ฮอนด้า สเตปแวกอน

ฮอนด้า สเตปแวกอน
ภาพรวม
บริษัทผู้ผลิตฮอนด้า
เริ่มผลิตเมื่อพ.ศ. 2539–ปัจจุบัน
ตัวถังและช่วงล่าง
ประเภทรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ขนาดเล็ก
รูปแบบตัวถังรถตู้เล็ก
รุ่นที่คล้ายกันฮอนด้า ซีวิค

ฮอนด้า สตปแวกอน (อังกฤษ: Honda Stepwgn) เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดเล็กผลิตโดยบริษัทฮอนด้าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 โดยสเตปแวกอนได้ออกแบบให้มีห้องโดยสารที่สูงกว่าฮอนด้า โอดิสซีย์และฮอนด้า สตรีม และสามารถรองรับผู้โดยสารมากถึงแปดคน มากกว่าโอดิสซีย์และสตรีม

โฉมที่หนึ่ง (RF1/2; 2539–2544)

[แก้]
ฮอนด้า สเตปแวกอน รุ่นที่หนึ่ง
ภาพรวม
บริษัทผู้ผลิตฮอนด้า
เริ่มผลิตเมื่อ2539–2544
ตัวถังและช่วงล่าง
ประเภทรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดเล็ก
รูปแบบตัวถังรถตู้เล็ก 3 ประตู
โครงสร้างเครื่องวางหน้า ขับเคลื่อนล้อหน้า
ขับเคลื่อนสี่ล้อ[1]
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์2.0 L (122.0 cu in) รหัส B20B I4
ระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ
มิติ
ระยะฐานล้อ2,855 mm (112 in)
ความยาว4,705 mm (185 in)
ความกว้าง1,695 mm (67 in)
ความสูง1,815 mm (71 in)
น้ำหนัก1,410–1,645 kg (3,109–3,627 lb)

เอฟ-เอ็มเอ็กซ์ (2538)

[แก้]

สเตปแวกอนรุ่นแรกได้ปรากฏตัวในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ในชื่อ "เอฟ-เอ็มเอ็กซ์" ในปี พ.ศ. 2538

จำหน่ายจริง (2539–)

[แก้]

ในประเทศญี่ปุ่นเริ่มขายเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2539 สเตปแวกอนได้สร้างบนพื้นฐานของซีวิค และมีราคาประหยัดโดยจากรุ่นเริ่มต้นราคา 1,548,000 เยนถึง 2,368,000 เยน [2] ฝั่งผู้โดยสารได้ใช้ประตูเลื่อนเพื่อให้เข้าออกได้สะดวก สำหรับเครื่องยนต์มีเพียงเครื่องยนต์เดียวให้เลือกใช้คือเครื่องยนต์ 2 ลิตร สี่สูบ เกียร์อัตโนมัติซีวีทีและลดการใช้ชิ้นส่วนที่เป็นเหล็กเพื่อลดต้นทุน[3]

ปรับอุปกรณ์ปี 2540

[แก้]

การเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ในปี 2540 ประกอบไปด้วยการเพิ่มระบบเบรกป้องกันล้อล็อกและถุงลมนิรภัยคู่หน้ามาเป็นออปชันมาตรฐานในทุกรุ่นย่อย เริ่มจำหน่ายมื่อเดือนสิงหาคม 2540[4]

สเตปแวกอน ฟิลด์ เด็ก (2541–)

[แก้]
สเตปแวกอน ฟิลด์ เด็ก

เป็นสเตปแวกอนเวอร์ชันที่สามารถกางหลังคาเป็นเต็นท์ได้ ออกแบบมาสำหรับการไปทำกิจกรรมต่าง ๆ นอกบ้าน และทำมาจากพลาสติกเสริมแรงด้วยใยแก้ว เริ่มจำหน่ายเมื่อเดือกมาราคม 2541[5]

ปรับโฉมปี 2543

[แก้]

สเตปแวกอนรุ่นแรกได้รับการปรับโฉมในเดือนพฤษภาคม 2543 โดยได้มีการเปลี่ยนไฟหน้าใหม่และตำแหน่งแผ่นป้ายทะเบียนได้เลื่อนลงไปที่ด้านล่าง

โฉมที่สอง (RF3–8; 2544–2548)

[แก้]
ฮอนด้า สเตปแวกอน รุ่นที่สอง
ภาพรวม
บริษัทผู้ผลิตฮอนด้า
เริ่มผลิตเมื่อ2544–2548
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์2.0 L (122.0 cu in) K20A I4
2.4 L (146.5 cu in) K24A I4 [6]
ระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ (2.0L)
อัตโนมัติ 5 จังหวะ (2.4L)
มิติ
ระยะฐานล้อ2,855 mm (112 in)
ความยาว4,705 mm (185 in)
ความกว้าง1,695 mm (67 in)
ความสูง1,815 mm (71 in)
น้ำหนัก1,490–1,620 kg (3,285–3,571 lb)

