เดอะ มอฟฟ์แฟตส์ | |
---|---|
แนวเพลง | Pop-Rock |
อาชีพ | นักดนตรี |
ช่วงปี | 1995-2001 |
ค่ายเพลง | EMI |
สมาชิก | สก็อตต์ มอฟฟ์แฟตต์ คลินท์ มอฟฟ์แฟตต์ บ๊อบ มอฟฟ์แฟตต์ เดฟ มอฟฟ์แฟตต์ |
สก็อตต์ (สก็อตต์ แอนดรูว์ มอฟฟ์แฟตต์ ) และน้องชายฝาแฝดทั้งสามคน คลินท์ (คลินตัน โทมัส จอห์น มอฟฟ์แฟตต์ ) บ๊อบ (โรเบิร์ต แฟรงคลิน ปีเตอร์ มอฟฟ์แฟตต์ ) และ เดฟ (เดวิด ไมเคิล วิลเลียม มอฟฟ์แฟตต์ ) เติบโตขึ้นมาในครอบครัวนักดนตรีของแฟรงค์ และ ดาร์ลาน่า มอฟฟ์แฟตต์ ทำให้พวกเขาซึมซับความรักในเสียงดนตรีตั้งแต่ยังเล็กท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามของรัฐบริติชโคลัมเบียทางตอนใต้ของประเทศแคนาดา
แรกเริ่มเดิมทีประสบการณ์ทางดนตรีอย่างแรกของพี่น้องทั้งสี่คือการบันทึกเสียงเพลงคันทรี่ชื่อเพลง Grandpa ของ Wynonna Judd (พี่สาวของดาราฮอลลีวู้ด Ashley Judd) เพื่อมอบเป็นของขวัญวันคริสต์มาสให้กับคุณปู่ จากนั้นเส้นทางสู่การเป็นศิลปินของพี่น้องตระกูลมอฟฟ์แฟตต์เริ่มต้นขึ้นเมื่อสก็อตต์และแฝดสามอายุได้เพียง 5-6 ปี โดยพวกเขาได้มีโอกาสขึ้นแสดงบนเวทีครั้งแรกร่วมกับ แฟรงค์ และ ดาร์ลาน่า ในปี 1990
อีก2ปีให้หลังเด็กน้อยทั้งสี่ก็ได้เป็นที่รู้จักมากขึ้นจากการขึ้นแสดงสดในงานแสดงดนตรีคันทรี่ท้องถิ่นหลายๆงาน จนกระทั่งได้รับการเสนอชื่อถึงห้ารายการจาก British Columbia Country Music Association ในปีเดียวกันนั้นเองทั้งครอบครัวได้ย้ายไปอยู่สหรัฐอเมริกาที่เมืองแบรนสัน รัฐมิซูรี่ เพื่อเข้าสู่วงการเพลงคันทรี่อย่างจริงจัง
ต่อมาในปี 1994 พี่น้องมอฟฟ์แฟตต์ได้เซ็นสัญญากับ Mercury Record และกลายเป็นศิลปินคันทรี่ที่อายุน้อยที่สุดที่ได้เซ็นสัญญาอยู่ในเครือต้นสังกัดใหญ่อย่าง Polygram
อัลบั้มชุดแรกของเดอะ มอฟฟ์แฟตส์มีชื่อว่า It’s the wonderful World ออกวางจำหน่ายในปี1995 ตามมาด้วยอัลบั้ม The Moffatts ในปีเดียวกัน
ทั้งสองอัลบั้มไม่ประสบความสำเร็จนักในมุมมองของนักวิจารณ์ แต่ชื่อเสียงของเดอะ มอฟฟ์แฟตส์เริ่มขยายออกไปในวงกว้าง พวกเขาจำหน่ายอัลบั้มแรกได้ 250,000 ชุด ขึ้นแสดงคอนเสิร์ต1,000ครั้ง และปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์ของอเมริกาอีก 200 รายการ
ต่อมาชีวิตของเด็กๆทั้งสี่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อพ่อและแม่ของพวกเขาตัดสินใจหย่าขาดจากกันในปี1996 แฟรงค์ผู้เป็นพ่อได้รับสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกๆแต่เพียงผู้เดียวและได้แต่งงานใหม่กับ ชีล่า มอฟฟ์แฟตต์ พร้อมกับย้ายไปอยู่ที่ เมืองแนชวิลล์ ในรัฐเทนเนสซี
ปี1998 สี่พี่น้องผันตัวเองจากดนตรีคันทรี่มาเป็นแนวป็อปร็อกและกลับเข้าสู่ถนนสายดนตรีด้วยอัลบั้ม Chapter 1: A New beginning ที่ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศในทวีปยุโรปอย่างโปรตุเกสและเยอรมนีด้วยยอดขายกว่า 2,000,000 ชุด
ทว่าชื่อของวงสี่พี่น้องกลับไม่เป็นที่รู้จักในตลาดหลักของวงการเพลงอย่างอังกฤษและสหรัฐอเมริกาถึงแม้ว่าจะมีการดึงตัวโปรดิวเซอร์ฝีมือเยี่ยมอย่าง Glenn Ballad (เคยร่วมงานกับ Alanis Morissette, Michael Jackson, และ Aerosmith) เข้ามาร่วมสร้างสรรค์เพลงใหม่อีกสี่เพลงคือ Until you loved me, Misery, Written All over My Heart,และ Raining in my mind เพื่อบรรจุลงไปในอัลบั้มพิเศษคือ Chapter 1: A New beginning U.S. Version ที่ออกจำหน่ายในปี1999เพื่อเอาใจแฟนๆแถบดังกล่าวก็ตาม
