![]() หน้าปกของหนังสือ แบล็ค ฮอว์ค ดาวน์ ฝ่าสมรภูมินรกโซมาเลีย | |
ผู้ประพันธ์ | มาร์ค โบว์เดน |
---|---|
ชื่อเรื่องต้นฉบับ | Black Hawk Down: A Story of Modern War |
ผู้แปล | พันเอก พีรพล สงนุ้ย |
ประเทศ | สหรัฐ |
ภาษา | ภาษาอังกฤษ |
หัวเรื่อง | ยุทธการที่โมกาดิชู (พ.ศ. 2536) |
ประเภท | สงคราม ประวัติศาสตร์ สารคดี |
สำนักพิมพ์ |
|
พิมพ์ในภาษาอังกฤษ | 10 กุมภาพันธ์ 2542 |
พิมพ์ในภาษาไทย | พ.ศ. 2557 |
ชนิดสื่อ | หนังสือปกแข็ง หนังสือปกอ่อน |
หน้า | 392 342 (ไทย) |
ISBN | 978-0-87113-738-8 |
แบล็ค ฮอว์ค ดาวน์: ฝ่าสมรภูมินรกโซมาเลีย (อังกฤษ: Black Hawk Down: A Story of Modern War) เป็นหนังสือที่เขียนขึ้นโดย มาร์ค โบว์เดน ในปี พ.ศ. 2542 ซึ่งบันทึกความพยายามของหน่วยเฉพาะกิจรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน (Unified Task Force) ในการเข้าจับกุม โมฮัมเมด ฟาราห์ ไอดิด ผู้นำของฝ่ายโซมาเลียในปี พ.ศ. 2536 และผลลัพธ์ที่เกิดตามขึ้นมาหลังจากการปฏิบัติการคือการสู้รบในโมกาดิชูระหว่างกองกำลังสหรัฐ และกองกำลังติดอาวุธของไอดิด จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ยูเอช-60 แบล็กฮอว์กของสหรัฐถูกยิงตก ซึ่งเป็นที่มาของชื่อหนังสือเล่มนี้ และความพยายามที่จะเข้าช่วยเหลือลูกเรือของเฮลิคอปเตอร์ที่ตกทั้งสองลำนั้น โดยกองกำลังสหรัฐได้จัดกำลัง ประกอบไปด้วย กองพันจู่โจมที่ 3 สังกัดกรมทหารจู่โจมที่ 75, กรมอากาศยาน ปฏิบัติการพิเศษที่ 160 (160th SOAR), กองกำลังเดลตา, ฝูงบินยุทธวิธีพิเศษที่ 24, เดฟกรู เนวีซีลสหรัฐ, กองพลภูเขาที่ 10 (10th Mountain Division) พร้อมทั้งกองกำลังรักษาสันติภาพแห่งสหประชาชาติของมาเลเซียและปากีสถาน
การจู่โจมในครั้งนี้ กลายเป็นการต่อสู้ระยะประชิดที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์การทหารของสหรัฐนับตั้งแต่สงครามเวียดนาม ซึ่งแม้ว่าชื่อปฏิบัติการในการเข้าจับกุมไอดิดจะมีชื่อรหัสอย่างเป็นทางการว่า ปฏิบัติการโกธิคเซอร์เพนท์ (Operation Gothic Serpent) แต่สื่อมวลชนต่างเรียกขานปฏิบัติการนี้ว่า ยุทธการที่โมกาดิชู (Battle of Mogadishu) และยุทธการที่ทะเลดำ (Battle of the Black Sea)[1]
แบล็ค ฮอว์ค ดาวน์: ฝ่าสมรภูมินรกโซมาเลีย สร้างขึ้นมาจากบทความจำนวน 29 ตอนที่เขียนโดย มาร์ค โบว์เดน นักข่าวของหนังสือพิมพ์ The Philadelphia Inquirer เขาได้ทำการศึกษาค้นคว้าอย่างหนักในบันทึกของกองทัพสหรัฐ สัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมเหตุการณ์จากทั้งสองฝ่ายในความขัดแย้ง ตรวจสอบภาพและบันทึกวีดีโอต่าง ๆ จากเครื่องบินตรวจการณ์รวมไปถึงฟังบันทึกการสั่งการและการจราจรทางวิทยุ ก่อนหนังสือเล่มนี้จะถูกตีพิมพ์และเผยแพร่ ซีรีส์บทความของเขาก็เริ่มเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนอยู่ก่อนแล้ว โดยได้มีการใช้แผ่นซีดีรอมที่มีข้อมูลวีดีโอความยาวหนึ่งชั่วโมง และการเผยแพร่ซีรีส์ภาพและเสียงบนเว็บไซต์ของ The Inquirer เอง[1]
