วัดร่องขุ่น อำเภอเมืองเชียงราย ได้รับความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหว | |
เวลาสากลเชิงพิกัด | 2014-05-05 11:08:43 |
---|---|
รหัสเหตุการณ์ ISC | 604514202 |
USGS-ANSS | ComCat |
วันที่ท้องถิ่น | 5 พฤษภาคม 2557 |
เวลาท้องถิ่น | 18:08:43 ICT (UTC+7) |
ขนาด | 6.1 Mw (USGS)[1] |
ความลึก | 7.4 กิโลเมตร (5 ไมล์) |
ศูนย์กลาง | 19°40′N 99°40′E / 19.66°N 99.67°E[1] |
พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ | ไทย |
ระดับความรุนแรงที่รู้สึกได้ | VIII (อย่างรุนแรง) |
แผ่นดินไหวตาม | 274 ครั้ง[2] |
ผู้ประสบภัย | เสียชีวิต 2 คน[3] บาดเจ็บ 23 คน |
แผ่นดินไหวในอำเภอแม่ลาว พ.ศ. 2557 เกิดขึ้นเมื่อเวลา 18.08.43 น. ตามเวลาท้องถิ่นของประเทศไทย (UTC+7) ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 สำนักเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานว่า จุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหวอยู่ในตำบลทรายขาว อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย[4][5] ต่อมา กรมทรัพยากรธรณี ระบุว่า การใช้เครื่องมือตรวจวัดได้ข้อสรุปใหม่ว่าศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหวอยู่ที่ตำบลดงมะดะ อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย เนื่องจากพบแนวรอยแยกปรากฏอยู่จำนวนมาก[6] ส่วน สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (USGS) รายงานว่าจุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหวอยู่ห่างจากอำเภอแม่ลาวไปทางใต้ 9 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากตัวเมืองจังหวัดเชียงรายไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 27 กิโลเมตร[1][7] แผ่นดินไหวครั้งนี้มีขนาด 6.3 (ML) จากการวัดของกรมอุตุนิยมวิทยา มีขนาด 6.1 จากการวัดโดย USGS โดยมีลึก 7.4 กิโลเมตร ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย[3]
แผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดขึ้นจากการปลดปล่อยพลังงานของรอยเลื่อนพะเยา จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ลึกลงไปใต้ดิน 6 กิโลเมตร ซึ่งเป็นแผ่นดินไหวตื้น[4] ทำให้มีความรุนแรงและความเสียหายเป็นอย่างมาก โดยแรงสั่นสะเทือนทำให้เกิดความเสียหายแก่สิ่งปลูกสร้างในระยะ 30 กิโลเมตรจากจุดศูนย์กลาง และมีแผ่นดินไหวตามกว่า 900 ครั้ง [4][8] ในจำนวนนี้เป็นแผ่นดินไหวตามที่มีความรุนแรงมากกว่า 5.0 จำนวน 8 ครั้ง[4] ทั้งนี้ยังมีการให้เฝ้าระวังแผ่นดินไหวตามที่อาจเกิดขึ้นจากรอยเลื่อนพะเยาในจังหวัดเชียงราย จังหวัดพะเยาและจังหวัดลำปาง[9]
แผ่นดินไหวครั้งนี้ถูกบันทึกว่าเป็นแผ่นดินไหวตื้น[4] ที่มีความรุนแรงโดยตรวจวัดความรุนแรงขณะเกิดแผ่นดินไหวได้ขนาด 6.3 เกิดแรงสั่นสะเทือนทั้งภาคเหนือของประเทศไทยและเมียนมาร์ในช่วงเย็น ประชาชนหลายจังหวัดภาคเหนือ (รวมถึงเชียงราย เชียงใหม่และลำปาง) สามารถรับรู้แรงสั่นสะเทือนได้[10] หน้าต่าง ผนัง ถนนและวัดได้รับความเดือดร้อนจากแรงสั่นสะเทือน และเกิดปรากฏการณ์ทรายพุ (Liquefaction) คือการบีบอัดตัวของชั้นดิน ทำให้ดินที่อิ่มตัวกลายสภาพเหมือนของเหลวและถูกดันขึ้นมาจากแผ่นดินไหว[4] ในช่วงแรกยังไม่มีการค้นพบผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต[11] จนต่อมามีรายงานข่าวพบผู้เสียชีวิตสองราย และผู้บาดเจ็บอีกกว่า 100 คน[4][12]
ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงราย ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว ได้อพยพผู้โดยสารออกจากอาคารผู้โดยสารในทันที ขณะที่ดำรง คล่องอักขระ ผอ.การท่าอากาศยานฯ กล่าวว่า รันเวย์และเที่ยวบินไม่ได้รับผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือน[12][11]
เจ้าหน้าตำรวจในจังหวัดเชียงรายนายหนึ่งเล่าว่า สิ่งของในร้านค้ากระจัดกระจายไปทั่ว มีรอยแตกปรากฏตามอาคาร และพบถนนบางสายมีรอยแตกขนาดใหญ่[13]
อาคารสูงในกรุงเทพมหานครได้รับอิทธิพลจากแผ่นดินไหว และยังรู้สึกได้จากย่างกุ้ง ประเทศเมียนมาร์ ด้วย[13]
จะเกิดความเสียหายอย่างรุนแรงในรัศมีประมาณ 30 กิโลเมตร จากศูนย์กลางแผ่นดินไหว[14] ส่วนใหญ่เป็นความเสียหายด้านอาคารสถานที่ ทั้งโบราณสถาน สถานที่ราชการ เส้นทางคมนาคมและบ้านเรือนของประชาชน ในพื้นที่ที่รับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนโดยมีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด 7 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา น่าน แพร่ ลำปาง และกำแพงเพชร[15] ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจแผ่นดินไหว จังหวัดเชียงราย สรุปสถานการณ์พื้นที่ประสบภัยในวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ว่ามีพื้นที่ประสบภัยพิบัติ รวมทั้งสิ้น 7 อำเภอ 47 ตำบล 478 หมู่บ้าน บ้านเรือนเสียหายรวม 8,935 หลัง โดยที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายทั้งหลัง 116 หลัง ได้รับความเสียหายบางส่วน 8,463 หลัง, วัด 99 แห่ง, โบสตถ์คริสต์ 7 แห่ง, โรงเรียน 35 แห่ง, มหาวิทยาลัย 1 แห่ง, สถานพยาบาล 25 แห่ง โรงงานอุตสาหกรรม 6 แห่ง, โรงแรม 1 แห่ง, ถนน 5 สาย ตลิ่งพัง 1 แห่ง สะพาน 1 แห่ง และคอสะพาน 5 แห่ง[16] ประมาณความเสียหายราว 781 ล้านบาท[4]
วัดร่องขุ่น มีรูปภาพบนผนังในโบสถ์ ที่ใช้เวลาสร้างมากกว่า 20 ปี และคาดว่าต้องใช้เวลาในการซ่อมกว่า 2 ปี โดยความเสียหายปัจจุบัน ได้แก่ ผนังภาพจิตรกรรมในโบสถ์ เป็นรอยร้าวยาว แผ่นสีภาพแตกร่อนออกมา สะพานด้านข้างโบสถ์แตกเสียหาย ยอดเจดีย์หักเบี้ยว หลังคาหอแสดงภาพจิตรกรรมแตก ทุกสิ่งทุกอย่างที่สร้างมานานต้องมาพังพินาศภายในวันเดียว เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ ผู้บุกเบิกสร้างวัดร่องขุ่น กล่าวว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้น เป็นความเสียหายที่มีค่ามาก ไม่ใช่มูลค่าของสิ่งที่สร้าง แต่เป็นคุณค่าทางจิตใจ สร้างวัดนี้ขึ้นมาไม่เคยขอเงินใคร เป็นเงินที่ตนหามาเอง เฉลิมชัยกล่าวอีกว่า ส่วนไหนที่สามารถซ่อมได้ก็จะซ่อม แต่ถ้าส่วนไหนที่ซ่อมไม่ได้ก็จะปล่อยให้มันคงอยู่อย่างเดิม ไม่ทำลาย เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงการเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว[17]