จำหน่ายจริง

[แก้]

ฮอนด้า สเตปแวกอนรุ่นที่สองได้เผยโฉมในเดือนเมษายน พ.ศ. 2544 ในงานโตเกียวทอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 35[7] โดยสร้างจากพื้นฐานของรุ่นก่อนหน้า

โดยสเตปแวกอนรุ่นที่สองนี้ได้ออกแบบมาให้กับครอบครัวที่มีลูก โดยมีประตูสไลด์ที่ด้านข้าง และเบาะแถวที่สองสามารถพับไว้สำหรับเก็บสัมภาระ และเล่น (หันหน้ามาหากัน) หรือรับประทานอาหาร และนอน ในส่วนของเครื่องยนต์มาพร้อมกับเครื่องยนต์ฮอนด้ารหัส K 2.0 ลิตร DOHC i-VTEC ให้กำลัง 160 แรงม้า ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพทั้งการขับขี่และประหยัดน้ำมัน และได้ทำให้ส่วนประกอบของรถบางอย่างแข็งขึ้นเพื่อเพิ่มการขับขี่ให้ดีขึ้น

สเตปแวกอน อัลมัส (2544–)

[แก้]

สเตปแวกอน อัลมัส ได้มีตัวช่วยในการยกเบาะไปด้านนอกเพื่อรับผู้โดยสาร โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้พิการที่ไม่สามารถขึ้นไปนั่งในตัวรถในทันทีได้ เริ่มจำหน่ายเมื่อ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2544[8]

ปรับโฉมปี 2546

[แก้]

ในเดือนมิถุนาย พ.ศ. 2546 ฮอนด้าได้มีการปรับเปลี่ยนการออกแบบใหม่ ได้เปลี่ยนกันชนหน้าและกันชนหลังใหม่ให้ดูมีความคล้ายกับรถยนต์ฮอนด้ารุ่นอื่น ๆ ตอนนั้น และได้แนะนำรุ่น "สปาด้า" ที่ใช้เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร รหัส K24A DOHC i-VTEC ให้กำลัง 162 แรงม้า และมาพร้อมกับบังโคลนรถที่เป็นเอกลักษณ์

โดยได้เปิดตัวในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 37 พ.ศ. 2546[9][10]

โฉมผลิต

[แก้]

สำหรับยอดจำหน่ายสเตปแวกอนในญี่ปุ่นใน 6 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2547 จำหน่ายไปได้ 24,389 หน่วย[11]

โฉมที่สาม (RG; 2548–2552)

[แก้]
ฮอนด้า สเตปแวกอน รุ่นที่สาม
ภาพรวม
บริษัทผู้ผลิตฮอนด้า
เริ่มผลิตเมื่อ2548–2552
ตัวถังและช่วงล่าง
รูปแบบตัวถังมินิแวน 5 ประตู
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์2.0 L (122.0 cu in) K20A I4[12]
2.4 L (146.5 cu in) K24A I4[13]
ระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ (2.0L)
อัตโนมัติ 5 จังหวะ (2.4L 4WD)
CVT (2.4L FWD)
มิติ
ระยะฐานล้อ2,855 mm (112 in)
ความยาว4,630 mm (182 in)
ความกว้าง1,695 mm (67 in)
ความสูง1,770 mm (70 in)
น้ำหนัก1,540–1,660 kg (3,395–3,660 lb)

รุ่นที่สามของฮอนด้า เสตปแวกอน มีการออกแบบใหม่ทั้งหมด

ฮอนด้าประกาศเปิดตัวสเตปแวกอนรุ่นที่ 3 ในวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 รุ่นที่สามนี้จะมาพร้อมประตูสไลด์ทั้งสองฝั่งไม่เหมือนกับรุ่นก่อนหน้าที่มีเพียงแค่ฝั่งเดียวเพื่อขายแข่งกับนิสสัน เซเรน่าและโตโยต้า พรีเวียหรือเรียกว่าโตโยต้า เอสติม่า

ด้วยแชสซีแพลตฟอร์มรุ่นใหม่ที่ต่ำลง และแม้ว่าขนาดของรถเล็กลง แต่พื้นที่ภายในของห้องโดยสารยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และยังเพิ่มสมรรถนะการควบคุมการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้นด้วย ส่วนแพลตฟอร์มยังคงสร้างจากฮอนด้า ซีวิค ส่วนเครื่องยนต์ยังใช้เครื่องยนต์เดิมทั้งรุ่น 2.0 ลิตรและ 2.4 ลิตร