พอล อาร์. โฮว์ หนึ่งในสมาชิกของกองกำลังเดลตาได้ให้ข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับปฏิบัติการของกองกำลังเดลตาในการเขียนหนังสือเล่มนี้[2] โดยมาร์คได้พบกับโฮว์ในปี พ.ศ. 2540 หลังจากเขาได้เคลียร์กับผู้บังคับบัญชาของเขาแล้วเกี่ยวกับขอบเขตข้อมูลที่จะให้ได้ นอกจากนั้นยังมีสมาชิกของหน่วยคนอื่น ๆ ร่วมให้ข้อมูลและเป็นที่ปรึกษาให้กับหนังสือเล่มนี้อีกด้วย แต่ไม่อนุญาตให้เปิดเผยชื่อจริงของพวกเขา และวิจารณ์โฮว์ที่อนุญาตให้ผู้เขียนใช้ชื่อจริงของโฮว์ในงานเขียน[3]
ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2534 กลุ่มติดอาวุธได้เข้าโค่นล้มการปกครองของประธานาธิบดี ไซอัด บาร์รี ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่สงครามกลางเมืองโซมาเลีย ต่อมาองค์การสหประชาชาติได้ดำเนินการเข้าแทรกแซง นำโดยสหรัฐใจการเข้ามาสร้างรัฐบาลขึ้นมาใหม่และดำเนินการให้กองกำลังติดอาวุธกระจายอำนาจและเริ่มตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้นมา ต่อมาประธานาธิบดี จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช ได้ส่งกำลังนาวิกโยธินสหรัฐเข้าไปยังโซมาเลียในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2535 เพื่อบรรลุความพยายามของสหประชาชาติในการรักษาเส้นทางคมนาคมสิ่งของบรรเทาทุกข์และอาหาร ซึ่งถูกขัดขวางและโจมตีโดยกองกำลังติดอาวุธในท้องถิ่น[1]
ในขณะเดียวกัน โมฮัมเมด ฟาราห์ ไอดิด ได้มองว่าภารกิจบรรเทาทุกข์ของสหประชาชาติที่กำลังดำเนินการอยู่นั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อตน และไม่สนใจกระบวนการสันติภาพในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ จึงได้ดำเนินการซุ่มโจมตีขบวนรถของกองกำลังรักษาสันติภาพในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2536 ทำให้มีทหารปากีสถานจำนวน 24 นายเสียชีวิต เป็นเหตุให้พลเรือเอก โจนาธาน โฮว์ ของสหรัฐประกาศให้ไอดิดเป็นบุคคลนอกกฎหมาย รวมไปถึงกองกำลังของไอดิดเองและกลุ่มผู้สนับสนุนของเขา
การปฏิบัติการตามล่าตัวไอดิดนั้น ร่วมไปถึงการบุกเข้าจู่โจมบ้านของสมาชิกกลุ่มที่เป็นผู้ต่อต้าน ส่งผลให้มีพลเรือนโซมาเลียบาดเจ็บล้มตาย ทำให้เริ่มมีกลุ่มผู้ต่อต้านภารกิจและการปฏิบัติการของสหประชาชาติเพิ่มมากขึ้น ทำให้การบรรเทาทุกข์ลำบากมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติการด้วยเฮลิคอปเตอร์[1] ส่งผลให้ประธานาธิบดี บิล คลินตัน อนุมัติปฏิบัติการโกธิคเซอร์เพนท์ (Operation Gothic Serpent) ซึ่งเป็นปฏิบัติการของหน่วยบัญชาการยุทธการพิเศษร่วม (JOSC) ในการเข้าจับกุมไอดิด[4] ประกอบไปด้วย กองพันจู่โจมที่ 3 สังกัดกรมทหารจู่โจมที่ 75 (3rd Ranger Battalion, 75th Ranger Regiment), กรมอากาศยาน