โจอิจิโร ทัตสึโยชิ | |
---|---|
โจอิจิโร ทัตสึโยชิ ในพิธีเปิดเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตเกียว ครั้งที่ 28 เมื่อปี พ.ศ. 2558 | |
เกิด | โจอิจิโร ทัตสึโยชิ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2513 คูราชิกิ ประเทศญี่ปุ่น |
ชื่ออื่น | 浪速のジョー Naniwa no Joe (โจแห่งนานิวะ) |
สถิติ | |
น้ำหนัก | แบนตัมเวท ซูเปอร์แบนตัมเวท ซูเปอร์ฟลายเวท |
ส่วนสูง | 163 เซนติเมตร (5 ฟุต 4 นิ้ว) |
โจอิจิโร ทัตสึโยชิ (ญี่ปุ่น: 辰吉丈一郎; โรมาจิ: Tatsuyoshi Jo'ichirō) อดีตนักมวยสากลชื่อดังชาวญี่ปุ่น แชมป์โลก WBC รุ่นแบนตัมเวท 2 สมัย
เกิดเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2513 ที่เมืองคูราชิกิ จังหวัดโอกายามะ[1] แต่ต่อมาได้อพยพมาอาศัยและเติบโตที่โอซากะ จังหวัดโอซากะ โดยชื่อ โจอิจิโร นั้นมาจากชื่อ ยาบูกิ โจ ตัวละครเอกในหนังสือการ์ตูนเรื่อง Tomorrow's Joe (โจ สิงห์สังเวียน) โดยพ่อเป็นผู้ให้ตั้งเอง โดยหวังจะให้ลูกชายตนเองเป็นแชมป์โลกเหมือนในการ์ตูน
ทัตสึโยชิเคยเป็นนักมวยญี่ปุ่นที่ชกน้อยครั้งสุดแล้วเป็นแชมป์โลก (ปัจจุบันสถิตินี้ได้ถูกทำลายลงโดย โคเซ ทานากะ ด้วยการชกในเวลา 5 ครั้งในปี พ.ศ. 2558) เมื่อการชกครั้งที่ 8 ก็ได้ขึ้นชิงแชมป์โลก WBC รุ่นแบนตัมเวท กับ เกร็ก ริชาร์ดสัน นักมวยชาวอเมริกัน และเป็นฝ่ายเอาชนะอาร์ทีดีไปได้ในยกที่ 10 แต่หลังจากนั้น โจอิจิโร ทัตสึโยชิ ก็มีปัญหาทางสุขภาพ เนื่องจากจอตาเสีย ต้องหยุดพักเพื่อรักษาตัวนานถึง 1 ปี และต่อมาก็ป้องกันตำแหน่งกับบิกตอร์ ราบานาเลส นักมวยชาวเม็กซิกัน ซึ่งเป็นแชมป์เฉพาะกาลในรุ่นนี้ และเป็นฝ่ายแพ้ทีเคโอราบานาเลสไปอย่างบอบช้ำ
ต่อมาแก้มือชิงแชมป์เฉพาะกาล WBC รุ่นแบนตัมเวทที่ว่าง กับบิกตอร์ นาบานาเรส อีก ก่อนชนะคะแนนไปแบบไม่เป็นเอกฉันท์ แต่ทางสมาคมมวยอาชีพญี่ปุ่น (JBC) ไม่รับรองผลการชก เพราะอาการบาดเจ็บที่จอตา ทัตสึโยชิต้องเดินทางไปชกนอกรอบที่อเมริกา ในปี พ.ศ. 2537 ก่อนจะเดินเรื่องกลับมาชกที่ญี่ปุ่นได้ เพื่อมาชิงแชมป์โลกจริงกับนักมวยเจ้าของแชมป์ชาวญี่ปุ่นด้วยกัน คือ "ยาซูเอะ ยากูชิจิ" แม้มือซ้ายของทัตสึโยชิหักตั้งแต่ยก 1 แต่ก็กัดฟันสู้พลางถอยพลาง จนครบ 12 ยก เป็นฝ่ายแพ้คะแนนไปอย่างไม่เอกฉันท์ ก่อนที่จะเลื่อนรุ่นไปชกในรุ่นซูเปอร์แบนตัมเวทจนติดอันดับรองแชมป์โลก WBC อันดับ 1 รุ่นเดียวกัน ต่อมาทัตสึโยชิได้ขึ้นชิงแชมป์โลกกับดานิเอล ซาราโกซา นักมวยเจ้าของตำแหน่งแชมป์โลก WBC รุ่นซูเปอร์แบนตัมเวทชาวเม็กซิกันผู้มากประสบการณ์ ในต้นปี พ.