โฉมญี่ปุ่นเริ่มขายในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2548[14]

โฉมที่สี่ (RK; 2552–2558)

[แก้]
ฮอนด้า สเตปแวกอน รุ่นที่ 4
ภาพรวม
บริษัทผู้ผลิตฮอนด้า
เริ่มผลิตเมื่อ2552–2558
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์2.0 L (122 cu in) R20A I4[15]
ระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ
CVT
มิติ
ระยะฐานล้อ2,855 mm (112 in)
ความยาว4,690 mm (185 in)
ความกว้าง1,695 mm (67 in)
ความสูง1,815 mm (71 in)
น้ำหนัก1,580–1,750 kg (3,483–3,858 lb)

ฮอนด้า สเตปแวกอนโฉมที่สี่ได้รับการออกแบบใหม่หมด โดยรุ่นใหม่นี้ได้เพิ่มความสูงและความยาวขึ้น แต่ยังคงความกว้างไว้เท่าเดิมเมื่อเทียบกับรุ่นที่แล้ว สเตปแวกอนมาพร้อมเจ็ดรุ่นย่อย: G, G L Package, L, Li, Spada S, Spada Z และ Spada Zi โดยเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ไม่ได้ทำตลาดอีกต่อไปแล้ว เหลือเพียงแค่เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรรหัสใหม่ R20A 155 แรงม้า ที่ทำตลาดต่อ[16]

สเตปแวกอนโฉมที่สี่นี้ เคยได้มาจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เนื่องจากจากขณะนั้นได้เกิดเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ในประเทศไทยเมื่อปี 2554 ทำให้โรงงานประกอบรถยนต์ฮอนด้าที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้รับความเสียหายอย่างหนัก ไม่สามารถผลิตรถยนต์ได้ และในขณะนั้น รัฐบาลก็ได้งดจัดเก็บภาษีการนำเข้ารถยนต์เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นผู้ประกอบการ ฮอนด้าจึงนำเข้ารถยนต์จากประเทศญี่ปุ่นเป็นจำนวน 5 รุ่น โดย 2 รุ่นนำเข้าเพื่อไม่ให้ผู้ที่สั่งจองรถได้รับรถช้าเกินไปนั่นก็คือฮอนด้า แจ๊ซและฮอนด้า แอคคอร์ด ส่วนอีกสามรุ่นเป็นรถที่ยังไม่เคยมีการเปิดตัวและจำหน่ายในไทยเลยและนำมาขายเนื่องจากต้องฟื้นฟูจากภาวะน้ำท่วมใหญ่คือฮอนด้า ซีอาร์-แซด ฮอนด้า โอดิสซีย์ และฮอนด้า สเตปแวกอน[17]

ฮอนด้า สเตปแวกอนที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย มีเพียงเฉพาะรุ่น Spada เท่านั้น ไม่มีกระจก Skyroof และพวงมาลัยมัลติฟังชันเมื่อเทียบกับรุ่นที่จำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น

รุ่นปรับโฉม

[แก้]

ในปี พ.ศ. 2555 สเตปแวกอนก็ได้มีการปรับโฉมเกิดขึ้น โดยมีกระจังหน้าใหม่ กันชนหน้าใหม่ ไฟท้ายใหม่ ล้อลายใหม่ และเพิ่มกล้องมองหลังให้กับทุกรุ่น

โฉมที่ห้า (RP1–5; 2558–ปัจจุบัน)

[แก้]
ฮอนด้า สเตปแวกอน รุ่นที่ 5
ภาพรวม
บริษัทผู้ผลิตฮอนด้า
เริ่มผลิตเมื่อ2558–ปัจจุบัน
ตัวถังและช่วงล่าง
รูปแบบตัวถัง5-door minivan
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์1.5L L15BF turbocharger I4
1.5L Honda LFA R-series HEV I4
2.0 L LFA1/LFB1 PGM-FI DOHC i-VTEC I4 + 2 electric motors
มอเตอร์ไฟฟ้า2x Permanent Magnet Motors
กำลัง110 kW (150 PS; 148 hp) ()
158 kW (215 PS; 212 hp) (Hybrid / e:HEV)
ระบบเกียร์CVT
ระบบขับเคลื่อนรถไฮบริดHonda Sport Hybrid Intelligent Multi Mode Drive (i-MMD)
มิติ
ระยะฐานล้อ2,890 mm (114 in)
ความยาว4,690 mm (185 in)
ความกว้าง1,695 mm (67 in)
ความสูง1,840–1,855 mm (72–73 in)
น้ำหนัก1,630–1,770 kg (3,594–3,902 lb)