ปฏิบัติการพิเศษที่ 160 (160th Special Operations Aviation Regiment: 160th SOAR), กองกำลังเดลตา, ฝูงบินยุทธวิธีพิเศษที่ 24 (24th Special Tactics Squadron), เดฟกรู เนวีซีลสหรัฐ (DEVGRU Navy SEALs) [5] หนึ่งในภารกิจของปฏิบัติการนี้ส่งผลให้เฮลิคอปเตอร์แบบแบล็คฮอว์กหลายลำถูกยิงตก และเกิดการสู้รบติดพันยืดเยื้อระหว่างกองกำลังเฉพาะกิจและกองกำลังสหประชาชาติในการต่อต้านกองทหารอาสาของโซมาเลีย ซึ่งหลังจากยุทธการดังกล่าว การตามล่าตัวไอดิดก็ถูกยกเลิก และกองทัพสหรัฐได้ถอนตัวออกมาจากพื้นที่โซมาเลียตามมาด้วยกองกำลังสหประชาชาติในอีกไม่กี่เดือนหลังจากสหรัฐ
ในปี พ.ศ. 2539 ไอดิดเสียชีวิตจากบาดแผลที่ได้รับจากการต่อสู้กับกองกำลังติดอาวุธของฝ่ายตรงข้ามของขั้วอำนาจภายในโซมาเลีย[6] และในท้ายที่สุด รัฐบาลเปลี่ยนผ่านแห่งชาติได้ถูกก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2543 หนึ่งปีหลังจากหนังสือของมาร์คได้รับการตีพิมพ์
หนังสือเล่มนี้ถูกแปลเป็นฉบับภาษาไทย ภายใต้ลิขสิทธิ์ของกองทัพบกไทย โดยศูนย์พัฒนาหลักนิยมและยุทธศาสตร์ กรมยุทธศึกษาทหารบก กระทรวงกลาโหม แปลและเรียบเรียงโดย พันเอก พีรพล สงนุ้ย มีจำนวน 342 หน้า ตีพิมพ์ครั้งที่ 1 จำนวน 1,500 เล่ม และได้รับรหัสมาตรฐานทางบรรณานุกรมของสำนักหอสมุดแห่งชาติหมายเลข 978-974-9752-78-4[7]
งานเขียนของเขาเป็นที่ยอมรับอยู่แล้วโดยเฉพาะในแง่ของความพยายามที่จะอธิบายในเรื่องของบริบททางการเมืองท้องถิ่น และบริบทของการเมืองระหว่างประเทศ รวมไปถึงอธิบายว่าจากภารกิจเพื่อรักษาสันติภาพธรรมดาทั่วไปทำไมถึงพัฒนาขึ้นไปสู่ความขัดแย้งที่ต้องใช้อาวุธ ซึ่งต่อมามันถูกเรียกว่า โมกาดิชูไลน์ (Mogadishu Line)[1] จากรายงานของ เดอะนิวยอร์กไทมส์ ชิ้นหนึ่ง พบว่ามาร์คสามารถถ่ายทอดการต่อสู้ครั้งนี้ได้อย่างน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ในระดับนาทีต่อนาทีของปฏิบัติการโดยกองกำลังสหรัฐในโมกาดิชู หรือที่รู้จักกันใจชื่อของยุทธการที่ทะเลดำ โดยรายงานของนิวยอร์กไทมส์ได้เสริมอีกว่ามาร์คได้เปลี่ยนมุมมองของเรื่องอย่างรวดเร็วหลังจากที่กองกำลังทางพื้นดินของสหรัฐเดินทางเข้ามายังเขตเมือง และพยายามแยกตัวผู้นำของไอดิดออกมา จนกระทั่งเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น ภารกิจนั้นจึงเปลี่ยนเป็นการกู้ภัยกองกำลังของสหรัฐเอง[1] นอกจากนี้รายงานระบุว่า มาร์คสามารถบรรยายได้ถึงอารมณ์และความรู้สึกวิตกกังวลทั้งของทหารและพลเรือนในสถานการณ์ที่กดดันจากการปิดล้อม และรับรู้อารมณ์และความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่ที่รู้สึกไม่พอใจและกล่าวโทษกลุ่มทหารเรนเจอร์ว่าเป็นสาเหตุของผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่จากการปะทะ[1]
หนังสือเล่มนี้ได้เข้าสู่รอบสุดท้ายในการประกวดรางวัลหนังสือแห่งชาติสาขาสารคดีของสหรัฐในปี พ.ศ. 2552[8]