ศ. 2539 แม้จะได้เปรียบซาราโกซาในช่วงต้น แต่เมื่อซาราโกซาตั้งตัวได้ติด ก็ได้ชกจนทัตสึโยชิเป็นแผลแตกที่เปลือกตาและตาแทบปิด กรรมการยุติการชกยกที่ 11 ต่อมาแม้จะขอแก้มือกับ ดานิเอล ซาราโกซา อีกแต่ก็แพ้คะแนนเอกฉันท์ ในต้นปี พ.ศ. 2540
จนกระทั่งปลายปีเดียวกันได้ตัดสินใจชิงแชมป์โลกอีกครั้ง โดยการชกครั้งนี้เป็นการตัดสินชะตาชีวิตบนสังเวียนผ้าใบของทัตสึโยชิ หากแพ้ก็จะแขวนนวมทันที โดยลดรุ่นมาชิงในรุ่นเดิม คือ แบนตั้มเวท กับ ศิริมงคล สิงห์มนัสศักดิ์ แชมป์โลกชาวไทย โดยใช้ชื่อศึกครั้งนี้ว่า "Final Judgement" ซึ่งการชกครั้งนี้ศิริมงคลต้องประสบปัญหาการลดน้ำหนักตัวเป็นอย่างมาก ถึงวันชกสภาพร่างกายซูบซีด แก้มตอบ ตากลวงลึกโบ๋ แต่ศิริมงคลก็ยังอดทนกัดฟันแลกหมัดกับทัตสึโยชิและเกือบน็อกทัตสึโยชิได้หลายครั้ง แต่ทัตสึโยชิซึ่งสภาพร่างกายดีกว่าเป็นฝ่ายชกหมัดซ้ายตรงเข้าลิ้นปี่ศิริมงคลทรุดลงให้กรรมการนับในยกที่ 7 ก่อนจะรัวหมัดใส่ศิริมงคลจนต้องยุติการชกในยกเดียวกัน ทัตสึโยชิเป็นฝ่ายชนะทีเคโอได้แชมป์โลก WBC รุ่นแบนตัมเวท อีกครั้งเป็นสมัยที่ 2
จากนั้นจึงป้องกันตำแหน่งครั้งแรกชนะคะแนน โฆเซ ราฟาเอล โซซา นักมวยชาวอาร์เจนไตน์ แล้วป้องกันครั้งที่สองไปอย่างไม่ประทับใจเพราะเป็นฝ่ายชนะคะแนนโดยเทคนิคยอดมวยชาวอเมริกัน พอลลี อยาลา ไปอย่างน่ากังขา ก่อนที่จะมาเสียแชมป์ด้วยการแพ้ทีเคโอให้ วีระพล นครหลวงโปรโมชั่น ในปลายปี พ.ศ. 2541 ในการป้องกันครั้งที่สาม
ต่อจากนั้นในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2542 ได้ชกแก้มืออีกครั้งกับ วีระพล นครหลวงโปรโมชั่น โดยใช้ชื่อศึกครั้งนี้ว่า "Final Chapter" เพราะพ่อของทัตสึโยชิเพิ่งจะเสียชีวิตไปก่อนการชกไม่นาน โดยทัตสึโยชิประกาศสู้ตาย ยอมตายไม่ยอมแพ้ และไม่ว่าชนะหรือแพ้จะเป็นไฟท์สุดท้ายของตน เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการชกครั้งนี้ทัตสึโยชิสวมกางเกงและรองเท้าสีน้ำเงิน ผิดแผกไปจากการชกครั้งก่อน ๆ ที่จะสวมกางเกงและรองเท้าสีขาวล้วนมาโดยตลอด ผลการแข่งขันทัตสึโยชิเป็นฝ่ายแพ้ทีเคโอในยกที่ 7