หลังจากนั้นไม่นานมอฟฟ์แฟตต์ทั้งสี่กลับเข้าห้องอัดอีกครั้ง ครั้งนี้พวกเขามีโอกาสได้ทำงานร่วมกับ Bob Rock โปรดิวเซอร์ชื่อดังผู้อยู่เบื้องหลังวงดนตรีระดับโลกอย่าง Metallica และตัดสินใจทำอัลบั้มจะที่ทำให้แฟนเพลงของมอฟฟ์แฟตส์ มองวงในฐานะศิลปินจริงๆ ไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ภายนอกและเพลงแบบเด็กๆอีกต่อไป การตัดสินใจที่ว่านี้เป็นเรื่องที่เสี่ยงมากทีเดียว ผู้เป็นโปรดิวเซอร์ถึงกับออกปากเตือนเด็กๆให้เตรียมใจว่าอัลบั้มชุดนี้อาจจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่เคย แต่สิ่งที่สำคัญและน่าภูมิใจมากที่สุดคือพวกเขาได้ทำอัลบั้มที่สะท้อนถึงความเป็น เดอะ มอฟฟ์แฟตส์ ที่แท้จริงออกมาสู่สายตาผู้คนทั่วโลก
อัลบั้มชุดที่ห้านี้มีชื่อว่า Submodalities โดยคลินตันแฝดคนโตได้หยิบคำนี้จากหนังสือเรื่อง Using Your Head for a Change มาเสนอเป็นชื่ออัลบั้มซึ่งสมาชิกทั้งสี่ก็เห็นตรงกันว่าเป็นคำที่เหมาะสมเพราะ "Submodalities" มีความหมายว่าการแปลงโฉม หรือการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสี่หนุ่มและแนวเพลงของพวกเขาได้เป็นอย่างดี
ปลายปี 2000 Submodalities ออกจำหน่ายพร้อมกับเสียงตอบรับจากแฟนเพลงที่แตกออกเป็นหลายกระแส หลายคนยินดีที่จะเติบโตไปพร้อมๆกับวงและพร้อมที่จะเปิดรับเดอะ มอฟฟ์แฟตส์ในมุมมองใหม่ บางคนพอใจมากกว่าที่จะกลับไปฟังผลงานชุดแรก และอีกไม่น้อยที่ตัดสินใจเลือกทางเดินใหม่
อย่างไรก็ตามดนตรีในอัลบั้มชุดนี้ที่แตกต่างออกไปด้วยอิทธิพลจากปัจจัยต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของพวกเขา และส่วนผสมที่กลมกลืนของความชื่นชอบทางดนตรีที่ไม่เหมือนกันรวมถึงพัฒนาการทางด้านดนตรีที่เริ่มแสดงออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัดส่งก็ผลให้ ซิงเกิลแรก Bang Bang Boom ทะยานขึ้นสู่อันดับ 1 อย่างรวดเร็วเป็นประวัติการณ์ในชาร์ทเพลงแคนาดาและประสบความสำเร็จในอีกหลายประเทศทั่วเอเชีย
ทุกอย่างดูจะเป็นไปได้ดีหลังจากตารางทัวร์รอบโลกที่แสนจะเหน็ดเหนื่อยจบลง แต่ในเดือนสิงหาคม ปี2001 แฟนเพลงของพวกเขาก็ได้รับข่าวที่น่าตกใจว่าจะไม่มี เดอะ มอฟฟ์แฟตส์ อีกต่อไป สี่พี่น้องได้ประกาศแยกวงอย่างเป็นทางการ[1] โดยมีสก็อตต์ออกมาให้เหตุผลว่าพวกเขาเหนื่อยอ่อนกับภารกิจอันหนักหน่วงที่ไม่ประสบความสำเร็จในการลบภาพบอยแบนด์ออกจากสายตาใครหลายๆคน อีกทั้งรอยร้าวในความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างแฟรงค์กับเดวิดน้องชายคนสุดท้องที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นเพศที่สาม ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจแยกวงในครั้งนี้
หมายเหตุ:เดอะ มอฟฟ์แฟตส์ มักถูกนำไปเปรียบเทียบกับวงแฮนสัน ซึ่งเป็นวงพี่น้องจากอเมริกา แต่ในความเป็นจริงแล้วมอฟฟ์แฟตต์ทำเพลงมานานกว่าตระกูลแฮนสัน เพราะพี่น้องทั้งสี่เริ่มร้องเพลงกันตั้งแต่อายุได้เพียง 3-4 ปี ดังนั้นจึงมีผู้กล่าวว่าจริง ๆ แล้ว พี่น้อง
แฮนสันอาจจะเป็นฝ่ายได้รับแรงบันดาลใจจาก เดอะ มอฟฟ์แฟตส์