ฮอนด้า สแตปแวกอนรุ่นที่ห้าได้เปิดตัวเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2558 พร้อมกับเครื่องยนต์ใหม่ 1.5 ลิตร เทอร์โบหัวฉีดตรง สเตปแวกอนรุ่นใหม่นี้มาพร้อมกับประตูหลังแบบใหม่เรียกว่าประตูวะกุวะกุ (คำว่าวะกุวะกุในภาษาญี่ปุ่นแปลว่าน่าตื่นเต้น) ประตูวะกุวะกุนี้สามารถเปิดออกจากด้านล่างได้และเปิดออกทางด้านข้างครึ่งหนึ่งได้[18]

รุ่นปรับโฉม

[แก้]
รุ่นปรับโฉม

ในรุ่นปรับโฉมได้มีการเปลี่ยนแปลงใบหน้าใหม่โดยฝากระโปรงหน้าเหลี่ยมสันขึ้น กระจังหน้าใหม่ ไฟหน้าแอลอีดีใหม่และกันชนหน้าใหม่ พร้อมกับแพ็คเกจฮอนด้า เซ็นซิ่งใหม่[19]

โฉมที่หก (RP6–8; 2565–ปัจจุบัน)

[แก้]
ฮอนด้า สเตปแวกอน รุ่นที่ 6
ภาพรวม
บริษัทผู้ผลิตฮอนด้า
เริ่มผลิตเมื่อ7 มกราคม 2565–ปัจจุบัน
ตัวถังและช่วงล่าง
รูปแบบตัวถัง5-door minivan
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์
ระบบเกียร์CVT
มิติ
ระยะฐานล้อ2,890 mm (114 in)
ความยาว4,690 mm (185 in)
ความกว้าง1,695 mm (67 in)
ความสูง1,840–1,855 mm (72–73 in)
น้ำหนัก1,630–1,770 kg (3,594–3,902 lb)

ฮอนด้าเผยภาพทีเซอร์ StepWGN e:HEV โฉมใหม่ล่าสุดที่ประเทศญี่ปุ่น (รุ่นที่ 6) ก่อนมีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 มกราคมนี้ ตั้งเป้าท้าชนคู่แข่งอย่าง Toyota Voxy/Noah และ Nissan Serena[20]

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Honda Stepwgn 1996 (used and new) - specs and pics at AMAYAMA.COM". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-05-24. สืบค้นเมื่อ 2017-10-08.
  2. "HONDA STEPWAGON catalog - reviews, pics, specs and prices | Goo-net Exchange". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-01-24. สืบค้นเมื่อ 2017-10-08.
  3. 1997 Honda Stepwgn Whitey full specs, performance and photos (since middle 1997 for Japan )
  4. Honda's StepWGN (Step Wagon) Goes Through a Minor Model Change
  5. Honda Launches Step WGN Field Deck with Pop-Up Roof
  6. 2003 Honda Stepwgn Spada 24t full specs, performance and photos (since middle 2003 for Japan )
  7. Honda Automobile / Motorcycle Booth at the 35th Tokyo Motor Show
  8. Honda Announces Full Model Changes for "STEP WGN" and "STEP WGN ALMAS"
  9. 37th Tokyo Motor Show 2003 - Production Vehicles
  10. Honda Announces Automobiles and Motorcycles to be Displayed at the 37th Tokyo Motor Show
  11. Honda Achieves Record Global Auto Production for First Six Months of 2004
  12. 2005 Honda Stepwgn B full specs, performance and photos (since middle 2005 for Japan )
  13. 2005 Honda Stepwgn 24z full specs, performance and photos (since middle 2005 for Japan )
  14. Honda Introduces All-New Step Wagon
  15. 2009 Honda Stepwgn G full specs, performance and photos (since October 2009 for Japan )
  16. "Honda StepWGN available in Japan". Taume News. 2009-10-10. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-10-12. สืบค้นเมื่อ 2009-10-10.
  17. "ทดลองขับ Honda STEPWGN SPADA 2.0 CVT : ตู้ปลาติดล้อของพ่อบ้าน Ultra Man !". headlightmag.com. 10-06-2012. สืบค้นเมื่อ 28-10-2017. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  18. [1]
  19. "Honda StepWGN Spada Minorchange พลิกหน้าจากความเรียบ พลิกบุคลิกสู่ความดุดัน". headlightmag.com. 30-09-2017. สืบค้นเมื่อ 28-10-2017. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  20. "Official Teaser : All NEW Honda StepWGN เตรียมเปิดตัว 7 มกราคม นี้ ! เครื่องยนต์ Hybrid e:HEV". headlightmag.com. 11-12-2021. สืบค้นเมื่อ 11-12-2021. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)