หลังจากแพ้วีระพลและแขวนนวมไปพักใหญ่ โจอิจิโร ทัตสึโยชิ ก็เรียก แสน ส.เพลินจิต มาชกอุ่นเครื่อง แล้วต่อยหมัดชุดอัดแสนอยู่ข้างเดียว โดยที่หมัดของแสนทำอะไรทัตสึโยชิไม่ได้เลย โดนชกอยู่ข้างเดียวจนยก 6 กรรมการก็จับแสนแพ้ทีเคโอไป ต่อมา ทัตสึโยชิในวัย 38 ปี ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นชกในญี่ปุ่น ได้มาขึ้นชกมวยสากลที่เวทีราชดำเนิน ชนะน็อก พลังชัย ชูวัฒนะ ยก 2 และต่อมาในวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2552 ทัตสึโยชิได้เดินทางมาชกที่เมืองไทยอีกครั้ง ณ เวทีมวยราชดำเนิน โดยพบกับ ซาไก จ๊อกกี้ยิม ซึ่งปรากฏว่าไฟท์นี้เกิดการพลิกความคาดหมาย เนื่องจากทัตสึโยชิ ถูกหมัดชุดและหมัดเหวี่ยงของซาไกแพ้ทีเคโอ (กรรมการยุติการชก) อย่างสิ้นสภาพไปในยกที่ 7[2] [3]
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2558 ได้มีการสร้างภาพยนตร์สารคดีชีวประวัติของทัตสึโยชิ ในชื่อ "Joe, Tomorrow – 20 years with Joichiro Tatsuyoshi, a Legendary Boxing Champ" กำกับโดย ซากาโมโตะ จุนจิ โดยเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตเกียว ครั้งที่ 28 ที่กรุงโตเกียว โดยมีเนื้อหาเริ่มตั้งแต่ที่ทัตสึโยชิชนะบิกตอร์ ราบานาเรส ได้แชมป์เฉพาะกาล จากนั้นจึงประสบกับปัญหาต่าง ๆ รวมถึงชีวิตครอบครัวอีกด้วย เป็นระยะเวลารวมทั้งสิ้น 20 ปี[4]
โจอิจิโร ทัตสึโยชิ เป็นนักมวยที่มีมาดกวน โดยมักจะทำทีท่าว่าไม่ยี่หระกับคู่ต่อสู้ นั่นเป็นเพราะตัวเขาเป็นนักมวยที่ได้รับความนิยมจากทั้งผู้เป็นแฟนมวยและไม่ใช่แฟนมวยชาวญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก เรียกได้ว่าเป็นซุปเปอร์สตาร์นักกีฬาชาวญี่ปุ่นก็ว่าได้ ไม่ใช่เพราะฝีมือ แต่เป็นเพราะชีวิตที่ต้องดิ้นรนต่อสู้มาตลอด เหมือนตัวละครในการ์ตูน โดยมีพ่อเป็นกำลังใจอยู่เคียงข้าง แม้จะประสบปัญหาเรื่องสายตามาโดยตลอดก็ตาม แต่ก็ไม่ละทิ้งความหวัง พยายามกลับมาเป็นแชมป์โลกให้ได้หลายครั้ง
เพลงที่เปิดประกอบในช่วงเวลาเดินขึ้นเวทีประจำตัวของทัตสึโยชิ คือ "Main Theme" เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ไอ้หนุ่มซินตึ๊ง เกมมังกร หรือ Game Of Death พ.ศ. 2521 โดยจอห์น แบร์รี