูกจมลงโดยไม่คำนึงถึงสัญชาติ สินค้า หรือจุดหมายปลายทาง ภายหลังการจมเรืออาร์เอ็มเอ็ส ลูซิเทเนีย เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1915 และเสียงเรียกร้องโวยวายของสาธารณชนที่ตามมาในประเทศที่เป็นกลางต่าง ๆ รวมทั้งสหรัฐอเมริกา การปฏิบัติได้ถูกถอดถอนออกไป แต่อย่างไรก็ตาม เยอรมนีกลับมาปฏิบัติอีกครั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 และประกาศว่าเรือบรรทุกสินค้าทั้งหมดโดยไม่คำนึงถึงสัญชาติ จะถูกจมโดยปราศจากการเตือนล่วงหน้า สิ่งนี้ได้สร้างความไม่พอใจให้กับสาธารณชนสหรัฐ กระตุ้นให้สหรัฐตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับเยอรมนีในอีกสองวันต่อมาและพร้อมกับโทรเลขซิมแมร์มันน์ ทำให้สหรัฐต้องร่วมสงครามในอีกสองเดือนต่อมาโดยอยู่ข้างฝ่ายสัมพันธมิตร
ตามลำดับเหตุการณ์อาชญากรรมสงครามเป็นครั้งแรกของเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่สอง และการกระทำครั้งแรกของสงครามคือ การทิ้งระเบิดที่เมือง Wieluń ซึ่งเป็นเมืองที่ไม่มีเป้าหมายทางทหาร[14][15]
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ฮอโลคอสต์ต่อชาวยิว อัคซีโยน เท4 ได้สังหารคนพิการ และโพราจมอสต่อชาวยิปซีเป็นอาชญากรรมสงครามที่โด่งดังมากที่สุดที่นาซีเยอรมนีได้กระทำในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ไม่ใช่แค่อาชญากรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างฮอโลคอสต์และการสังหารหมู่ที่คล้ายกันนั้นถือว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม เทลฟอร์ด เทยเลอร์(อัยการแห่งสหรัฐในคดีกองบัญชาการทหารสูงสุดของเยอรมนีในการพิจารณาคดีเนือร์นแบร์กและหัวหน้าที่ปรึกษาสำหรับการพิจารณาคดีสิบสองครั้งก่อนศาลทหารเนือร์นแบร์กของสหรัฐ) ได้กล่าวอธิบายว่า
เท่าที่เกี่ยวข้องการกระทำในช่วงสงครามต่อชาติศัตรูนั้นน่าเป็นกังกล อนุสัญญาว่าด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ปี ค.ศ. 1948 แทบไม่ได้เพิ่มเติมอะไรเลยในสิ่งที่ครอบคลุมอยู่แล้ว (และนับตั้งแต่สนธิสัญญากรุงเฮก ปี ค.ศ. 1899) โดยกฎหมายที่ให้การยอมรับระดับสากลว่าด้วยการทำสงครามทางบก ซึ่งต้องใช้อำนาจในการยึดครองเพื่อเคารพ"เกียรติยศและสิทธิของครอบครัว ชีวิตแต่ละบุคคล และทรัพย์สินส่วนบุคคล ตลอดจนถึงความศรัทธาและเสรีภาพทางศาสนา"ของชาติศัตรู แต่กฎหมายของสงครามไม่คลอบคลุมทั้งในช่วงสงครามหรือสันติภาพ การกระทำของรัฐบาลต่อคนชาติของตัวเอง (เช่น การข่มเหงชาวเยอรมันเชื้อสายยิวของนาซีเยอรมนี) และการพิจารณาคดีอาชญากรรมสงครามที่เนือร์นแบร์ก ศาลได้ปฏิเสธถึงความพยายามหลายประการของการฟ้องร้องที่จะนำไปสู่ความโหดร้าย"ภายในประเทศ"ดังกล่าวมาอยู่ในขอบเขตของกฎหมายระหว่างประเทศว่าเป็น"อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ"
— เทลฟอร์ด เทยเลอร์[16]
German Navy December 1914 Hague Convention bombardment.