วัดอุดมวารี ตำบลทรายขาว เศียรพระพุทธรูปปูนปั้นนามว่า พระพุทธอุดมมงคล หักลงเนื่องจากได้รับความเสียหาย และอาคารของวัดเกิดรอยแตก และเพดานได้รับความเสียหาย[11] วัดอื่น ๆ ก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน[12] มีโบราณสถานเสียหาย 17 แห่งแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ยอดหักเอียงตามแรงเหวี่ยงของแผ่นดินไหว รวมถึงโครงสร้างแตกร้าว
มีสถานพยาบาลในสังกัดได้รับความเสียหาย 7 แห่ง ส่วนใหญ่มีรอยร้าว แต่ไม่กระทบต่อโครงสร้างอาคาร ที่รุนแรง เช่น โรงพยาบาลแม่ลาว มีอาคารผู้ป่วยเดิมร้าวและทรุด เสาบางแห่งเห็นเหล็กโครงสร้าง สามารถให้บริการเฉพาะผู้ป่วยฉุกเฉินได้เท่านั้น[18] ที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ อาคารเกิดรอยแยกและ แผ่นหินแตกออก กระจกในอาคารแตก โรงพยาบาลที่ได้รับความเสียหายหนักที่สุดได้แก่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงเทพนิมิตร ตำบลป่าอ้อดอนชัย[19] มีโรงเรียนได้รับผลกระทบ 73 แห่ง มีโรงเรียนที่เสียหายหนัก 5 โรงเรียน อยู่ในอำเภอพาน อำเภอแม่ลาว และอำเภอแม่สรวย[20]
ในอำเภอพาน มีถนนถูกฉีกตามรอยแตกที่รุนแรง กรมทางหลวง เปิดเผยข้อมูลหลังเกิดหลังแผ่นดินไหวว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นบนทางหลวง ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย มี 2 แห่ง ในทางหลวงสาย 118 ที่ตัดผ่านอำเภอแม่ลาว ช่วง กม. 147-152 มีการบิดตัวเสียรูปทรงเกือบทั้งหมด ผิวการจราจรแตกหักเสียหาย ทำให้ผิวจราจรต่างระดับกันเล็กน้อย[21]
มีผู้เสียชีวิต 2 คน คนหนึ่งอยู่ในพื้นที่ ตำบลโป่งแพร่ อำเภอแม่ลาว เนื่องจากถูกผนังบ้านล้มทับบริเวณศีรษะ[22] อีกคนหนึ่ง อยู่ในพื้นที่ ตำบลดงมะดะ อำเภอแม่ลาว เนื่องจากหัวใจวาย[23] มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 107 ราย[4][24]
สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ตั้ง ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจแผ่นดินไหว จังหวัดเชียงราย ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย มีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธาน[25] โดยเจ้าหน้าที่ได้ให้การช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัยด้วยการตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว 2 จุด และการช่วยเหลือฟื้นฟูสภาพจิตใจผู้ประสบภัย และส่งทีมสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นกับที่อยู่อาศัยของประชาชน โดยสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย ร่วมกับสถาวิศวกรรมสถาน ชมรมช่างท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย ชมรมช่างท้องถิ่นจังหวัดเชียงใหม่ และวิศวกรอาสา จัดทีมช่างและวิศวกรลงพื้นที่ออกตรวจสอบความแข็งแรงของโครงสร้างอาคารและสิ่งกอ่สร้าง บ้านเรือนประชาชนก่อนที่เข้าไปอยู่อาศัย กว่า 200 คน จัดทีมแพทย์และเตรียมทำหนังสือขอขยายวงเงินการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่บ้านเสียหายทั้งหลัง จากเดิมที่สามารถชดเชยเงินให้ 33,000 บาท ให้สามารถชดเชยเงินได้สูงขึ้น
ในส่วนมาตรการบรรเทาทุกข์ของจังหวัดเชียงราย ประกอบด้วย การป้องกันการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปกรณ์ก่อสร้าง ผ่อนปรนการชำระหนี้ให้แก่ประชาชน ลดหย่อนค่ากระแสไฟฟ้า และลดค่าภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ภาษีป้าย[4]